ยังมีองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้านั้นงดงามเกินกว่าที่คาดคิดไว้ คล้ายกับใช้หยกที่งดงามประณีตแกะสลักออกมา ที่น่าดึงดูดที่สุดก็คือดวงตาที่กลมโตเป็นพิเศษคู่นั้นของเธอ ที่แทบจะครอบครองพื้นที่หนึ่งในสี่ของใบหน้าเรียวนั้น!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังไม่เคยพบดวงตากลมโตสุกใสที่งดงามเช่นนี้มาก่อน
ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้น เปล่งประกายสดใสงดงามออกมา ดุจดังความสะอาดบริสุทธิ์และจริงใจของเหล่าเทพเซียน ทว่ายังแฝงความซุกซน เวลานี้ดวงตากลมโตที่งดงามคู่นั้นกำลังจ้องมองตรงมาที่ตน ภายในดวงตาเผยให้เห็นถึงความแปลกใจและตื่นตะลึงที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้
สิ่งที่เล่อเหยาเหยาคิดทั้งหมดอยู่ตอนนี้ได้เปิดเผยออกมาผ่านดวงตากลมโตคู่นั้นแล้ว จึงทำให้เหลิงจวิ้นอวี๋รู้ว่าตอนนี้เล่อเหยาเหยากำลังตะลึงกับรูปโฉมที่งดงามของตนอยู่ เขาจึงรู้สึกภูมิใจในตนเองขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
สิ่งเหล่านี้ เขาไม่เคยพบเห็นจากคนอื่นมาก่อนเลย
ทว่าขันทีน้อยตรงหน้าผู้นี้…ช่างน่าสนใจเสียจริง!
“เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเห็นขันทีน้อยยังคงเหม่อลอย เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากถามขึ้น
เห็นชัดว่านี้คือเดือนสี่ที่อากาศแจ่มใส ทว่าด้วยน้ำเสียงของเขาที่เย็นยะเยือกดั่งลมหนาวในเดือนสิบสองที่พลันพัดผ่านมา ทำให้เล่อเหยาเหยาตัวสั่นเทา ก่อนที่จะเรียกสติที่หลุดลอยคืนกลับมาได้
อา…แม้เขาจะหล่อเหลา ทว่าน้ำเสียงนั้นอาจทำให้คนแข็งตายได้เลย!
หลังได้สติกลับมา เธอจึงนึกขึ้นได้ว่ารุ่ยอ๋องหรือเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เล่าลือว่าน่าหวาดกลัวและโหดเหี้ยม จนทุกคนพากันรังเกียจ ก็คือชายหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าตน!
การกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตของเขานั้น ได้แทรกซึมเข้าไปในส่วนลึกของเล่อเหยาเหยาก่อนที่จะเข้ามาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นหลังหายตกตะลึง ภายในใจจึงมีแค่ความขลาดกลัวให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ จนเธอแทบไม่กล้าที่จะไม่เอ่ยตอบกลับไป
เธอสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเลียนแบบท่าทางคำพูดของขันทีน้อยที่เคยดูในจอโทรทัศน์ เอ่ยพูดกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ด้วยท่าทีที่เคารพนอบน้อม
“เรียนท่านอ๋อง บ่าว บ่าวมีชื่อว่าเสี่ยวเหยาจื่อขอรับ”
“เสี่ยวเหยาจื่อรึ?”
ได้ยินดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยพึมพำชื่อเธออีกรอบ ทว่าสายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวของเธออย่างไม่ลดละ
ถ้าเมื่อก่อนมีชายหนุ่มที่ทั้งหน้าตาหล่อเหลาและมีอารมณ์ขันจ้องมองเธอแบบนี้ ในใจเธอคงรู้สึกดีคล้ายกับตัวเองกำลังล่องลอยอยู่อย่างแน่นอน
ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือรุ่ยอ๋องที่ลือกันว่าเย็นชาและโหดร้าย เธอจึงรู้สึกเพียงชาวาบที่หนังศีรษะและหวาดหวั่นใจเท่านั้น
เมื่อสายตาของท่านอ๋องผู้นี้คมกริบ เยือกเย็น และแฝงด้วยการสืบหาความจริง
ช่างคล้ายกับสัตว์ป่าแสนดุร้ายที่เพิ่งตื่นนอนดูไร้พิษสง ทว่ายามที่ยั่วให้เขาโกรธขึ้นมาละก็ อาจกระโจนเข้าใส่แล้วถลกหนังเลาะกระดูกทั้งหมดของเราออกมาเป็นชิ้นๆ โดยที่ไม่เหลือชิ้นดี!
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาก็หวาดหวั่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันเดินเข้ามาหาเธอ เธอจึงก้าวถอยไปด้านหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการกระทำที่เกินไปของเธอนั้น ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชาไม่ได้
“เจ้ากลัวข้าหรือ?”
แม้จะเป็นประโยคคำถาม ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเอ่ยขึ้นมาอย่างมั่นใจ
เมื่อรู้ว่าเล่อเหยาเหยาหวาดกลัวตน เขาจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ตัวเขาจะทราบดีว่าผู้คนมากมายล้วนหวาดกลัวเขา รวมถึงข่าวลือด้านนอกที่เกี่ยวกับเขาก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าเรื่องราวพวกนั้นเขาไม่เคยสนใจไยดีเลย อย่างไรก็ตามก็คือปากของคนอื่น ใครชอบพูดอะไร เขาก็เข้าไปยุ่งไม่ได้อยู่ดี
ทว่าท่าทีหวาดกลัวเขาของขันทีน้อยตรงหน้านี้ กลับทำให้ในใจเขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เล่อเหยาเหยาเองก็รับรู้ได้จากน้ำเสียงของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่าเขากำลังไม่พอใจ จึงหวั่นใจขึ้นมา แม้จะหวาดกลัวแต่เธอก็รู้ว่ามีเพียงทรราชเท่านั้นที่ชื่นชอบให้คนอื่นหวาดกลัวเขา แต่เห็นได้ชัดเจนว่าท่านอ๋องไม่ชื่นชอบที่เธอเกรงกลัวเขา จึงรีบฉีกยิ้มหวานขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่จะส่ายศีรษะปฏิเสธพร้อมฝืนหัวเราะออกมา
“ไม่ขอรับ ท่านอ๋องไม่ใช่สัตว์ป่าแสนดุร้ายที่กินมนุษย์ บ่าว บ่าวจะกลัวท่านอ๋องได้อย่างไรขอรับ เมื่อครู่นี้เพียงแต่…เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไรล่ะ หืม!?”
ยามเห็นเล่อเหยาเหยาขลาดกลัวจนหลุบสายตาลง ทว่ากลับยังพยายามฝืนหัวเราะออกมา ท่าทีนั้นทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดว่าน่าขันสิ้นดี ทั้งยังเกิดความคิดอยากกลั่นแกล้งขันทีน้อยผู้นี้ขึ้นมา
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไร พักนี้เขาก็ว่างมาก จนรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกินแล้ว…
ขันทีน้อยตรงหน้าดูคล้ายหนูตัวเล็กๆ ที่น่าเอ็นดูและขลาดกลัว ทว่ากลับน่ารักอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงก้าวเดินเข้าไปใกล้เล่อเหยาเหยาอีกครั้ง
ขณะที่เล่อเหยาเหยายังสับสนกับคำพูดที่เอ่ยออกไป จนไม่รู้ควรจะพูดอะไรอยู่นั้น องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าถูกเธอขมวดจนเป็นกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ท่าทีคล้ายกำลังทุกข์ทรมานอย่างมาก โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาเธอ
ยามเมื่อเธอได้สติกลับมา ใบหน้าอันหล่อเหลาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั้นก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ใกล้เกินไป จนเธอสามารถเห็นจำนวนเส้นของขนตาบนดวงตาเขาได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้ท่าทีที่เย็นชาของเขานั้น นัยน์ตากลับแฝงไปด้วยความสนุกสนาน!
เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเข้าใจในที่สุดว่า เธอถูกกลั่นแกล้งเข้าแล้ว!
ในใจเธอจึงโกรธขึ้นมา แม้เธอจะหวาดกลัวชายหนุ่มตรงหน้านี้อยู่บ้าง แต่เมื่อถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ เธอก็ต้องโกรธอยู่ดี
ในใจเธอเดือดดาลอย่างไม่พอใจ จนต้องกระทืบเท้าตัวเองไปมา ทว่ากลับกลายเป็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นความโกรธของเธอสักนิดเลย เพราะยังคงเคลื่อนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเข้ามาใกล้ตัวเธอขึ้นเรื่อยๆ
“อ่า…ท่านอ๋องจะทำอะไรขอรับ!?”
ยามเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ตนทีละนิด เล่อเหยาเหยาจึงกระวนกระวายใจ จนหัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที
ในเมื่อตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากขนาดนี้มาก่อน
ถึงแม้เธอจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว ชายหนุ่มที่ตามจีบก็มีไม่น้อย ทว่าในช่วงที่เรียนอยู่เธอไม่อยากให้เรื่องความรักกระทบผลการเรียนจึงปฏิเสธชายหนุ่มมากมาย จึงทำให้จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยจับมือกับชายหนุ่มเลย
ตอนนี้ต้องใกล้ชิดกับชายหนุ่ม ชนิดที่ว่าลมหายใจอันร้อนผ่าวแฝงด้วยความอบอุ่นของเขา ค่อยๆ รินรดด้านข้างของใบหน้าของตนเองแบบนี้ ทำให้เธอว่าวุ้นใจ ก่อนที่จะรู้สึกเพียงร่างกายชาจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตั้งแต่ลำคอ ไปยังแขนขา แล้วแผ่กระจายไปทั่วร่าง
เลือดทั่วร่างกายคล้ายเดือดพล่านขึ้นมาทันทีจนแก้มร้อนฉ่า
เธอไม่จำเป็นต้องส่องกระจกก็เดาได้ว่า ตอนนี้ตัวเธอต้องหน้าแดงอยู่เป็นแน่…
ทว่ารุ่ยอ๋องที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?
ตอนนี้เธอเป็นเพียงขันทีตัวเล็กๆ แต่ทว่าเพราะอะไรเขากลับเข้ามาใกล้ชิดเธอแบบนี้?
ขณะที่ในใจเกิดความสงสัย เธอก็พลันนึกถึงคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อที่เคยเอ่ยกับเธอเกี่ยวกับรุ่ยอ๋องคนนี้ได้ขึ้นมา
ตอนรุ่ยอ๋องยังทรงเยาว์วัยเคยถูกพระมารดาทำร้าย ดังนั้นเมื่อเติบโตขึ้นจึงเกลียดผู้หญิงอย่างมาก ห้ามผู้หญิงเข้าใกล้เกินห้าก้าว…
เกลียดชังผู้หญิง!? ถ้าเป็นแบบนี้ ท่านอ๋องตรงหน้านี้ เขา เขา เขาชื่นชอบชายหนุ่มใช่ไหม!?
เมื่อคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ เล่อเหยาเหยาจึงเบิกตากว้างอ้าปากค้างขึ้นทันทีด้วยความตกใจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงัน ซึ่งท่าทีนั้นช่างคล้ายกับว่าจู่ๆ ก็เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีสามหัวหกแขน
เมื่อเห็นท่าทีที่แปลกประหลาดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงไม่เข้าใจ ก่อนที่จะขมวดคิ้วขึ้น ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร เล่อเหยาเหยาก็สะดุ้งตกใจเดินถอยหลังไป ทว่าด้านหลังเธอกลับเป็นราวประตู…
เสียง ‘อา’ ดังขึ้น ทันใดนั้นเล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงตนเองกำลังสูญเสียการทรงตัวล้มลงไปทางด้านหลังอย่างรุนแรง ในใจจึงหวาดกลัว ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะยื่นออกไปข้างหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว คล้ายกับคนจมน้ำที่ใช้สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดด้วยการพยายามไขว่คว้าเศษไม้ที่ลอยอยู่ จากนั้นก็คว้าจับที่ชายเสื้อหน้าอกของคนคนหนึ่งอย่างรุนแรง
เมื่อครู่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงต้องการกลั่นแกล้งเล่อเหยาเหยา ทว่ากลับคิดไม่ถึงเล่อเหยาเหยาจะถูกตัวเองทำให้ตกใจขนาดนี้ เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกแน่นที่หน้าอก ก่อนที่ร่างกายจะเอนไปตามแรงฉุดดึงของเล่อเหยาเหยา แล้วล้มลงไปอย่างรุนแรง…
ครู่ต่อมาเล่อเหยาเหยารู้สึกอยากตายขึ้นมา ทั้งยังหดหู่ใจอย่างมาก
ตอนนี้ทั่วร่างกายเธอเหมือนผ่านการถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งชนไปมาหลายตลบ ชนซ้ำแล้วซ้ำอีกคล้ายไม่พอใจ จนความเจ็บปวดทุกส่วนบนร่างกายแทบไม่จางหายไปเลย
พื้นด้านล่างปูด้วยหินสีน้ำเงินจึงหนาวเย็นและแข็งอย่างมาก ตอนที่เล่อเหยาเหยาล้มลงบนพื้น รู้สึกคล้ายกับว่าศีรษะตนเองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
เสียง ‘ปัง’ คล้ายมีบางอย่างตกกระทบพื้นดังลั่นขึ้น ทันใดนั้นก็ปรากฏดวงดาวมากมายหมุนวนอยู่ตรงหน้าเธอ
ยังไม่หมดเท่านั้น บนตัวเธอยังมีหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากทับอยู่ จนเธอใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว
“หนักมาก!”
สวรรค์!
ทำไม!?
เพราะอะไรกันแน่!?
ฉากในนิยายไม่ควรเป็นแบบนี้ เพราะยามที่นางเอกหกล้ม ต้องมีชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัวขึ้นมา ดั่งวีรบุรุษเข้ามาช่วยหญิงงาม ว่าทำไมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธออยู่นี้จึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
บุรุษรูปงามตรงหน้าเธอตอนนี้ดูแข็งแรงกำยำ ทว่าไม่ได้มาช่วยเหลือเธอ แต่มาเพื่อซ้ำเติมเธอต่างหาก…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงกลัดกลุ้มใจเป็นที่สุด
ไม่ง่ายเลยที่จะรอให้ความเจ็บปวดบนร่างกายที่รุนแรงนี้หายไป แล้วผลักหินขนาดใหญ่ออกไปให้พ้นตัวได้ ทว่ากลับกลายเป็นว่าหินขนาดใหญ่นั้นอาจรู้สึกสบายที่ได้ทับอยู่บนตัวเธอ จึงแลดูเกียจคร้านไม่มีความคิดที่จะลุกขึ้นเลย
ที่จริงแล้วเหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกไม่อยากลุกขึ้นเลย
เพราะร่างกายของคนใต้ล่างเขาจะดูเล็กอ้อนแอ้น ทว่าตอนที่ทับลงไปกลับรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม คล้ายกำลังเอนนอนลงบนจอกแหนอย่างไงอย่างนั้น
อีกทั้งขันทีน้อยที่อยู่ใต้ล่างตนเองนี้ช่างมีกลิ่นหอมจริงๆ!
บนตัวของเขามีกลิ่นหอมเบาบางประเภทหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกลิ่นหอมของดอกไม้และน้ำหอม ทว่าแฝงไปด้วยกลิ่นหอมของนม ที่คล้ายออกมาจากร่างกาย ซึ่งเมื่อได้ดมกลิ่นก็จะรู้สึกหอมสดชื่นดียิ่งนัก!
จึงทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ได้กลิ่นนั้นเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งขึ้นมาในใจ
ความรู้สึกนั้น คล้ายว่ามีสิ่งที่ไม่รู้จักประเภทหนึ่ง ได้หยั่งรากลึกแตกหน่อขึ้นภายในใจ ซึ่งสิ่งที่แปลกประหลาดประเภทนี้เขาไม่รู้จักและไม่เข้าใจเลย
เพราะสามสิบปีที่ผ่านมา ยังไม่มีผู้ใดที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้เลย นอกจากขันทีรูปร่างอ้อนแอ้นตรงหน้านี้…
…………………………………………………………………..