ตอนที่ 6 แท้จริงแล้วบนตัวเขามีเสน่ห์อะไรกันแน่!? + ตอนที่ 7 โดนจูบ

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 6 แท้จริงแล้วบนตัวเขามีเสน่ห์อะไรกันแน่!?

ขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังคับข้องใจ เล่อเหยาเหยาที่โดนเขาทับอยู่บนพื้นกลับรู้สึกว่าตนกำลังจะตายเพราะถูกเขาทับเสียแล้ว

ใบหน้าเรียวที่งดงามอย่างไม่เป็นสองรองใคร ดูเจ็บปวดจนยับย่นคล้ายกับดอกเบญจมาศ ตอนที่เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้แต่จ้องมองตัวเอง ไม่ได้คิดลุกออกไป จนในที่สุดเธอจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“สมควรตาย ท่านรีบลุกขึ้นสิ ข้าจะตายเพราะโดนท่านทับแล้ว!”

“อะไรนะ!?”

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะโกนใส่ตนเอง เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงหรี่ตาลง ภายในดวงตาเปล่งประกายรังสีที่อันตรายออกมาไม่หยุด…

เพราะยังไม่เคยมีใครกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้ตะโกนใส่เขามาก่อน ทว่าขันทีน้อยผู้นี้ช่างมีความกล้ามากเหลือเกิน…

แต่ทว่าเล่อเหยาเหยาไม่รู้ว่าตนเองได้กลายเป็นหนูที่โดนเหยียบหางเอาไว้ที่เดือดดาลอย่างมากแล้ว

แม้จะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับรุ่ยอ๋องผู้นี้มาว่าเขานั้นโมโหร้าย เย็นชาไร้ความปราณี และโหดเหี้ยมเพียงใด

แต่เธอก็เป็นคนอารมณ์ร้ายเช่นกัน!

ถึงแม้ยามปกติเธอจะดูเซ่อซ่า บุคลิกท่าทางดูเป็นกันเอง ทว่าก็มีอารมณ์โกรธเช่นกัน

อีกทั้งก่อนนี้ในบ้านเธอคือหญิงสาวที่หยิ่งยโสมั่นใจในตนเอง เวลาที่เธอไม่พอใจ แม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเทียนอ๋อง เธอก็จะด่าทอจนพอใจ ก่อนจะคุยดีๆ อีกครั้ง!

“ข้าพูดว่าท่านจะลุกขึ้นได้หรือยัง!? หรือว่าตัวข้าน่าทับ! ถ้าท่านอยากทับใครสักคน ก็ควรไปหาบุรุษผู้อื่น ข้าเป็นขันที ขันทีท่านเข้าใจหรือไม่!?”

ครั้งนี้เล่อเหยาเหยาโมโหเดือดดาลเป็นอย่างมาก จนนัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ทับตัวเธออยู่กลับตรงกันข้าม หลังที่ได้ยินประโยคนั้นของเล่อเหยาเหยา ใบหน้าที่งดงามจึงเต็มไปด้วยความสับสน

“เจ้าพูดอะไรกันแน่?”

ให้เขาหาบุรุษผู้อื่น!? หรือว่าขันทีผู้นี้คิดว่าเขามี…นิสัยชื่นชอบเพศเดียวกัน ชื่นชอบบุรุษ!?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ตะลึงเพริด แล้วพลันหรี่ตาลง ก่อนที่จะมองยังเล่อเหยาเหยา คล้ายสัตว์ป่าที่กำลังคุ้มคลั่งกระหายเลือด

ขันทีน้อยสมควรตายผู้นี้ เขาเป็นถึงท่านอ๋องที่สง่าผ่าเผย ไม่คิดว่าจะถูกขันทีกล่าวหาว่านิยมชมชอบเพศเดียวกัน!?

‘เขา’ ช่างกล้าหาญเกินไปแล้ว!

ถ้ามีผู้ใดเอ่ยกับเขาเช่นนี้ เขาต้องลงมือสังหารโดยที่ไม่ทันยั้งคิดเป็นแน่!

ทว่า…

ยามเห็นใบหน้าเรียวแดงก่ำจากความโกรธเคืองที่อยู่ด้านล่างแล้ว

“เขา เป็นขันทีจริงๆ ใช่หรือไม่?”

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเจอขันทีที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย

ผิวของนางนั้นนุ่มลื่นขาวใสดั่งหิมะในฤดูหนาวยิ่งกว่าหยกมันแพะเสียอีก

ใบหน้าขาวอมชมพูงดงาม คิ้วสองข้างดำสนิท นัยน์ตาคู่นั้นสุกใสดั่งน้ำ  สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนที่สุดคือริมฝีปากเล็กสีชมพูคล้ายดอกท้อคู่นั้นของเขา…

ริมฝีปากคู่นี้ ช่างงดงามที่สุดที่เขาเคยเห็นมาเลย!

ไม่เพียงลายเส้นที่งดงาม ริมฝีปากสีชมพูนั้นก็คล้ายกับดอกท้อสีขาวอมชมพู  งดงามอ่อนช้อย งดงามดึงดูดใจ งดงามจนทำให้คนอยากเข้าไปลิ้มลอง แท้จริงแล้วริมฝีปากชมพูคู่นี้ จะหอมหวานอย่างที่คิดหรือไม่…

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งคิด ก็ยิ่งไม่รู้สึกตัวเลยว่าสายตาที่จ้องเล่อเหยาเหยาของตนเอง ค่อยๆ ปรากฏความรู้สึกที่หื่นกระหายขึ้นมาทีละน้อย…

เขาไม่รู้สึกตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่รู้สึกถึงมัน

เพราะสายตาอันร้อนแรงของเขา ช่างคล้ายกับสัตว์ป่าหิวโหยที่กำลังจ้องตะคลุบเหยื่อของตนเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา รอคอยโอกาสที่เหมาะสม ก่อนกระโจนเข้าหาเหยื่อที่จับจ้องไว้ แล้วกลืนกินให้หมดสิ้น…

…………………………………………………………………

ตอนที่ 7 โดนจูบ

เมื่อเห็นสายตาที่น่าหวาดกลัวผิดปกติเช่นนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทันใดนั้นเล่อเหยาเหยาก็ชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ก่อนจะหวาดหวั่นใจขึ้นมา

หัวใจเต้นเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน! เสียง ‘ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก’ ดังกระหน่ำออกมาไม่หยุดราวกับทะลุออกมาจากหน้าอกของเธอ

“ท่าน ท่าน ท่าน…”

เล่อเหยาเหยาพูดตะกุกตะกัก เมื่อถูกจ้องด้วยสายตาอันหิวกระหายของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าเล็กก็ซีดขาวลงทันที

เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาในใจว่าถ้าเธอยังไม่รีบหนีไปจากที่นี่ คงต้องถูกสัตว์ป่าดุร้ายตัวนี้กินแน่!

ครั้นตระหนักได้เช่นนั้นแล้ว เล่อเหยาเหยาจึงสับสนและหวาดกลัว ทว่าด้วยสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด เธอจึงเริ่มใช้มือทั้งสองข้างผลักชายหนุ่มที่อยู่บนตัวเธอออกไปไม่หยุด

ที่น่าเศร้าคือ เดิมทีแรงของผู้หญิงเทียบกับชายหนุ่มไม่ได้อยู่แล้ว แม้เธอจะออกแรงพยามยามอย่างสุดกำลัง ชายหนุ่มที่ทับอยู่บนตัวเธอ กลับดุจดั่งหินขนาดใหญ่ไม่ขยับสักนิดเดียว

กลับเป็นเธอที่พยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด จนเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผากขาวเนียนได้รูป

ใบหน้าเล็กที่เคยซีดเซียวค่อยๆ แดงก่ำขึ้น ท่าทางเช่นนั้นของเธอ ดูแล้วเหมือนกับหยาดน้ำค้างในยามเช้า ลูกท้อกำลังสุกงอม ที่งดงามจนอยากกลืนกิน

เมื่อเห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกเพียงสูญเสียสติที่มีทั้งหมดไป นัยน์ตาจ้องมองไปที่ริมฝีปากงามของคนที่อยู่ใต้ล่างตน จนเขาอดใจที่จะลิ้มชิมรสมันไม่ไหวอีกต่อไป…

ริมฝีปากเล็กๆ นี้หอมหวานกว่าที่ตนคาดคิดไว้เสียอีก!

ขณะที่กำลังจุมพิตเล่อเหยาเหยา นี่เป็นสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา

ริมฝีปากเขาอ่อนนุ่มและหอมหวานจริงๆ ราวกับหยาดน้ำค้างบนต้นอวี้ซู่[1] ที่หวานล้ำเกินบรรยาย ปัดเป่าความคิดที่อยากจุมพิตลิ้มลองเพียงเล็กน้อยออกไปจากสมองของเขา แปรเปลี่ยนเป็นจุมพิตราวกับพายุทอร์นาโดที่เผด็จการ ดุเดือด ล้ำลึก…

เมื่อเปรียบเทียบกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ดูติดใจจนอยากลิ้มลองอีกครั้ง เล่อเหยาเหยากลับเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมาที่ร่าง หลังเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นตัวเธอก็แข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน!

สวรรค์! ฟ้าดิน!

เขา เขา เขา…เขาจุมพิตเธอแล้ว!?

แต่ตอนนี้เธอก็เป็นชายหนุ่ม ไม่ ควรจะพูดว่าตอนนี้เธอคือ ‘ขันที’ ที่เรียกว่าชายหนุ่มไม่ได้ด้วยซ้ำไป เขายมบาลมีชีวิตที่เล่าลือกันโหดเหี้ยมไร้ความปราณีผู้นี้กลับจูบขันที!?

สวรรค์ นี่เป็นรสนิยมที่ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ!?

เธอสั่นสะท้านในใจ สำหรับเหลิ่งจวิ้นอวี๋แล้ว ในใจเธอรู้สึกขยะแขยงและไม่พอใจอย่างมาก

เพราะเธอไม่ได้ต้องการให้ชายหนุ่มที่จิตวิปริตเช่นนี้จูบเธอ!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เล่อเหยาเหยาจึงใช้มือคู่นั้นออกแรงผลักอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มที่ทับอยู่บนตัวของเธอไม่เพียงขยับออก แขนยาวแข็งแรงของเขาที่โอบกอดตัวเธอกลับรัดแน่นยิ่งขึ้น แล้วจุมพิตอย่างลึกซึ้งมากขึ้น

เล่อเหยาเหยาร้อนใจ เมื่อเห็นว่าเรี่ยวแรงตนเองเทียบกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้ ช่างเสียแรงเปล่าเสียจริง คนผู้นี้ไม่รู้เติบโตมาด้วยการกินอะไร  แขนคู่นั้นเขาถึงเหมือนคีมเหล็กเช่นนี้

เมื่อเห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาจึงโมโหและร้อนใจ ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับยังเล่นสงครามลิ้นกับเธออยู่เช่นเดิม เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงใช้ฟันกันลงไปบนปลายลิ้นที่กำลังรุกรานตนเองอยู่อย่างรุนแรง…

จากนั้นเธอได้ยินเพียงเสียง ‘โอ๊ย’ ดังขึ้นแล้วน้ำหนักบนร่างกายเธอก็พลันหายไป

ทว่าภายในปากเธอกลับยังคงหลงเหลือกลิ่นจางๆ ของมิ้นท์พร้อมกลิ่นคาวเลือดของเขาอยู่

เล่อเหยาเหยาเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ลุกจากบนตัวเธอไปแล้ว จึงรีบยันตัวเองลุกขึ้นยืนทันที

ทว่าเธอยังไม่ทันได้ยืดเส้นยืดสายบรรเทาอาการปวดเมื่อยของตน ก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยอันตรายและกระหายเลือดที่กำลังจ้องเขม่งมาที่ตัวเธอ พลันสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง ชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ก่อนที่จะเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม จึงเห็นว่าเป็นสายตาของยมบาลที่ต้องการชีวิตของคนผู้นั้น

เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยืนอยู่ห่างออกไปเพียงสามก้าวใกล้ชิดกับตนเองอย่างมาก ร่างกายสูงใหญ่กำยำของเขานั้น ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเหมือนเขาไท่ซานยืนกดดันตนอยู่

……………………………………………………………….

[1] ต้นอวี้ซู่ หมายถึงต้นยูคาลิปตัส