ตอนที่ 8 กัดท่านอ๋อง + ตอนที่ 9 ถูกเขาโอบกอด

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 8 กัดท่านอ๋อง

กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขาขณะนี้ เหมือนกับอสุรกายกระหายเลือดจากนรกขุมที่สิบแปด ทำให้คนที่ได้เห็นอกสั่นขวัญแขวน

ทันใดนั้นเล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงขนลุกไปทั้งตัว สัญชาตญาณบอกกับเธอว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผิดปกติและอันตรายอย่างมาก!

 “ฮ่าๆ คือ วันนี้อากาศดีจริงๆ บ่า…บ่าวยังมีงานต้องทำ บ่าวต้องไป…”

ขณะที่เล่อเหยาเหยาหัวเราะอย่างกระอักกระอวน ขณะที่ค่อยๆ เดินถอยหลังไป

ทว่าเมื่อเธอก้าวถอยหลังไป ชายหนุ่มตรงหน้ากลับก้าวเข้ามาใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ

พร้อมบนใบหน้าอันหล่อเหล่าดุจดั่งเทพเซียนบนสวรรค์ของเขานั้น ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น

รอยยิ้มนั้นช่างน่าหลงใหลเหมือนดอกฝิ่นที่งดงาม ทว่ามีพิษร้ายกัดกร่อนไปถึงกระดูก

เพราะบริเวณมุมปากที่มีรอยยิ้มของเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั้น มีเลือดสีแดงไหลลงมาอย่างช้าๆ

เลือดนั้นสีแดงสดใส เมื่อรวมเข้ากับผิวขาวสดใสของเขายิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น

ทว่าเล่อเหยาเหยาที่เห็น กลับหวาดหวั่นใจอย่างยิ่ง

จุ๊ๆ ทำไมชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ถึงยิ้มได้น่าหวาดกลัวขนาดนี้!? เธออยากจะบอกเขาจริงๆ ว่าอย่ายิ้มอีกเลย เพราะรอยยิ้มเขานั้นน่าหวาดกลัวกว่าถลึงตาจ้องมองเสียอีก!

ทว่าน่าเสียดายเธอที่ปกติกล้าหาญ เมื่อสบตากับชายหนุ่มผู้นี้กลับตกใจกลัวเหมือนหนูขี้ขลาดตัวหนึ่ง

เธอจึงกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ แม้ใบหน้าจะยังประดับด้วยรอยยิ้ม แต่สวรรค์รู้ดีว่าในใจเธอ ตอนนี้หวาดกลัวมากเพียงใด

ขณะเดียวกันเหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายสังเกตถึงความกลัวของเล่อเหยาเหยาเช่นกัน จึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมากลับเยือกเย็นกัดกร่อนไปถึงกระดูก เหมือนลมหนาวที่พลันพัดผ่านมาในเดือนสิบสอง ทำให้ผู้คนอดที่จะหนาวสั่นไปชั่วชณะไม่ได้

“เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ากัดข้า!”

น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหลที่แฝงด้วยจังหวะอันเนิบนาบ ทว่ากลับไพเราะอย่างยิ่ง

แต่ไอสังหารที่แผ่กระจายออกจากตัวเขา เป็นสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เช่นกัน

เมื่อเห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาจึงอกสั่นขวัญแขวน เสียอกเสียใจอย่างมาก

แค่จุมพิตคงไม่ได้เสียหายอะไร แต่ทว่าการล่วงเกินพญายมผู้นี้เข้าศีรษะของเธอคงต้องหลุดจากบ่าอย่างแน่นอน

เล่อเหยาเหยาอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา เพราะถึงอย่างไรเธอเพิ่งผ่านพ้นความตายมา ยังไม่ทันคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ก็ต้องตายอีกครั้งแล้ว ความรู้สึกที่ต้องตายซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจเป็นแน่

แต่ทว่าเธอยังไม่อยากตายตอนนี้! การมีชีวิตอยู่นั้นดีมากมาย เพราะฉะนั้นจะต้องรักษาความหวังสุดท้ายนี้ไว้ให้ได้ เธอจึงพลันเปลี่ยนใบหน้าอันยิ้มแย้มเมื่อครู่ทันที รวดเร็วราวนักแสดงสาวสวยของเฉสวน!

 “ฮือๆ ท่านอ๋อง บ่า…บ่าวไม่ได้ตั้งใจกัดท่านอ๋องนะขอรับ ควา…ความจริงคือร่างกายบ่าวไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ล้วนบริสุทธิ์ จู่ๆ ท่านอ๋องก็…ฮือๆ บ่าวกลัวขอรับ…”

หลังน้ำเสียงอ้อนวอนสำนึกผิดดังขึ้น ดวงตากลมโตงามแปลกตาคู่นั้นของเล่อเหยาเหยาก็ปรากฏม่านน้ำตาที่พร่ามัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ภายในดวงตาของเธอเอ่อคลอด้วยน้ำตาอันเปล่งประกายสวยงาม ราวกับแสงยามพระอาทิตย์ตกดินที่กระทบลงในบึง สะท้อนเป็นแสงส่องประกายงดงามน่าประทับใจผู้คน เมื่อรวมเข้ากับสีหน้าที่น่าสงสารนั้นของเธอ จึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเธอช่างเหมือนกระต่ายน้อยสีขาวที่ไร้เดียงสา ที่ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นในใจก็ล้วนเวทนาทันที

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เองก็เช่นกัน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นขันทีน้อยตรงหน้าผู้นี้ร้องไห้ดั่งหยาดน้ำฝนบนดอกแพร์[1] ใจของเขากลับถูกควักออกไป เจ็บปวดราวกับถูกเฆี่ยนด้วยแส้อย่างหนัก

และหลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงคล้ายได้สติกลับคืนมา ก่อนที่จะยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นราวกับฟ้าผ่าลงมาตอนกลางวัน[2]

สวรรค์!

เมื่อครู่เขาเป็นอะไรกันแน่? เขาไม่คิดเลยว่าตนจะ…จุมพิตขันที!?

………………………………………..

ตอนที่ 9 ถูกเขาโอบกอด

ภายในใจจึงหวั่นไหวและตื่นเต้น กระทั่งตัวเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอง คล้ายไม่เชื่อว่าตนเองจะทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้ออกมา

แม้เพราะประสบการณ์อันเลวร้ายในวัยเด็ก ทำให้เขาเคียดแค้นรังเกียจสตรีอย่างมาก ทว่าเขารู้รสนิยมทางเพศตนดีว่าไม่ได้รักบุรุษ

แต่เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใดเมื่อครู่นี้เขาถึงจุมพิตขันที!?

หรือเป็นเพราะขันทีน้องตรงหน้าผู้นี้หน้าตางดงามเกินไป จนอยากกลืนกินเข้าไป และเขาหักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้…แค่ชั่วขณะเท่านั้น!?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายสับสน สายตาที่มองยังเล่อเหยาเหยาจึงไม่หลงเหลือความโหดร้ายอีกแล้ว ทว่าดูซับซ้อนมิอาจคาดเดามากขึ้น

เล่อเหยาเหยาไม่เข้าใจว่าสายตาอันซับซ้อนของเหลิ่งจวิ้นอวี๋นี้หมายถึงสิ่งใด ทว่าพอเห็นสีหน้าเมินเฉยของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เธอกลับรู้สึกดีใจขึ้นมา

หากไม่หนีไปตอนนี้ จะรอให้ถึงตอนไหนอีก!?  หรือจะรอให้เขาได้สติกลับมาแล้วสังหารเธอก่อนใช่หรือไม่? เธอไม่อยู่ให้โง่หรอก!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารวบรวบความกล้าของตนขึ้นมา คิดแผนอย่างสุดกำลังเพื่อหนีให้พ้นจากปีศาจข้างกายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นี้ ทว่าคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ลงมือ เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเหมือนสัตว์ร้ายกำลังเล็งเหยื่อแล้วกระโจนเข้าใส่เธออย่างรุนแรง…

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงตกใจร้องกรี๊ดออกมา หลับตาทั้งสองข้างลง คิดว่าพญายมตนนี้คงจะสังหารตนแล้ว

ใครจะรู้ว่าความเจ็บปวดที่คิดเอาไว้กลับไม่บังเกิดขึ้น และศีรษะของเธอก็ไม่ได้หลุดจากตัว

แต่เธอกลับถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมอกกว้างอันแข็งแรง ครู่ต่อมาจึงรู้สึกราวท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับอย่างรุนแรง!

การหมุนอย่างรุนแรงนั้น ทำให้เธอตาลายพร่ามัว วิงเวียนศีรษะและมึนงงเล็กน้อย

เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้กันแน่ เขาอยากกลิ้งก็ควรกลิ้งบนเตียง ทำไมต้องกลิ้งบนพื้นที่ทั้งแข็งและไม่รู้สึกสบายนี้ด้วย!

ขณะที่เธอกำลังบ่มงึมงำในใจ หูก็พลันได้ยินเสียง ‘ฟุบ’ ดังขึ้นเหมือนกับวัตถุมีคมบางอย่างแล่นผ่านข้างหูเธอไป ทำให้เธอตกใจจนหัวใจบีบรัด แล้วมองตามทิศทางของเสียงนั้นไป

ก่อนที่จะเห็นเพียงตำแหน่งที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้มีลูกธนูปักอยู่

พื้นด้านล่างปูด้วยหินแกรนิตจึงแข็งแรงอย่างมาก ทว่าลูกธนูนั้นกลับทะลุผ่านพื้นเข้าไปถึงสามส่วน ถ้าเมื่อครู่ลูกธนูนั้นปักเข้าที่ตัวเธอละก็…

พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เล่อเหยาเหยาจึงอดตัวสั่นด้วยความกลัวไม่ได้ ภายในดวงตากลมโตปรากฏความกลัวที่มิอาจบรรยายเป็นถ้อยคำ

แต่ทว่าก่อนที่เล่อเหยาจะหวาดกลัวไปมากกว่านี้  ก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองถูกจับหมุนอีกครั้งราวกับกระสอบทรายที่ถูกคนคว้าขึ้นมา

ท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับอีกครั้งแล้ว ทว่าครั้งนี้เล่อเหยาเหยาจิตใจสงบมากขึ้น อีกทั้งเมื่อครู่ที่ยืนอยู่นั้นเธอได้กวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ไม่มองจะดีกว่าเสียอีก เพราะสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าทำให้เธอเบิกตากว้างมองอย่างตื่นตะลึง…

แม่เจ้า ตอนนี้กำลังถ่ายละครอยู่ใช่ไหม!?

เมื่อเห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรือนหย่าเฟิงอันไร้ผู้คน ได้ปรากฏคนชุดดำกว่าสิบคนที่ปิดบังใบหน้าและสวมชุดสีดำ แต่ละคนต่างถืออาวุธที่แหลมคมอยู่ในมือขึ้นมา

หัวหน้าผู้นั้น ในมือกำลังถือคันธนูที่ว่างเปล่า จึงเห็นได้ชัดว่าลูกธนูที่ยิงมาเมื่อครู่เป็นฝีมือของเขา

พอมองไปที่สายตาของคนชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกผู้นั้น ดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยไอสังหาร ถ้าสายตาสามารถสังหารคนได้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋คงถูกเขาฟาดฟันกลายเป็นศพไปแล้วอย่างแน่นอน

เห็นชัดว่าคนชุดดำกลุ่มนี้มาเพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แต่เล่อเหยาเหยาอยากจะเข้าไปตะโกนใส่หัวหน้าคนชุดดำผู้นั้นจริงๆ

มารดามันเถอะ ช่วยเล็งธนูให้ดีๆ หน่อยได้หรือไม่! อย่ายิงผิดคน ถ้าเมื่อครู่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้ดึงตัวเธอไว้ วันนี้เกลัวว่าเธอคงต้องตายอีกครั้งแล้ว

แต่ทว่า…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังกอดสายรัดเอวตนเองอยู่

ชายหนุ่มคนนี้สูงมากจริงๆ เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา เธอจึงรู้สึกว่าตนเองเหมือนนกน้อยที่ต้องการคนพึ่งพา

…………………………………………………………..

[1] หยาดน้ำฝนบนดอกแพร์ หมายถึง การเปรียบเปรยถึงใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของหญิงงาม

[2] ฟ้าผ่าลงมาตอนกลางวัน[2] หมายถึง เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น จนทำให้ตกใจอย่างมาก