เพิ่งนั่งลง ก็เห็นนกกระเรียนกระดาษสีออกเหลืองนิดๆ บินล่องลอยมาหานาง
นี่คือนกกระเรียนกระดาษถ่ายทอดเสียงที่ศิษย์สำนักเหิงเจินใช้ เพราะใช้วัสดุราคาถูกมาก ดังนั้นศิษย์ผู้ดูแลและศิษย์สายนอกจึงใช้ส่งข่าวสารที่ไม่สำคัญ
“ใครมาหาข้านะ?” จินเฟยเหยารับนกกระเรียนกระดาษที่บินมาอย่างสงสัย ใช้มือร่ายเวทเบาๆ นกกระเรียนกระดาษสีเหลืองก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย น้ำเสียงสงบนิ่งถ่ายทอดออกมา
“ศิษย์น้องจิน มีคนมาหาเจ้านอกประตูสำนัก รีบมาด่วน”
เดือนนี้ศิษย์สายในที่เฝ้าประตูมีแปดคน แค่ได้ยินเสียงก็บอกไม่ได้ว่าเป็นศิษย์พี่คนใด แต่นางก็ยังสงสัย ตนเองนอกจากไปเมืองหลิ่วไถที่อยู่ไม่ไกลนักเพื่อซื้อของใช้ประจำวันเล็กน้อยเป็นบางครั้ง ก็ไม่รู้จักคนภายนอกเลย
“จะเป็นใครนะ?” จินเฟยเหยาพึมพำ วิ่งไปที่เชิงเขา
แพะฉางหลิงยังอยู่ที่นี่ไม่ได้วิ่งวุ่นวาย ศิษย์สายนอกที่ต้อนฝูงแพะอยู่รอบด้านล้วนคุ้นเคยดี ไม่มีใครมาขโมย อีกทั้งมีป้ายคุมสัตว์อยู่ คิดจะแอบขโมยไปสักตัวก็เป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างอาศัยอยู่บนยอดเขาชิงเหยี่ย หากขโมยแพะฉางหลิงหลายสิบตัวไปตรงๆ ถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลา
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงทิ้งแพะแล้ววิ่งไปเนินเขาอย่างวางใจ แค่ตอนผ่านศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคนก็ทักทายพวกนางไม่กี่คำ ให้พวกนางช่วยดูหน่อย อีกสักครู่ตนเองจะกลับมา
รอจนนางวิ่งมาถึงประตูสำนัก พบว่านอกจากศิษย์พี่ที่เฝ้ายามแปดคนแล้วก็ไม่เห็นคนอื่นเลยสักนิด จินเฟยเหยามองดูรอบๆ คิดจะเอ่ยถามศิษย์พี่ที่เฝ้ายามทางด้านข้าง “ศิษย์พี่ ข้าชื่อจินเฟยเหยา เมื่อครู่ได้รับนกกระเรียนกระดาษถ่ายทอดเสียงบอกว่ามีคนมาหาข้า ขอถามหน่อย คนที่มาหาข้าไปแล้วใช่หรือไม่?” ศิษย์พี่ที่เฝ้ายามคนหนึ่งมองนาง ชี้ไปที่บันไดศิลาด้านล่างประตูสำนัก ประตูสำนักของสำนักเหิงเจินสร้างขึ้นที่เชิงเขาของภูเขาเหิงอัน ส่วนยอดเขาลั่วซี ยอดเขาชิงเหยี่ย และยอดเขาอื่นๆ ล้วนอยู่ในภูเขาเหิงอันทั้งหมด ถึงจะบอกว่าเป็นเชิงเขา ทว่าก็ยังต้องเดินลงบันไดศิลาเกือบสามพันขั้นจึงถึงเชิงเขาที่แท้จริง
ทุกบันไดศิลาหนึ่งพันขั้นที่สำนักเหิงเจินสร้าง ก็จะสร้างแท่นราบพาดข้ามประมาณสองจั้ง[1] แท่นราบทางเข้าประตูสำนักกว้างขวางเป็นพิเศษ อย่างไรก็เป็นหน้าตาของสำนัก ดังนั้นจึงสร้างใหญ่โตเป็นพิเศษ กว้างสิบกว่าจั้งเต็มๆ
เห็นสัญญาณมือของศิษย์พี่เฝ้ายาม ความหมายคือคนอยู่บนแท่นราบด้านล่าง จินเฟยเหยาต้องเดินลงไป บนแท่นราบด้านล่างว่างเปล่าไม่มีใครสักคน นางก็มีโทสะ ใครมาล้อนางเล่นกันแน่
“คุณหนูรอง ในที่สุดก็พบท่านแล้ว” ในขณะที่นางชะโงกศีรษะมองแท่นราบเบื้องล่าง ด้านหลังก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังมา จินเฟยเหย่าร่างแข็งทื่อ เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นด้านหลังในพริบตา นางหันกายมาอย่างช้าๆ เอ่ยกับคนสองคนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “ลุงตง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“คุณหนูรอง พวกเราตามหาท่านมาหนึ่งปีเต็มๆ คิดไม่ถึงว่าท่านจะหนีมาอยู่ที่นี่ รีบตามพวกเรากลับไปเถอะ” คนที่นางเรียกว่าลุงตง คือชายชราอายุห้าสิบกว่าปี สวมชุดผ้าไหมสีน้ำตาลทั้งตัว ผมเผ้าและหนวดเคราหงอกขาว ร่างกายยังเหยียดตรงเหมือนเมื่อก่อน ดูไปแล้วแข็งแรงยิ่ง
ส่วนข้างกายของเขามีเด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งยืนอยู่ สวมชุดเสื้อตัวสั้น จินเฟยเหยาใช้หางตามองดูก็รู้ เจ้าหมอนี่เหมือนกับนางต่างก็เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญร่างกายขั้นสาม
จินเฟยเหยากำหมัดแน่น เอ่ยอย่างช้าๆ “ลุงตง ข้าอยู่ที่นี่สุขสบายดี ไม่คิดจะกลับไป รบกวนท่านกลับไปบอกท่านปู่ว่าไม่ต้องคิดถึงข้าแล้ว”
“คุณหนูรอง นายผู้เฒ่าให้ข้าพาท่านกลับไปให้ได้ ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย” ลุงตงตัดบทคำพูดของนาง ท่าทีเด็ดเดี่ยวไม่ยอมถอยให้สักนิด
จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ลุงตง แบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง ข้ายังเลี้ยงแพะฉางหลิงอยู่หลายสิบตัว สะบัดมือจากไปเช่นนี้ จะไม่รับผิดชอบเกินไปหน่อยแล้ว”
ลุงตงเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “คุณหนูรองวางใจเถอะ พวกเราจะไปตึกผู้ดูแลจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่ให้คุณหนูรองต้องลำบากใจ”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำให้พวกเขาจากไปได้จริงๆ จินเฟยเหยาจึงได้แต่เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็จะตามพวกท่านกลับไป เพียงแต่ข้าต้องกลับไปเก็บสัมภาระที่สำนักก่อน พวกท่านรอช้าอยู่ที่นี่สักครู่”
พอเอ่ยจบ นางก็ไม่สนใจว่าลุงตงจะเห็นด้วยหรือไม่ รีบเดินผ่านพวกเขาไปในสำนัก จากนั้นก็ได้ยินเสียงลุงตงดังมาจากด้านหลัง “คุณหนูรอง ไม่ต้องเก็บสัมภาระเหล่านั้นแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไร”
พอลุงตงเอ่ยจบ จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าด้านหลังมีพลังวิญญาณสองสายปรากฏขึ้น ลมแรงขุมหนึ่งทะลักมาจากทางด้านหลัง
“แย่แล้ว” จินเฟยเหยาไม่มีเวลาหันหน้ากลับไป กลิ้งไปทางด้านซ้ายทันที จากนั้นได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น ลมหมัดเฉียดผ่านร่างของนางไป บันไดศิลาที่นางยืนอยู่เมื่อครู่ถูกลุงตงใช้หมัดต่อยจนเป็นหลุมลึกสามฉื่อกว่า
จินเฟยเหยาเผลอร้องออกมา “ลุงตง ท่านคิดจะทำอะไร!”
“คุณหนูรอง ขอโทษด้วย นายผู้เฒ่าบอกว่าท่านเจ้าเล่ห์เหนือใคร จะต้องหาข้ออ้างหลบกลับเข้าไปในสำนัก เป็นตายอย่างไรก็ไม่ออกมาแน่ เพื่อไม่ให้ท่านหนีไป ดังนั้นจึงให้พวกเราหักขาของท่านแล้วพากลับไป” หมัดของลุงตงมีหมอกสีขาวสาดกระจายออกมา ราวกับเทน้ำเย็นจัดลงบนอาวุธอันร้อนฉ่า จินเฟยเหยาคุ้นเคยกับฉากนี้ดี นั่นคือปรากฏการณ์ที่ร่างกายใช้พลังวิญญาณเสริมกำลังตอนฝึกบำเพ็ญร่างกายถึงขั้นที่หก
เมื่อเห็นความคิดของตนเองถูกลุงตงมองออก จินเฟยเหยาร้องตะโกนเสียงดัง “ลุงตง ท่านพูดอะไรน่ะ ท่านปู่จะสั่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
นึกถึงตอนที่ตนเองหนีออกมาจากบ้านเมื่อปีที่แล้ว ลุงตงยังติดอยู่ที่วรยุทธ์ขั้นห้ามาสิบกว่าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจากกันแค่ปีเดียว วรยุทธ์เขาก็ก้าวหน้ามาถึงขั้นหกแล้ว ด้วยอายุของเขาคงต้องกินยาวิญญาณอะไรลงไปเพื่อบังคับให้ทะลวงด่านแน่นอน
ส่วนตนเองตอนนี้เพิ่งมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสาม พลังการบำเพ็ญเพียรเหมือนกับบ่าวรับใช้คนนั้น หากให้เขาจับตัวกลับไปได้ เช่นนั้นก็จบสิ้นแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้จินเฟยเหยาก็ไม่พูดไร้สาระอีก ใช้แข็งปะทะแข็งก็ไม่ไหว ดูท่าได้แต่ใช้อุบายฉกฉวย
สองมือของนางพอใช้กำลัง เล็บมือสีขาวน้ำนมยาวสี่ชุ่น[2]ก็โผล่ออกมาในอากาศ จากนั้นนางก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหัน พุ่งเข้าใส่บ่าวรับใช้คนนั้น จินเฟยเหยาหุบรอยยิ้มนานแล้ว สองตาเต็มไปด้วยไอสังหาร ยื่นกรงเล็บแหลมคมคว้าจับใบหน้าของบ่าวรับใช้อย่างดุร้าย
เห็นจินเฟยเหยาใช้เล็บมือที่พกพาแสงสีขาวคว้าจับมาอย่างอำมหิต บ่าวรับใช้ก็หวาดกลัวขนาดลืมถอยหลังหลบ ยืนนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อน ถึงแม้เขาก็เป็นผู้บำเพ็ญขั้นสาม ทว่ากลับเพียงแค่เคยประมือกับคนในบ้านและในสถานศึกษาเท่านั้น ล้วนแค่จี้ถึงก็หยุดมือ ไม่เคยเห็นท่าทางแหลมคมดุร้ายเช่นนี้มาก่อน
กรงเล็บของจินเฟยเหยาควักดวงตาของบ่าวรับใช้ไม่ลังเลเลยสักนิด ในขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสดวงตาของเขา ลุงตงก็ต่อยหมัดมา นิ้วของจินเฟยเหยาเปลี่ยนทิศทาง ใช้มือคว้าจับไหล่ของบ่าวรับใช้ ดึงเขาโยนไปทางหมัดที่ลุงตงต่อยมา ส่วนนางก็ฉวยโอกาสหยิบยืมแรงกระโดดออกไปทางด้านหลัง ไถลตัวออกไปไกลสองจั้งกว่าจึงหยุดลง
ได้ยินเสียงดังทึบและเสียงร้องอนาถของบ่าวรับใช้ ถึงแม้ว่าลุงตงจะออมแรงแล้ว ทว่าก็ยังชกหมัดหนักๆ ลงบนท้องของบ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้ถูกต่อยจนลอยออกไป และกลิ้งลงไปตามบันไดหิน ส่วนลุงตงเผลอตะโกนเรียกบ่าวรับใช้เสียงดัง “ตงจื่อ!”
ตงจื่อ? หรือว่าเป็นบุตรชายของลุงตง บุตรชายของเขาหูใหญ่หัวโตไม่ใช่แบบนี้นี่นา หรือว่าเป็นลูกนอกกฎหมาย จินเฟยเหยาหายใจออก เดาเปะปะอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เห็นลุงตงไม่ได้ไล่ตามตงจื่อลงไป ทว่าจ้องมองนางอย่างดุร้ายทันที นางรีบเอ่ยว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับข้า ท่านเป็นคนต่อยเขาลงไปเอง มาจ้องข้าทำไม ท่านรีบไปช่วยเขาเถอะ ถูกท่านต่อยแบบนั้น ต้องบาดเจ็บถึงอวัยวะภายในแน่”
ลุงตงใบหน้าเขียวคล้ำ กลับเดินเข้ามาหาจินเฟยเหยาทีละก้าว “คุณหนูรองอายุยังน้อย กลับลงมืออำมหิตปานนี้ ท่าทางคำพูดของนายผู้เฒ่าจะถูกต้อง ต้องทุบตีท่านจนขยับไม่ได้จึงสามารถพาท่านกลับไปอย่างปลอดภัยได้”
“ลุงตง ข้าไม่เหมือนพวกท่าน ที่เป็นบ่าวเป็นทาสให้กับตระกูลเล็กๆ แค่อาศัยพลังการบำเพ็ญเพียรในร่างก็สามารถคุ้มครองให้ทั้งตระกูลอยู่ดีมีสุขไปหลายชั่วอายุคน ท่านก็รู้ถึงสภาพของข้า เหตุใดจึงต้องบีบคั้นด้วย” จินเฟยเหยายืนตัวตรง เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเขาอย่างเย็นชา
ลุงตงส่งเสียงฮึ ความเคารพเล็กน้อยก่อนหน้านี้หายไปนานแล้ว เอ่ยด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “คุณหนูรองไยต้องทำเช่นนี้ สตรีตระกูลใดบ้างไม่แต่งงาน บีบคั้นอะไรที่ไหน กลับเป็นคุณหนูรอง เพื่อปฏิเสธการแต่งงานถึงกับทำเรื่องผิดจารีตเช่นนี้ออกมา”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ใช้กำลังพูดคุยเถอะ” เมื่อเห็นว่าไม่มีทางหนี จินเฟยเหยาก็ไม่พูดมาก นางกระโดดขึ้น ยกสองมือพาเงาสีขาวที่เหลือโจมตีลุงตง
ลุงตงตวาดด้วยโทสะ พลังวิญญาณปะทุออกมาจากรูขุมขน กล้ามเนื้อทั่วร่างโป่งพอง หมัดที่แฝงด้วยพลังวิญญาณก็พุ่งเข้ามาใส่หน้า ทั้งสองคนปะทะกัน ความเคลื่อนไหวว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ประมือกันดังเพี๊ยะพะ
ลุงตงได้เปรียบที่พลังบำเพ็ญเพียรสูง พละกำลังแข็งแกร่งจึงเป็นฝ่ายเหนือกว่า ส่วนจินเฟยเหยาอาศัยความว่องไวของร่างกาย หลบการโจมตีส่วนใหญ่ของลุงตง ทั้งยังสามารถหาโอกาสทำร้ายเขาได้ด้วย
รอบแท่นราบถูกพวกเขาสองคนสู้กันจนเศษหินกระจาย มีหลุมบนพื้นจำนวนนับไม่ถ้วน บันไดศิลาถูกทำลายอย่างน้อยร้อยขั้น เล็บมือของจินเฟยเหยาแหลมคมไร้ที่เปรียบ สามารถตัดเหล็กได้ ศิลารอบด้านถูกนางคว้าทำลายได้อย่างง่ายดายดุจเต้าหู้
ถึงแม้ลุงตงมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่านาง ทว่าก็แค่ขั้นหก ร่างกายยังมิอาจแข็งแกร่งประดุจเหล็ก ตอนนี้ทั่วร่างของเขาล้วนเป็นบาดแผลที่ถูกจินเฟยเหยาคว้าจับ ถึงจะไม่ลึก ทว่ามีจำนวนไม่น้อย โลหิตสดทั่วร่างทำให้เขาดูแล้วน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น รับไปหลายหมัดเน้นๆ ติดต่อกัน ถึงแม้จะมีพลังวิญญาณคอยปกป้องชีพจรหัวใจ ทว่าก็สะเทือนจนต้องอ้าปากกระอักโลหิตออกมา อวัยวะภายในเสียหาย
นางพ่นโลหิตสดใส่ใบหน้าของลุงตงเพื่อทำให้ดวงตาของเขาพร่าเลือนไปชั่วขณะ จินเฟยเหยาฉวยโอกาสตอนที่เขาเช็ดดวงตาตีลังกากลับหลังร่อนลงบนพื้น พลังวิญญาณทั้งหมดพุ่งไปที่นิ้วทั้งสิบ ปรากฏแสงสีแดงขึ้น เล็บมือสีขาวน้ำนมเปลี่ยนเป็นสีแดงสด จากนั้นก็หลุดออกจากนิ้ว
เล็บมือยาวสี่ชุ่นทั้งสิบ ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีแดงเลือด ดวงตาของจินเฟยเหยาเผยให้เห็นแววอำมหิต มือขวาโบกใส่ลุงตง ปากตะโกนเสียงดัง “ไป”
เล็บสีแดงโลหิตที่ลอยอยู่ในลำแสงสีแดงพุ่งตรงเข้าใส่ลุงตง
ลุงตงเช็ดโลหิตสดบนดวงตาทิ้งแล้ว กำลังจะพุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยา แลเห็นเล็บบินมาทางตนเอง เขารีบล้วงกระดาษยันต์ใบหนึ่งออกมาจากบนตัวแล้วโยนออกไป
“ตูม!”
บอลไฟลูกหนี่งพุ่งออกมาจากกระดาษยันต์อัดกระแทกลงบนเล็บสีแดง เล็บส่วนใหญ่ถูกบอลไฟเผาจนหมดสิ้น มีเพียงเล็บสามอันที่บินผ่านบอลไฟออกมาได้ นอกจากอันหนึ่งที่โดนไหล่ลุงตงจนถลอก ที่เหลืออีกสองอันล้วนถูกเขาหลบได้
[1] จั้ง คือ หน่วยวัดความยาว มีค่าประมาณ 3.333 เมตร
[2] ชุ่น คือ หน่วยวัดความยาว มีค่าประมาณ 3.333 เซนติเมตร