จินเฟยเหยากัดริมฝีปาก นางคิดไม่ถึงว่าลุงตงจะโยนยันต์เพลิงขั้นสองใบหนึ่งออกมา ยังดีที่นางตอบสนองได้ทันท่วงที หลบได้รวดเร็ว เพียงแค่ถูกเผาตรงขาจนบาดเจ็บ ยันต์เพลิงขั้นสองนี้อย่างน้อยต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างสิบก้อนจึงซื้อหาได้ ความมือเติบของลุงตงทำให้จินเฟยเหยาตื่นตระหนก
ท่าทางท่านปู่คงโกรธมาก สิ่งของเช่นนี้ก็ตัดใจนำออกมาได้ ปีก่อน ลูกพี่ลูกน้องที่มีพลังวิญญาณปฐพีไปเป็นศิษย์สายในของสำนักหลิงคง ปกติท่านปู่โปรดปรานเขา ก็เพียงแค่นำศิลาวิญญาณชั้นล่างสองร้อยก้อนให้เขานำติดตัวไปสำนัก จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ด้วยนิสัยมุ่งแต่จะเอาประโยชน์เพียงถ่ายเดียวของท่านปู่ ปกติจะไม่ทำเรื่องล้างผลาญเช่นนี้ หรือว่าเรื่องที่ตนเองทำต่อเขาทำให้เขามีโทสะขนาดนี้ นางยังไม่ได้คิดตรงจุดนี้ให้เข้าใจ หลังเปลวเพลิงสลายไปลุงตงก็พุ่งเข้ามาต่อยหมัดที่พกพาเสียงท้าลมเข้าใส่หน้า จินเฟยเหยาหลบไม่ทัน ได้แต่ใช้สองแขนกันไว้เบื้องหน้าลำตัว ต้านรับหมัดนี้อย่างหักโหม
“หยุดนะ” ทันใดนั้น ได้ยินเสียงคนตวาดด้วยโทสะ แท่งน้ำแข็งสามชิ้นฝ่าอากาศมา ปักลึกลงบนพื้นระหว่างคนทั้งสอง ต้านทานการโจมตีของลุงตงเอาไว้อย่างแรง
เห็นน้ำแข็งปักลึกลงในแผ่นศิลาห้าหกชุ่น ลุงตงกุมหมัดที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ มองผู้มาด้วยสีหน้าไม่น่าดู ส่วนจินเฟยเหยากลับถอนหายใจโล่งอก ตะโกนเรียกผู้มาอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่หลิน” บันไดศิลาด้านบนมีสตรีสวมชุดสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าตามันเยิ้มปราศจากแป้งแวววาวดุจไขมัน กระโปรงขาวบนร่างสะบัดเองโดยไร้ลมพัด สายบนกระโปรงโบกพลิ้วเองอย่างอ่อนโยน ผีเสื้อสีขาวตัวหนึ่งที่กลายร่างมาจากพลังวิญญาณมีแสงสว่างกระพริบวิบวับ บินร่ายรำขึ้นลงรอบร่างนางอย่างต่อเนื่อง
สีหน้านางเย็นชา ยืนอยู่เหนือพวกเขาอย่างหยิ่งทระนงดุจเซียนสตรีลงมาสู่โลกมนุษย์ มองเห็นปราณเซียนบางๆ ทั่วร่าง ลุงตงมีแค่พลังวิญญาณเทียม ถึงกับมองพลังการบำเพ็ญเพียรของผู้มาไม่ออกไปชั่วขณะ ถึงแม้จะรู้ว่าชุดที่คนผู้นี้สวมใส่มิใช่ชุดของศิษย์สายใน ทว่าบุคลิกลักษณะที่หยั่งไม่ได้นั้น ทำให้ลุงตงไม่กล้าทำอะไรวู่วามชั่วคราว ศิษย์พี่หลินขมวดคิ้วนิดๆ ตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำร้ายศิษย์สำนักเราอย่างเปิดเผยที่นี่ และยังทำลายประตูสำนักเราด้วย มีความกล้าไม่เบา”
ศิษย์พี่หลินเพียงแค่ตวาดไปเช่นนั้นเอง ไอเย็นขุมหนึ่งที่ล้อมรอบอยู่ค่อยๆ เปิดออก ส่วนใต้เท้าของนาง น้ำค้างแข็งชั้นหนึ่งแผ่ขยายไปรอบด้านตามบันไดศิลา
ไม่รอให้น้ำค้างแข็งมาถึงเบื้องหน้า ไอเย็นก็พุ่งมาโอบล้อมลุงตงแล้ว เขาไม่กล้าชักช้า รีบเอ่ยขออภัยสตรีเบื้องหน้า “ท่านเซียนโปรดระงับโทสะ ข้าคือคนตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนในสำนักหลิงคง ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าตระกูลให้มารับคุณหนูของบ้านเรากลับไป ไม่ได้มาก่อเรื่อง”
“รับคุณหนูของบ้านเจ้า?” ศิษย์พี่หลินมองเขาและจินเฟยเหยา เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ทุบตีจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ก็นับเป็นครอบครัวเดียวกันหรือ? ข้าว่าเจ้ามาก่อเรื่องที่นี่ชัดๆ อย่ามาเถียงข้างๆ คูๆ” ยามนี้จินเฟยเหยาหนีไปอยู่ข้างกายของศิษย์พี่หลินนานแล้ว กดทรวงอกที่เจ็บปวดแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านอย่าฟังเขาพูดจาเหลวไหล ข้าไม่รู้จักเขาเลยสักนิด พอพบหน้ากันเขาก็ลงมือกับข้าอย่างไม่รู้สาเหตุ อีกทั้งใครเคยเห็นการมารับคนแบบนี้บ้าง คิดจะฆ่าข้าให้ตายชัดๆ”
เห็นจินเฟยเหยาปฏิเสธว่าไม่รู้จักตนเอง ส่วนสตรีผู้นั้นเห็นได้ชัดว่ารู้จักกับนาง ในใจของลุงตงก็วุ่นวายขึ้นมาทันที ถ้าหากสตรีผู้นี้ลงมือฆ่าตนเอง ให้ตายที่นี่ เกรงว่าทางตระกูลคงไม่กล้ามาถามไถ่ถึงสำนัก
ยามนี้ลุงตงมีร้อยปากก็เถียงไม่ได้ ทั้งยังเห็นแววเย็นเยียบในดวงตาของสตรีแซ่หลินกระพริบวาบ ไอสังหารปรากฏ ได้แต่บ่นพึมพำกับตนเอง
ในขณะนี้เอง ได้ยินเสียงตะโกนของบุรุษดังมาจากด้านบน “บังอาจ! สถานที่สำคัญเช่นประตูสำนักเป็นสถานที่ที่คนเช่นเจ้ามาก่อเรื่องได้หรือ” ศิษย์พี่เฝ้ายามสองคนเดินมาทีหลัง หอกยาวทองม่วงในมือชี้มาที่พวกนาง
เห็นสองคนนี้ ในใจของลุงตงค่อยผ่อนคลาย หากไม่ได้ติดสินบนคนเฝ้ายามล่วงหน้า ต่อให้หยิบยืมความกล้าอย่างเต็มที่ เขาก็ไม่กล้าลงมือจับกุมคนที่หน้าประตูใหญ่ของผู้อื่น เดิมทีเจตนาของนายผู้เฒ่าคือให้นำศิลาวิญญาณไปที่ตึกผู้ดูแลโดยตรง ไล่จินเฟยเหยาออกจากสำนักเหิงเจิน จากนั้นค่อยจับตัวกลับไป
เพียงแต่ลุงตงเกิดความเห็นแก่ตัวคิดจะเม้มศิลาวิญญาณเหล่านั้นไว้ใช้เอง จึงเพียงแค่ติดสินบนศิษย์ที่เฝ้ายาม นึกว่าด้วยวรยุทธ์ของตนเองคงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถจับจินเฟยเหยาได้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าสุดท้ายจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ตอนนี้ได้แต่หวังให้ศิษย์ที่เฝ้ายามเห็นแก่ศิลาวิญญาณ อย่าได้สร้างความลำบากแก่ตนเองเกินไปนัก
ส่วนศิษย์เฝ้ายามมองแท่นราบที่ถูกต่อยจนเละเทะ ในใจก็มีโทสะ เจ้าสวะนี่ แค่จับกุมสตรีที่ยังไม่บรรลุขั้นฝึกปราณ ถึงกับก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้เสียทีที่พวกเขาแสร้งทำเป็นหูหนวกไม่รับรู้อยู่ด้านบน ใช้เวลาอยู่ครึ่งวันเรื่องราวยังไม่สำเร็จ กลับยังดึงดูดคนอื่นมาอีก ศิลาวิญญาณชั้นล่างสิบก้อนนี้ไม่คุ้มค่าเลย
“ใครให้พวกเจ้ามาสู้กันที่นี่ เจ้า ตามพวกเราไปตึกผู้ดูแลพบอาจารย์อาผู้ควบคุม” ศิษย์เฝ้ายามชี้ลุงตงอย่างน่าเกรงขาม หอกยาวทองม่วงในมือเสียงดังชี่ชี่ สายฟ้าแต่ละสายที่พันรอบหัวหอกดูแล้วเหมือนหากลุงตงไม่ยอมก็จะลงมือจับเขาทันที ทว่าในดวงตากลับแอบบอกลุงตงเป็นนัยลับหลังทุกคน
ลุงตงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รีบห้อยมือลงทำท่าทางขลาดกลัว รีบก้าวมาข้างหน้า เอ่ยปากอย่างหวาดหวั่น “ท่านเซียนโปรดเมตตา ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ละเว้นข้าเถอะ”
“ไม่ต้องพูดเหลวไหล รีบไป จะจัดการอย่างไร อาจารย์อาผู้ควบคุมย่อมจัดการอย่างเหมาะสมเอง” ศิษย์เฝ้ายามถลึงตาใส่เขา เอ่ยด่าทออย่างดุร้าย จากนั้นก็เอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างห่วงใย “เจ้ากินยารักษาอาการบาดเจ็บก่อน จากนั้นรีบไปที่ตึกผู้ดูแล เรื่องนี้จะขาดเจ้ามายืนยันต่อหน้าไม่ได้”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วง ข้าจะรีบตามไป” หลังจากจินเฟยเหยาเอ่ยขอบคุณ ก็มองศิษย์พี่เฝ้ายามพาตัวลุงตงไปตึกผู้ดูแลด้วยสีหน้าอึมครึม ส่วนตงจื่อที่ยังหมดสติอยู่ก็ถูกขยับไปอยู่ด้านข้าง
มองสีหน้าไม่น่าดูของนาง ศิษย์พี่หลินก็หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากในอก เทยารักษาอาการบาดเจ็บเม็ดสีเขียวลงในฝ่ามือ ยื่นส่งให้ถึงเบื้องหน้าจินเฟยเหยา “ข้าให้ รักษาอาการบาดเจ็บภายในก่อนเถอะ”
“ขอบคุณศิษย์พี่” จินเฟยเหยารับยามา โยนใส่ปากอย่างไม่ลังเลสักนิด
“ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าข้าชดใช้ศิลาวิญญาณที่ติดค้างเจ้า”
ปฏิกิริยาของจินเฟยเหยาคืออยากจะอาเจียนยารักษาอาการบาดเจ็บที่กินลงไปออกมา เพียงแต่น่าเสียดายที่ยาลงท้องไปนานแล้ว ต่อให้อาเจียนออกมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคืนให้ศิษย์พี่หลิน
นางได้แต่เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ศิษย์พี่ ท่านช่างไม่เกรงใจจริงๆ ที่ท่านติดค้างคือศิลาวิญญาณชั้นล่างห้าก้อน ยารักษาอาการบาดเจ็บหนึ่งเม็ดไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น”
“ข้ารู้ บนตัวเจ้าไม่มียารักษาบาดแผล ถึงแม้ยารักษาอาการบาดเจ็บนี้จะรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเจ้าไม่ได้ทันที ทว่าสภาพในตอนนี้ สามารถทำให้เจ้าเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น ด้านในยังมีอีกสามเม็ด ให้เจ้าเอาไปทั้งหมด ศิลาวิญญาณที่ติดค้างก็หายกัน” ยามนี้ศิษย์พี่หลินไร้เหตุผลอยู่บ้าง บังคับยัดขวดหยกในมือใส่อกของจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้นางต้องการยานี้จริงๆ ถึงแม้จะรู้ชัดเจนว่าตนเองถูกหลอก ทว่าก็ได้แต่ฝึนใจรับไว้
เห็นนางใส่ขวดหยกไว้ในอกอย่างไม่ยินยอม ศิษย์พี่หลินก็เอ่ยถามอย่างชืดชา “เจ้ายังไม่ไปอีก คิดจะไปยืนยันต่อหน้าที่ตึกผู้ดูแลจริงหรือ?”
จินเฟยเหยามองด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนเอ่ย “ท่านเห็นว่าข้าจะแอบหนีไปทันที ดังนั้นจึงหลอกเอาศิลาวิญญาณของข้าแบบนี้ ไม่พูดกับท่านแล้ว ข้าต้องไปก่อนละ ถ้าต่อไปมีโอกาส ตอนพวกเราพบกันใหม่ ท่านต้องคืนศิลาวิญญาณที่ติดค้างข้าด้วย ของสิ่งนี้มีค่าแค่ศิลาวิญญาณชั้นล่างสองก้อนเท่านั้น ท่านยังติดค้างข้าอีกสามก้อน”
ไม่สนใจว่าศิษย์พี่หลินจะตอบตกลงหรือไม่ จินเฟยเหยาทิ้งคำพูดนี้ไว้ ไม่ได้เอาสิ่งของอะไรไปด้วย รีบวิ่งไปลงจากเขาไป ถือโอกาสตอนที่ลุงตงถูกรีดไถที่ตึกผู้ดูแล นางก็หนีออกมาไกลแล้ว ลุงตงใช้ศิลาวิญญาณทั้งหมดที่พกมาที่ตึกผู้ดูแล พูดคำพูดที่น่าฟังจนหมดสิ้น ล้วงสิ่งของที่มีราคาบนร่างออกมาจนเกลี้ยงจึงชดใช้ความเสียหายของบันไดศิลาที่พังไปได้ ส่วนข้อร้องขอที่จะพาตัวจินเฟยเหย่าไป ผู้อาวุโสที่ควบคุมกลับใช้เหตุผลต่างๆ นานามาปฏิเสธ สุดท้ายจึงได้บอกใบ้ว่าขอเพียงนำศิลาวิญญาณชั้นล่างหกร้อยก้อนออกมา เขารับรองว่าจะให้จินเฟยเหยารั้งอยู่ที่นี่
ลุงตงพกศิลาวิญญาณชั้นล่างมาแค่สามร้อยก้อน และถูกรีดไถจนไม่เหลือไปนานแล้ว โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องการเงินทอง ไม่เช่นนั้นคงไม่เหลือแม้แต่ค่ารักษาตงจื่อและค่าเดินทางกลับไป
เขาได้แต่หารือกับผู้อาวุโสที่ควบคุม ว่าไม่ให้จินเฟยเหยาหนีไปชั่วคราวได้หรือไม่ รอจนเขากลับไปรวบรวมศิลาวิญญาณครบแล้วก็จะมา ตอนแรกผู้อาวุโสที่ควบคุมไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องคนอื่น คนที่ยังไม่บรรลุขั้นฝึกปราณ ใครจะใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างหกร้อยก้อนมาหาเรื่องนางโดยเฉพาะ
ทว่าหลังจากลุงตงพูดถึงสาเหตุของเรื่องออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ผู้อาวุโสที่ควบคุมรู้สึกว่า ต่อให้ตนเองเสนอราคาศิลาวิญญาณชั้นล่างหนึ่งพันก้อน พวกเขาก็ต้องยอมจ่ายด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี
ที่แท้ตระกูลจินเป็นตระกูลบำเพ็ญเซียนที่พึ่งพาการดำรงอยู่ของสำนักหลิงคง ขนาดไม่นับว่าใหญ่ พลังการบำเพ็ญเพียรของหัวหน้าตระกูลแค่ขั้นฝึกปราณช่วงปลาย อีกทั้งเพราะสู้กับคนอื่นเมื่อสิบกว่าปีก่อนยังถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก ฟื้นฟูพลังการบำเพ็ญเพียรให้เป็นดังดังเดิมไม่ได้มาตลอด
บวกกับในตระกูลมีผู้เยาว์รุ่นหลังที่มีพลังวิญญาณไม่มากนัก ดังนั้นเขาต้องการยกระดับกำลังในตระกูลอย่างเร่งด่วน จึงคิดหาวิธีการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานของสำนักหลิงคง เขาแอบเลือกเด็กหญิงที่ไม่เฉลียวฉลาดและไม่ได้รับความโปรดปรานในตระกูลออกมาสามคน ฉากหน้าบอกว่าจะให้พวกนางเรียนเคล็ดวิชาเดี่ยวดีๆ ทว่ากลับเปลี่ยนปกคัมภีร์ผสานหยาง บอกว่าเป็นเคล็ดวิชาไหมหยกที่สตรีฝึกบำเพ็ญแบ่งให้ทั้งสามคนฝึกปรือ นี่คือเคล็ดวิชาที่ฝึกเตาหลอมมนุษย์โดยเฉพาะ รอจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ส่งให้ผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานของสำนักหลิงคงทำเตาหลอมมนุษย์ ใช้เรื่องนี้แลกกับการดูแลและหาทางออกที่ดีให้กับผู้เยาว์รุ่นหลังที่เฉลียวฉลาด
เรื่องนี้แม้แต่บิดามารดาของเด็กหญิงยังไม่รู้ เนื้อหาของคัมภีร์ผสานหยางนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยดี หากไม่มีจุดประสงค์อื่น คนทั่วไปคงไม่ไปอ่านของพรรค์นี้
คาดไม่ถึงว่ามีจินเฟยเหยาที่เจ้าเล่ห์ตั้งแต่เล็ก แอบก่อเรื่องทั้งวันไม่ได้หยุดหย่อน เพราะว่าสงสัยเรื่องเตาหลอมมนุษย์ จึงแอบไปหาคัมภีร์ผสานหยางมาอ่าน จึงได้ทำให้นางรู้ว่าเคล็ดวิชาไหมหยกที่ท่านปู่มอบให้พวกนาง ที่จริงก็คือคัมภีร์ผสานหยางที่เปลี่ยนหน้าปก
สุดท้ายนางตัดสินใจหาเคล็ดวิชารวมพลังมาฝึกบำเพ็ญ ทำให้ท่านปู่มีโทสะแทบตาย บิดามารดาของนางล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ไม่พบเห็นร่องรอยมาห้าหกปี เกรงว่าคงสิ้นชีวิตอยู่ภายนอกนานแล้ว คิดจะหาคนมาบีบบังคับให้นางฝึกบำเพ็ญ ก็หาไม่ได้ เมื่อปีที่แล้วได้แต่ให้นางหาตระกูลแต่งงานออกไป เป็นภรรยาน้อยของหัวหน้าตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนตระกูลอื่น เพื่อให้ได้กำไรกลับมาบ้าง
คิดไม่ถึงว่านางจะจับปลาซี่หยาตัวหนึ่งโยนเข้าไปในกระโถนปัสสาวะของหัวหน้าตระกูล คืนนั้นได้ยินเพียงเสียงโหยหวนที่หัวหน้าตระกูลร้องออกมา คนหมดสติไป ปลาซี่หยานั้นจัดเป็นสัตว์ปิศาจชั้นยอด ร่างกว้างเพียงสองนิ้วมือยาวหนึ่งฝ่ามือ ปากกลับยึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของร่างกาย ปลาซี่หยามีพิษอยู่เต็มปาก หากกัดวัตถุไว้ต่อให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย เพียงแต่ปริมาณน้อยหน่อย ปกติจะไปมาเป็นกลุ่ม ปลาซี่หยาเพียงตัวเดียวไม่มีความสามารถในการทำร้ายมากนัก
เดิมทีด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลายของหัวหน้าตระกูล ปลาซี่หยาชนิดนี้ไม่มีพลังทำลายล้างเท่าใด ทว่าซ่อนอยู่ในกระโถนปัสสาวะกลับทำให้คนไม่ระวังป้องกัน แล้วมันก็กัดเขาแน่น รอจนไปหาจินเฟยเหยา นางก็หนีหายไปโดยไร้ร่องรอยตั้งแต่คืนนั้น ส่วนตำแหน่งที่หัวหน้าตระกูลถูกกัด ผ่านมาหนึ่งปีกว่าแล้วยังบวมเหมือนท่อนแขนอยู่ พอสัมผัสโดนก็เจ็บปวดจนยากจะทนทานได้
นอกจากบาดแผลบนร่างกาย สิ่งที่ทำให้หัวหน้าตระกูลรับไม่ได้ที่สุดคือเรื่องนี้แพร่ไปอย่างสับสนอลหม่านนานแล้ว ไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครไม่ทราบ หากไม่จับจินเฟยเหยากลับไปรับโทษตามกฎตระกูล เกรงว่าเขาคงตายตาไม่หลับ