จริงเสียด้วย ผู้อาวุโสที่ดูแลก็เป็นสิงโตอ้าปากกว้าง
เสนอว่าขอเพียงจ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างหนึ่งพันก้อน เขาก็จะห่อจินเฟยเหยาส่งมอบให้ อย่างไรเสียแค่ศิษย์สายนอกคนหนึ่ง ต่อให้ถูกเบื้องบนรู้ ก็คงไม่กล่าวโทษอะไร
เรื่องนี้ลุงตงตัดสินใจไม่ได้ ได้แต่บอกว่าจะกลับไปหารือกับหัวหน้าตระกูล เพียงขอร้องว่าอย่าให้จินเฟยเหยาหนีไปก่อนพวกเขามา เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงกระเป๋าเงินของตนเอง ผู้อาวุโสที่ดูแลย่อมต้องรับปากทันที
หลังส่งลุงตงจากไปแล้ว ผู้อาวุโสที่ดูแลครุ่นคิด คิดว่าต้องเรียกจินเฟยเหยามาเฝ้าดูอยู่ข้างกายถึงวางใจได้ จึงสั่งให้ศิษย์ใต้บังคับบัญชาไปเรียกจินเฟยเหยามา คิดไม่ถึงว่าจะกลับมามือเปล่า จินเฟยเหยาในยามนี้หนีไปได้หนึ่งชั่วยาม[1]กว่า หาตัวไม่พบแล้ว
จินเฟยเหยาออกมาจากสำนักเหิงเจิน ก็เร่งรุดมาถึงเมืองอวี้ซิงที่ใกล้ที่สุดตลอดทางไม่กล้าหยุดพัก พอเข้าเมืองอวี้ซิง นางรีบไปหาร้านค้าหลายร้านซื้อของถุงใหญ่น้อยอย่างเร่งร้อนแล้วรีบออกจากเมือง
หลังออกจากเมือง นางไม่เดินตามถนนใหญ่ ทว่าเข้าไปในป่า หาเส้นทางสายน้อยเดินทางไปยังเมืองลั่วเซียน
เห็นนางแบกห่อผ้าขนาดใหญ่เดินบนเส้นทางภูเขาที่เต็มไปด้วยพงหญ้าและพุ่มไม้เหมือนหอยทากตัวหนึ่ง ได้พบสถานที่ซึ่งแม้แต่ถนนสายน้อยยังไม่มีบ่อยๆ ได้แต่นำมีดตัดฟืนบนเอวมาดายเบิกออกเป็นเส้นทาง
นางก็อยากเดินตามถนนใหญ่ หารถม้าไปเมืองลั่วเซียนอย่างสบายๆ แต่เกรงว่าพวกลุงตงจะไล่ตามมาทางถนนใหญ่ เพื่อความปลอดภัยจึงได้แต่เดินตามทางน้อยในภูเขา ส่วนในสัมภาระห่อใหญ่ด้านหลัง ทั้งหมดล้วนเป็นของใช้จำเป็นที่ซื้อมาจากเมืองอวี้ซิง อาศัยการเดินเท้าเพียงอย่างเดียวจนถึงเมืองลั่วเซียน อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน
โชคดีที่ตลอดทางไม่ได้ยินว่ามีสัตว์ปิศาจขั้นสูง บวกกับตัวนางเองก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ขอเพียงเตรียมตัวอย่างเหมาะสม หนีไปตามเส้นทางภูเขาก็จะไม่มีอันตรายอะไร
ถุงผ้าขนาดใหญ่ด้านหลังมักจะถูกกิ่งไม้และพุ่มไม้เกี่ยวบ่อยๆ ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกกลัดกลุ้มอย่างที่สุด กระเป๋าเก็บของชั้นเลิศใบหนึ่งราคาห้าสิบศิลาวิญญาณชั้นล่างวางอยู่ในตำแหน่งสะดุดตาภายในร้าน นางยิ่งรู้สึกว่าการไม่มีเงินช่างน่าอนาถจริงๆ
ถึงแม้กระเป๋าเก็บของใบนั้นจะมีพื้นที่ไม่เยอะ ทว่าเพียงพอจะบรรจุข้าวสิบกว่าถุง เจ้าใบเล็กๆ ของตนเองนี้ใส่ได้ไม่ถึงหนึ่งในสามเลยสักนิด อีกทั้งใช้ได้แค่ใส่ไว้ในอกหรือแขวนไว้ตรงเอว ปริมาณน้อยทั้งยังไม่มีน้ำหนักอะไร เพียงแต่น่าเสียดาย สำหรับจินเฟยเหยาที่มีศิลาวิญญาณชั้นล่างเพียงสามก้อนเป็นทรัพย์สินทั้งหมดแล้ว ราคานี้สูงเกินไปจริงๆ จึงได้แต่เพ้อฝัน
ทันใดนั้น มีไก่จิ่นกวนตัวหนึ่งวิ่งหนีออกมาจากในพงหญ้า กระโดดผ่านเบื้องหน้านาง ปีกอันงดงามหลากสีสันกำลังจะแวบผ่านไป มือขวาของจินเฟยเหยาขยับอย่างรวดเร็ว พริบตาก็จับไก่จิ่น กวนเอาไว้ มือออกแรงหักคอของมัน
“โชคดีจริงๆ จับไก่ได้ตัวหนึ่ง ครั้งนี้หมดปัญหาเรื่องมื้อค่ำแล้ว” จินเฟยเหยาแขวนไก่ไว้บนกิ่งไม้อย่างยินดี เห็นย่ำค่ำแล้ว จึงคิดจะหาสถานที่ค้างคืนสักคืน
เดินทางอีกครึ่งชั่วยามกว่านางก็หาสถานที่ที่ถือว่าราบเรียบข้างลำธารแห่งหนึ่งพบ จินเฟยเหยาวางห่อผ้าบนร่างลง
ยามนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิด จินเฟยเหยาหากิ่งไม้แห้งก่อกองไฟกองหนึ่งก่อน ถือโอกาสที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิทรีบจัดการไก่จิ่นกวนข้างลำธารให้เรียบร้อย ถึงแม้ไก่จิ่นกวนจะไม่มีราคาเท่าไหร่ และไม่มีพลังโจมตีอะไร ทว่าขนสีสดใสที่ยาวสิบชุ่นบนหัวกลับเป็นสิ่งของที่ใช้ประดับตกแต่งได้ดี ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษชมชอบสวมหมวกเช่นนี้
ทำความสะอาดและเก็บขนสีสดใสอย่างระมัดระวังเสร็จ จินเฟยเหยาก็หิ้วไก่จิ่นกวนที่ถอนขนและล้างจนสะอาดไปนั่งข้างกองไฟ หลังจากเอาไก่ทั้งตัวเสียบบนมีดตัดฟืนแล้วก็แขวนบนกองไฟทันที
จากนั้นนางจึงได้หยิบสิ่งของจากในห่อผ้าออกมา สิ่งที่บรรจุในกระปุกขนาดเท่ากำปั้นคือเกลือ น้ำที่อยู่ในถุงน้ำซึ่งทำจากหนังถูกดื่มหมดไปนานแล้ว สุดท้ายนางถึงกับนำผ้าห่มนวมออกมา
ขนาดเร่งรีบเดินทาง นางยังสามารถเตรียมพร้อมได้อย่างถี่ถ้วนขนาดนี้ กางผ้านวมบนพื้นเสร็จ จินเฟยเหยาก็หยิบชามหยกบิ่นใบนั้นออกมา ใส่น้ำในชามเล็กน้อย วางไว้ข้างกองไฟคิดจะต้มเป็นน้ำร้อนดื่ม เห็นไก่จิ่นกวนย่างจนเกือบจะได้ที่แล้ว จินเฟยเหยาจึงหยิบมีดตัดฟืนขึ้นใช้มือฉีกเนื้อไก่กิน เร่งรีบเดินทางมาตลอด นางยังไม่ทันได้กินอะไร หิวจนท้องแฟบนานแล้ว ถึงแม้จะทาแค่เกลือก็ทำให้นางกินอย่างยินดียิ่ง
ส่วนชามหยกที่วางอยู่ข้างกองไฟ น้ำในนั้นถูกต้มจนร้อน เดือดไม่หยุด
ทันใดนั้นน้ำในชามหยกก็ส่งเสียงดังชี่ชี่ หลังจากมีเสียงไอน้ำ ก็เห็นก้นชาม ปากของจินเฟยเหยายัดเนื้อไก่จนเต็ม จ้องมองชามใบนั้นอย่างประหลาดใจ น้ำมากมายปานนั้นถึงกับถูกต้มจนแห้งในพริบตา
ในขณะที่นางกำลังงงงัน ก็มีเสียงดัง ชามหยกระเบิดออก ทำให้นางพลิกคว่ำลงกับพื้นทันที
“ถุย”
จินเฟยเหยาลุกขึ้นมา ถ่มไก่ที่เต็มไปด้วยโคลนกับทรายเต็มปากทิ้ง พอเงยหน้าขึ้น ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้นางตกตะลึง
รอบด้านมีเศษชามหยกล่องลอยเต็มไปหมด เส้นแสงสีดำที่ละเอียดเหมือนเส้นผมบินโฉบไปมาอยู่ข้างกายนาง ไม่ไกลนักมีเปลวไฟสีฟ้าจางๆ ขนาดเท่ากำปั้นดวงหนึ่งล่องลอยอยู่
จินเฟยเหยาจับจ้องเปลวไฟดวงนั้น ในใจอดตกใจไม่ได้ นี่คือไฟปิศาจมิใช่หรือ? ตอนกำลังใคร่ครวญว่าจะเข้าไปตรวจสอบหรือหนีให้ไกลไว้ก่อนดี ไฟปิศาจพลันพุ่งเข้าใส่นาง ขู่ขวัญจนนางต้องสาวเท้าวิ่งหนี
ไฟปิศาจนั่นรวดเร็วยิ่ง จินเฟยเหยาไหนเลยจะวิ่งหนีมันได้ เพิ่งวิ่งหนีไปได้ไม่กี่ก้าว ไฟปิศาจก็ไล่ตามมาทัน เสียงดังวูบ ตลอดร่างของนางถูกไฟปิศาจกลืนกินทั้งหมด
ไม่มีความเจ็บปวดอย่างที่คาดคิดและไม่มีกลิ่นเหม็นของผิวหนังไหม้ มีเพียงความรู้สึกเย็นเยือกที่เสียดแทงกระดูก ในดวงตาของจินเฟยเหยามีโลกสีแดงมืดมิดปรากฏขึ้น เผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนเข่นฆ่ากันอยู่รอบตัวนาง
โลหิตสดเต็มท้องนภา ซากศพเกลื่อนทั่วพื้น โลกในดวงตามืดมัวลง หลงเหลือเพียงซากศพเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนที่กลายเป็นกระดูกขาวอย่างรวดเร็วในดวงตาจินเฟยเหยา
โลกที่มืดมิด กระดูกขาวทุกแห่งหน ไฟนรกศพมารดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ยิ่งรวมกันก็ยิ่งมากขึ้นอย่างช้าๆ สุดท้ายกลายเป็นโฉมหน้ามารขนาดยักษ์ใบหน้าหนึ่ง
เห็นโฉมหน้ามารอ้าปากขนาดใหญ่ใส่จินเฟยเหยาแล้วโผขึ้นใส่
จินเฟยเหยาร้องอย่างตกใจ รู้สึกเพียงมีสิ่งของจำนวนนับไม่ถ้วนชอนไชเข้ามาในสมอง ปวดศีรษะแทบระเบิด หลังจากนั้นก็หมดสติไป
ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานเพียงใด สุดท้ายจินเฟยเหยาถูกความหนาวเย็นทำให้ตื่นขึ้น นางลุกขึ้นนั่ง พบว่าตนเองหลับไปข้างกองไฟ ฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย ส่วนกองไฟดับไปนานแล้ว นอกจากชามหยกบิ่นหายไป แม้แต่เศษที่แตกก็ยังหาไม่พบสักชิ้น รอบด้านไม่มีอะไรแปลกๆ ส่วนเสื้อผ้าบนร่างถูกน้ำค้างจนเปียกชื้นแต่แรก ผ้าห่มนวมที่ปูอยู่ด้านข้างก็เย็นชื้นเช่นกัน
ต่อให้จินเฟยเหยาเคยฝึกบำเพ็ญร่างกาย ร่างกายแข็งแรงดี ทว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลัวหนาว เสื้อผ้าเปียกชื้นแนบติดเรือนร่าง พอสายลมยามเช้าพัดมาก็หนาวจนนางขนลุกไปทั้งตัว
นางรีบเอาชุดไฟออกมาจุดกองไฟขึ้นใหม่ กิ่งไม้ทั้งหมดถูกน้ำค้างจนเปียกชื้น เผาไหม้จนควันโขมง นางสำลักจนไอแค่กๆ ไม่หยุด
กองไฟลุกโชนขึ้นอย่างยากลำบาก ร่างกายเริ่มอบอุ่น จินเฟยเหยาจึงนึกถึงความทรงจำเมื่อวานที่สับสนวุ่นวายได้ คิดจะหาเบาะแสเล็กน้อย
นางนึกขึ้นได้ราวกับเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงหน้า ในสมองของนางมีเคล็ดวิชาที่ชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’ ส่วนหนึ่งปรากฏขึ้น
ในใจจินเฟยเหยาตื่นตระหนก เข้าใจว่าตนเองถูกรางวัลใหญ่แล้ว อาศัยปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อคืนวาน เคล็ดวิชานี้ต้องไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดาแน่ นางรีบตรวจสอบเคล็ดวิชานี้ในสมองอย่างละเอียด
ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ได้สติคืนมาจากความตื่นตระหนก
ภายใน ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’ ส่วนนี้บันทึกถึงไฟนรกที่สร้างขึ้นจากศพมารชนิดหนึ่ง สิ่งของประเภทนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
เคล็ดวิชาส่วนนี้สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนหลอมรวมไฟนรกของศพมารเข้าสู่ร่างเพื่อให้ตนเองใช้งานได้ ด้านบนบันทึกวิธีการฝึกปรือไว้อย่างละเอียด
เคล็ดวิชาส่วนนี้เอ่ยถึง พลังการบำเพ็ญเพียรของศพมารยิ่งสูงส่งคุณภาพของไฟนรกที่สร้างยิ่งดีขึ้น อานุภาพของไฟนรกที่ฝึกปรือออกมาก็จะยิ่งมาก
จินเฟยเหยาลูบศีรษะ ผิดหวังอย่างยิ่ง เผ่ามารไม่เคยปรากฏในเขตอิทธิพลของเผ่ามนุษย์มาพันปีแล้ว ไม่อาจวิ่งไปหาซากศพในเขตอิทธิพลของเผ่ามาร ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะไปหาศพมารหรือไปส่งศพมนุษย์ให้เผ่ามารกันแน่
นางส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ เสียเวลาอาละวาดอยู่คืนหนึ่ง ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำแล้วไม่ได้อะไรเลย[2] ยื่นมือคิดจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในอกไปล้างหน้าข้างลำธาร เตรียมตัวเร่งเดินทางต่อ
ทันใดนั้นก็คลำเจออะไรในอกของนาง ให้ความรู้สึกกลมๆ และเย็นเยียบ พอล้วงออกมาดู จินเฟยเหยาก็อ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
สิ่งที่นางถืออยู่ในมือคือมุกโปร่งใสขนาดเท่าเม็ดลำไย ในมุกมีไฟนรกสีฟ้าขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองเผาไหม้อยู่ในมุกอย่างเงียบสงบ
“นี่คือ…ไฟนรกของศพมาร?” จินเฟยเหยาจับจ้องมุกในมือ สองตาเป็นประกาย ไม่อยากเชื่อจะเชื่อสิ่งที่เห็น
ลูบคลำมุกไฟนรกในมือซ้ำไปซ้ำมา เคล็ดวิชาในสมองเอ่ยถึงว่าสิ่งนี้คือมุกกู่จิงที่เก็บรักษาไฟนรกปรากฏขึ้นเอง
อย่างไรเสียในมือก็ไม่มีเคล็ดวิชาอื่นที่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’ ส่วนนี้ดูไปแล้วร้ายกาจยิ่ง หลังจากขบคิดอย่างละเอียด จินเฟยเหยาก็ตัดสินใจฝึกปรือเคล็ดวิชาเล่มนี้ อีกทั้งเคล็ดวิชานี้มีข้อเรียกร้องคุณสมบัติด้านจิตใจและร่างกายอย่างสูง เหมาะสำหรับนางที่เคยฝึกบำเพ็ญร่างกายมาก่อน ในตำรายังมีใบสั่งยาหลายฉบับใช้สำหรับเสริมสร้างพื้นฐานร่างกายให้แข็งแรงโดยเฉพาะ และบอกวิธีการฝึกทั้งหมดให้นางเรียบร้อย
คิดดูแล้ว ตอนนี้ลองดูหน่อยดีกว่า มีเคล็ดวิชาสำเร็จรูปก็สามารถฝึกอย่างเป็นทางการได้แล้ว ขอเพียงบรรลุขั้นฝึกปราณ ต่อให้พบเจอลุงตงก็ไม่ต้องหนีแล้ว
นางเติมกิ่งไม้มากมายลงในกองไฟอีก ให้เปลวไฟลุกโชน จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ นางอ่านและทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอย่างละเอียดหลายรอบ หลังจากจำได้ทั้งหมด ก็พินิจพิเคราะห์ความหมายในนั้นทีละตัวอักษร
ที่จริงก็แค่เคล็ดวิชาห้าประโยค เขียนได้เรียบง่ายและชัดเจนยิ่ง ทว่านางกลับระมัดระวังมาก จนกระทั่งคิดว่าแน่ใจเต็มที่ จินเฟยเหยาจึงได้เริ่มฝึกตามที่เคล็ดวิชาบอก
ฝึกตามวิธีการในเคล็ดวิชาข้างกองไฟได้หนึ่งชั่วยาม นางที่ไม่นับว่ามีสติปัญญาโดดเด่น ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณระหว่างฟ้าดินเล็กน้อย
นางใช้เวลาหนึ่งวันดูดซับพลังวิญญาณไม่หยุด ชักนำพลังวิญญาณโคจรภายในร่างกายตามที่เขียนไว้ในเคล็ดวิชา ไม่รู้ว่าเป็นผลทางจิตวิทยาหรือได้ผลจริงๆ จินเฟยเหยารู้สึกว่าภายในจุดตันเถียนมีพลังวิญญาณเล็กน้อยขนาดเท่าปลายเข็ม จึงตัดสินใจลองหลอมรวมกับไฟนรกศพมารตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชาดู จินเฟยเหยาใช้เคล็ดวิชากับมุกกู่จิง มุกกู่จิงลอยโอนเอนไม่เสถียรอยู่กลางอากาศ สามารถร่วงหล่นลงมือได้ทุกเมื่อ อย่างไรเสียพลังการบำเพ็ญเพียรของนางก็ย่ำแย่เกินไปจริงๆ ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับวิธีการ แค่สามารถใช้เคล็ดวิชาได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ทั้งยังใช้เคล็ดวิชาประโยคหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มุกกู่จิงล่าถอยไปได้ครึ่งหนึ่งก็เผยให้เห็นไฟนรกสีฟ้าภายใน รอบด้านก็มืดและเย็นลง นางอดทำสงครามเย็นกับไฟนรกไม่ได้
จินเฟยเหยารู้สึกตึงเครียดนิดหน่อย นางเลียริมฝีปากสูดลมหายใจลึกๆ
แล้วยื่นมือไปหาไฟนรกศพมาร จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องอนาถกรีดผ่านป่าในภูเขาอันเงียบสงบ
[1] ชั่วยาม คือ หน่วยวัดเวลา มีค่าประมาณ 2 ชั่วโมง
[2] ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำแล้วไม่ได้อะไรเลย คือ ทำแล้วเสียแรงเปล่า