ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 2 มังกรปะทะมังกร ราชาประจันหน้าราชา ใครคือมังกรที่แท้จริง?

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ระหว่างทางที่เยี่ยนจ้าวเกอเดินผ่าน ก็มีเสียงต่างๆ ส่งผ่านมาให้ได้ยินไม่หยุดหย่อน

“คารวะศิษย์พี่เยี่ยน”

“ศิษย์พี่เยี่ยน”

นี่เป็นคำทักทายกันตามมารยาทเมื่อศิษย์พี่และศิษย์น้องในสำนักพบหน้ากัน

“วรยุทธ์ของศิษย์หลานเยี่ยนก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว เยี่ยม…เยี่ยม…สมกับที่เป็นผู้นำรุ่นใหม่ของสำนัก อัจฉริยะเหนือชั้นจริงๆ!”

“ท่านผู้อาวุโสเยี่ยนมีลูกที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้พ่อจริงๆ สมกับคำกล่าวที่ว่าพ่อพยัคฆ์ บุตรไม่เป็นสุนัข!”

นี่คือคำชื่นชมของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักเดียวกัน

“พลังของศิษย์พี่เยี่ยนนับวันยิ่งแกร่งกล้า ทั้งที่หน้าตาดูอ่อนโยนขนาดนั้น…”

“อ๊ะ! ที่แท้ก็ไม่ใช่ข้าผู้เดียวที่รู้สึกเช่นนี้หรือ?”

“แต่…แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่ง…”

“จริงด้วย จริงด้วย ! ”

“คิกๆ จริงด้วยอะไรกัน แม่คนไม่รู้จักยางอาย! ”

“ศิษย์พี่! ท่าน…ท่านก็เหมือนข้าไม่ใช่หรืออย่างไร! ”

เอาเถอะ นี่ก็เป็นบรรดาศิษย์น้องหญิงสาวทั้งหลายที่มีรักแรกแย้ม…

‘สำรวมไว้ สำรวมไว้’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับตนเองในใจ พลางพยักหน้าให้พวกนางด้วยรอยยิ้มที่สดใส

ชายร่างกำยำที่อยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความซื่อตรงสุดๆ “คุณชายขอรับ…”

เยี่ยนจ้าวเกอผู้ที่คุ้นชินกับเขาแล้ว เหลือบไปมองเขาแวบหนึ่ง “ยังมีเรื่องใดอีก? ”

ชายร่างกำยำคนนี้เป็นองค์รักษ์คนสนิท ที่มีความจงรักภักดีและคอยติดตามเขาอย่างใกล้ชิด

ตามหลักแล้วควรเลี่ยงที่จะคบค้าสมาคมกับคนใกล้ชิดของเจ้าของร่างเดิมให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่ตนข้ามมิติมาถูกเปิดเผย

ทว่านี่ก็เป็นดั่งดาบสองคม ในทางกลับกัน การที่ได้คบหากับคนเหล่านี้ยิ่งช่วยให้เยี่ยนจ้าวเกอกลมกลืนกับโลกใบใหม่นี้มากขึ้น

เคราะห์ดีที่นอกจากร่างกายแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังได้รับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมด้วย

มิฉะนั้นเพียงแค่เรื่องการพูดการจา เขาก็คงเอาตัวไม่รอดแล้ว

“คุณชายขอรับ ข้าได้ตรวจสอบเยี่ยจิ่งผู้นั้นแล้ว ถึงจะบอกว่าจู่ๆ ก็เก่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ยังไม่เป็นที่พูดถึง อีกทั้งดูเหมือนว่าเขาจะแค้นท่านอยู่ด้วย ท่านว่าจะต้อง…”

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น ‘อืม เยี่ยม จังหวะแบบนี้แหละ’

ก่อนอื่นส่งลูกสมุนไปยุแหย่พระเอกเยี่ยให้ลงมือ จากนั้นก็โดนเขาเล่นงานจนสะบักสะบอม ฝ่ายคุณชายตัวร้ายรู้สึกเสียหน้า จึงออกโรงไปจัดการด้วยตัวเอง แต่ก็โดนเล่นงานจนหน้าตาดูไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายตัวร้ายก็ให้บิดาและคนทั้งตระกูลมาจัดการ ทว่าก็โดนเล่นงานจนไม่เหลือชิ้นดี…

ช่างเป็นบทละครสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้ ไม่ใช่หรือ?

‘สมบูรณ์บ้าอะไรล่ะ!’ ถ้าได้ร่วมแสดงด้วยในฐานะตัวร้ายที่ไร้ความสามารถ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดีใจเลยสักนิด

เหมือนกับว่า จู่ๆ ตนเองก็ถูกเปลี่ยนจากทายาทรุ่นที่สองของตระกูล ที่ไม่ต้องทำอะไรก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้ ไปเป็นตัวประกอบเบื้องหลังเส้นทางการถือกำเนิดของบุตรแห่งสวรรค์

เยี่ยนจ้าวเกอล้วนแต่จับต้นชนปลายความคิดที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขาในขณะนี้ไม่ถูกทั้งสิ้น

ต่อให้โชคดีจริงๆ อย่างมากก็เป็นได้แค่คู่ปรับที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบุตรแห่งสวรรค์ ประเภทตัวละครอึดถึกที่ตีอย่างไรก็ไม่ตาย พอโผล่มาครั้งอีกครั้งก็ยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งที่จริงก็เหมือนสิ่งของที่ใช้ซ้ำเรื่อยๆ เพื่อช่วยเติมเต็มและเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับพระเอก?

และหากโชคไม่ดี เรื่องราวผ่านไปไม่กี่ตอนก็จะถูกฆ่าทิ้งไป

ตามปกติแล้ว หากตัวละครที่มีภูมิหลังเหมือนเขา สามารถหลอกล่อบิดาที่เก่งกาจเช่นนั้นให้ออกโรงได้ล่ะก็ ความเป็นได้ที่อยู่ได้เพียงไม่กี่ตอนก็ยิ่งมากขึ้นโข…

พักเรื่องลงมือก่อนได้เปรียบไว้ก่อน ถือโอกาสจัดการบุตรแห่งสวรรค์ตอนที่พวกเขายังไม่ถือกำเนิด ลำพังเพียงแค่กลอุบายง่ายๆ ของพวกสมุนลูกจ๊อก ก็รังแต่จะเป็นวิกฤติที่กลับกลายเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขาถือกำเนิดเร็วขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

สุดท้ายนอกจากฝ่ายพระเอกจะไม่เป็นอะไรแล้ว กลับยังแกร่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และย้อนมาแว้งกัดตนเอาได้ในภายหลัง

รัศมีตัวเอกก็มักจะเห็นแก่ตัวและไร้เหตุผลแบบนี้ ถ้าเขาบอกว่าจะบดขยี้ให้แหลกละเอียดแล้ว ก็จะบดขยี้ให้แหลกละเอียดตามนั้น ทั้งยังมีวิธีบดขยี้มากกว่าร้อยแปดสิบวิธีอีกด้วย

‘แล้วจุดแข็งที่เหนือกว่าคนอื่นของพระเอกเยี่ยคนนี้คืออะไร สุดยอดวิชาลับที่มีอยู่ในโลกก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อาวุธเทพสูงสุดบางอย่าง วิญญาณผู้เฒ่าติดตัวมา หรือจะเป็นการเกิดใหม่’

รอยยิ้มของเยี่ยนเจ้าเกอดูแปลกไปบ้าง แต่แล้วเขาก็โบกไม้โบกมือ “ช่างเขาเถอะ“

ชายร่างกำยำเกาศีรษะ “ขอรับ คุณชาย”

‘แม้ว่าตอนนี้บทละครดูจะมีปัญหา แต่ข้าก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเองนะ…’

เนื่องจากยุคสมัยขาดช่วงอันเกิดจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะยังมีส่วนที่เกี่ยวโยงกันอยู่ แต่ยุคก่อนและหลังก็มีระบบการฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่แตกต่างกันบ้าง อีกทั้งปัจจัยด้านสภาพร่างกายของยุคก่อนและหลังก็ไม่เหมือนกัน ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอต้องทำการปรับตัวและสร้างความคุ้นเคย ศึกษาและปรับเปลี่ยนคัมภีร์ลับต่างๆ ที่อยู่ในสมอง มิเช่นนั้นหากฝึกวรยุทธ์ทั้งแบบนี้ ก็คงเหมือนการเดินทางหนึ่งวันพันลี้[1]

หลังจากมาถึงโลกนี้แล้ว นอกจากการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและฐานะใหม่ไปด้วยความระมัดระวัง เยี่ยนจ้าวเกอก็สนอกสนใจวิเคราะห์และสรุปรวมสถานการณ์ปัจจุบัน กับความรู้มากมายในความทรงจำของตน

ในตอนนี้มีผลลัพธ์ที่ดีออกมาพอสมควรแล้ว การจะเก่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่เพียงแค่เอื้อม

ไม่ว่าจะเป็นโลกก่อนหน้าหรือโลกในปัจจุบัน ระดับวรยุทธ์ของตัวเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงมีขีดจำกัด การปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่จึงเป็นไปตามระดับวรยุทธ์ของตนเอง ณ ตอนนี้และระดับวรยุทธ์ที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรเสียกินข้าวก็ต้องกินทีละคำ เดินก็ต้องเดินทีละก้าว

แต่ด้วยวรยุทธ์ที่แก่กล้าเรื่อยๆ การนำทฤษฎีมาปรับใช้ในชีวิตจริงให้ดี ก็ทำให้มองเห็นโลกเบื้องหน้ากว้างไกลออกไปได้ยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ยังมีสิ่งอื่นนอกจากวิทยายุทธ์ที่กำลังเป็นคลื่นลูกใหญ่ในยุคนี้เช่นกัน อย่างเช่น วิชาหลอมอาวุธ วิชากลั่นโอสถ

เชื้อไฟสัจจะอัคคีที่สั่งให้บริวารไปสืบเสาะมาก่อนหน้านี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน

หากการทดลองสำเร็จ เยี่ยนเจ้าเกอจะได้รับผลตอบแทนมากมายมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘มังกรปะทะมังกร ราชาประจันหน้าราชา มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะเป็นมังกรที่แท้จริง?’

‘ไม่แน่ว่าเจ้าเยี่ยจิ่งอาจไม่ได้มีชะตาตัวเอกก็ได้ เพียงแต่ข้าคิดไร้สาระไปเองเท่านั้น ลองสังเกตการณ์ไปก่อนสักระยะแล้วค่อยว่ากัน’

แต่จะเผชิญหน้ากับแม่นางที่ถูกเจ้าของร่างคนเดิมเขมือบกินไปอย่างไรดี เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นในด้านของตำแหน่งหรือความสามารถ สำหรับตัวเขาแล้ว การพัฒนาตนเองก็ต้องมาเป็นอันดับแรก

ส่วนเรื่องสาวงาม ขณะนี้เขาไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเสาะแสวงหา แต่ถ้าเสนอตัวมาเอง เขาก็ไม่ปฏิเสธเป็นแน่

แม้ปัญหาที่เจ้าของร่างเดิมสร้างไว้ให้จะทำให้ปวดหัวเสียเหลือเกิน จนเยี่ยนจ้าวเกอต้องบ่นไปเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วในใจเขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เขายิ้มพลางส่ายหัวเบาๆ หลังจากจัดการกับงานที่อยู่ในมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปพักผ่อนในห้องตนเองสักพัก แล้วจึงนั่งสมาธิฝึกลมปราณต่อ พอถึงวันรุ่งขึ้นจึงมุ่งไปที่วิหารปฏิบัติกิจของสำนัก

เหล่าลูกศิษย์ที่จะเดินทางไปยังหุบเหวปราการมังกรน้ำลึกรวมตัวกันอยู่ในห้องข้างวิหารแล้ว

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้ามา สายตาของทุกคนก็เปล่งเป็นประกาย และจับจ้องไปที่เขาเป็นตาเดียว

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนสะดุดเข้ากับสาวน้อยหน้าตาสวยสง่า พร้อมรูปร่างผอมเพรียวที่กำลังเดินมาจากด้านหน้า

เด็กสาวคนนี้ดูอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ ดูสง่ายิ่งกว่าแม่นางแซ่หลินนั้นเสียอีก ราวกับเป็นจิตวิญาณที่หลอมรวมความงดงามของฟ้าดินไว้ และลงมาจุติบนพื้นพิภพโดยไม่ติดบ่วงตัณหาใดๆ แล้ว ทว่าดวงตาสีฟ้าครามที่พบเจอได้ยากนั้น ทำให้นางให้ดูเย็นชาไม่น้อยเลย

ซือคงจิง ศิษย์รุ่นเยาว์มากความสามารถของเขากว่างเฉิงอีกคนหนึ่ง แม้ว่านางจะอายุยังน้อย แต่ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของนาง ทำให้นางไล่ตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอมาติดๆ จนถูกขนานนามว่าเป็นอีกหนึ่งอัจฉริยะวัยเยาว์ของเขากว่างเฉิง จึงมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆ ท่านของสำนักเห็นความสำคัญของนานมานานแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นนาง ก็เกิดอาการอยากกลอกตาขาวอีกครั้ง

เท่าที่รู้มา หลังจากที่แม่นางแซ่หลินทิ้งไป เยี่ยจิ่งก็ได้พบกับซือคงจิงผู้นี้ ทั้งสองคนเคยพบและร่วมทุกข์กันก่อนจะเข้ามาที่เขากว่างเฉิง ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในเวลานี้ยังคงเป็นเพียงเพื่อนกัน แต่ตามบทของเรื่องบางเรื่อง สตรีที่มาจากตระกูลร่ำรวย มีพรสวรรค์สูงส่ง และงดงามเสียเหลือเกินมักจะปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเย็นชา แต่กลับมองดูคนที่แสนจะธรรมดาด้วยสายตาที่ต่างออกไป…

หญิงงามผู้นี้ดีพร้อมกว่าแม่นางหลินในทุกๆ ด้าน ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะลงเอยกับเยี่ยจิ่ง ที่มีรัศมีตัวเอกปกคลุมอยู่สูงทีเดียว

ข้างกายซือคงจิงมีเด็กหนุ่มร่างผอมอยู่ผู้หนึ่ง เขาจับจ้องเยี่ยนจ้าวเกอโดยที่ไม่กะพริบตา

เด็กหนุ่มร่างผอมบางผู้นี้ ก็ต้องเป็นเยี่ยจิ่งคนนั้นแน่นอนอยู่แล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นเปลวไฟที่เหมือนจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลาถูกสะกดไว้ จากในดวงตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

………………..

[1] หนึ่งวันพันลี้ หมายถึง พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว