ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 3 บทละครเริ่มขึ้น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สายตาที่ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอนั้น มีความสงสัยปะปนอยู่หลายส่วน

จากที่คนส่วนมากเข้าใจ การไปยังสถานที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกร โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอไปด้วยในฐานะผู้นำคณะ ถ้าหากจะจงใจกลั่นแกล้งเยี่ยจิ่ง ก็ยากที่เขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้

คนอื่นๆ มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความคิดที่เรียบง่าย บางคนรู้สึกดีอกดีใจที่ตนเองได้ศิษย์พี่ที่เก่งกาจเช่นนี้เป็นผู้นำในการฝึกฝนครั้งนี้ ส่วนบางคนใช้สายตาที่ร้อนรุ่มมองเยี่ยนจ้าวเกอ หวังจะประจบประแจงให้สนิทชิดเชื้อกัน

ส่วนคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง กลับมองไปยังเยี่ยจิ่งด้วยแววตาที่สื่อว่าอาจได้ดูเรื่องสนุกๆ ก็เป็นได้

เยี่ยจิ่งขมวดคิ้วมุ่น เขาได้รู้เรื่องราวมากมายหลังจากที่ได้เข้าสำนักมา

ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้อายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี แต่กลับที่มีวรยุทธ์แก่กล้าและความสามารถเต็มเปี่ยม รวมถึงมีคนในสำนักหนุนหลังอยู่มากมายอีกด้วย

บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูงและอำนาจมากที่สุดในเขากว่างเฉิง ติดอยู่ในห้าอันดับแรกของสำนักเสมอมา ความแกร่งกล้าด้านวรยุทธ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นลูกศิษย์รับสืบทอดวรยุทธ์สายหลักจากผู้นำสำนักอาวุโสรุ่นปัจจุบัน และยังเป็นผู้แข่งขันที่เก่งที่สุดของการแย่งชิงตำแหน่งของหัวหน้าสำนักในรุ่นถัดไปด้วย

เขาค่อยๆ กำหมัดแน่น พลางจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอด้วยแววตาไม่หวั่นเกรงสิ่งใด

‘นี่คือสายตาที่เปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงที่เต็มไปด้วยอดสูในตำนานอย่างนั้นหรือ?’

เยี่ยนจ้าวเกอกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง สายตามองไปยังประตูวิหาร “คารวะท่านผู้อาวุโสชุย”

ชายชราผมขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่บริเวณหน้าประตู เยี่ยจิ่งพร้อมทั้งคนอื่นๆ ต่างพากันรีบโค้งคำนับ “ท่านผู้อาวุโส”

เช่นเดียวกับชายวัยกลางคนที่มอบภารกิจให้เยี่ยนจ้าวเกอเมื่อวานนี้ เขาก็เป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของวิหารปฏิบัติกิจเช่นกัน

สำหรับเยี่ยจิงและคนอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือตำแหน่ง คนผู้นี้ต้องเป็นบุคคลสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายชรายิ้มตาหยีมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “ศิษย์หลานเยี่ยนก็มาถึงแล้วหรือ ดี… ดี…”

“รบกวนท่านผู้อาวุโสซุยอธิบายรายละเอียดของปราการมังกรด้วยขอรับ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

ผู้อาวุโสชุยมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ปราการมังกรเกิดคลื่นประหลาดขึ้น แต่ทำการควบคุมที่เกิดเหตุระยะแรกแล้ว ภารกิจครั้งนี้ของพวกเจ้าก็คือการนำคาถาที่ใช้สำหรับตรวจสอบปราการมังกร เดินทางไปช่วยตรวจสอบปราการมังกรเพิ่มเติมอีกขั้นหนึ่ง”

เขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ “ตามหลักแล้ว ภารกิจนี้ต้องการเพียงแค่ตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัดเท่านั้น แล้วนำข้อมูลกลับมารายงานก็พอ”

“ทว่าหากพบเหตุด่วนจำต้องตัดสินใจเฉพาะหน้า ศิษย์หลานเยี่ยนสามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องจัดการได้ดีเป็นแน่”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสชุยล้อข้าเล่นแล้วขอรับ”

ผู้อาวุโสชุยยิ้มเช่นกัน แล้วหันไปทางเยี่ยจิ่งและอีกสองคน “ดูแลและศึกษาอาวุธวิเศษที่ให้พวกเจ้าเป็นรางวัลในการประลองย่อยไปถึงไหนแล้ว”

เยี่ยจิ่งและอีกสองคนตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตั้งแต่ที่เหล่าศิษย์ได้อาวุธวิเศษวิเศษมา ก็ตั้งใจฝึกฝนดูแลอยู่ตลอด ยามนี้สามารถควบคุมได้เบื้องต้นแล้วขอรับ”

ในโลกใบนี้ อาวุธยุทโธปกรณ์ทั่วไปที่ใช้ปกป้องตนเองจะเรียกว่าอาวุธธรรมดา ส่วนอาวุธที่มีระดับสูงมากกว่านี้ จะเรียงลำดับได้เป็น อาวุธสงคราม อาวุธวิเศษ อาวุธวิญญาณ และอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถใช้เพิ่มพลังความสามารถให้กับเหล่าจอมยุทธ์ได้

อาวุธที่อยู่ในระดับสูงนั้น จะมีพลังความสามารถมหาศาลในตัวมันเอง

ช่างฝีมือทั่วไปสามารถสร้างได้แค่เพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น หากต้องการหลอมสร้างอาวุธที่มีระดับสูงกว่าอาวุธสงคราม จอมยุทธ์ต้องเป็นผู้ลงมือสร้างขึ้นเองเท่านั้น โดยอาวุธในแต่ละระดับก็จำเป็นที่จะต้องมีกำลังวรยุทธ์ในระดับที่เท่าเทียมกัน จึงจะสามารถหลอมได้

เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงวิชาหลอมอาวุธยังเป็นวิชาที่เข้าใจได้ยาก และไม่ใช่ทุกคนจะศึกษาได้จนชำนาญ ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว อาวุธดีๆ ที่มีระดับสูงกว่าอาวุธสงครามในยุคนี้ จึงมีจำนวนน้อยกว่าจอมยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ในระดับเดียวกันเสียอีก

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นเขากว่างเฉิงมีกำลังพื้นฐานที่ไม่ธรรมดา จึงสามารถนำอาวุธดีๆ มาให้ศิษย์ในสำนักเป็นรางวัลได้

เยี่ยจิ่งและคนอื่นๆ ที่ได้ตำแหน่งสามอันดับแรกในการประลองย่อยของศิษย์รุ่นใหม่ครั้งนี้ จึงได้รับอาวุธวิเศษไปเป็นรางวัลคนละชิ้น ทำให้ผู้อื่นอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน

ผู้อาวุโสชุยพยักหน้า “อาวุธวิเศษมีจิตวิญญาณ ในเวลาปกติไม่ควรเกียจคร้านดูแล ยามเผชิญหน้ากับศัตรูจึงจะสามารถสำแดงอานุภาพออกมาได้ดี”

เจ้าของตำแหน่งสามอันดับแรกในการประลองย่อยทั้งสามคนรีบพยักหน้ารับ ถึงแม้จะได้รับเพียงอาวุธวิเศษระดับล่างมาเป็นรางวัล ทว่าสำหรับพวกเขาในตอนนี้นับว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว

ด้วยวรยุทธ์ของพวกเขา แท้จริงแล้วสามารถควบคุมได้เพียงอาวุธสงครามเท่านั้น

อาวุธดีๆ มีอยู่จำกัด หากไม่ใช่เพราะเป็นศิษย์สำนักเขากว่างเฉิง ได้อาวุธสงครามมาใช้สักชิ้นก็จำต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้วล่ะ

ไม่รู้ว่ายังมีผู้คนอีกมากมายเท่าไรที่มีวรยุทธ์พอๆ กับพวกเขา แต่กลับได้ใช้เพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น

ผู้อาวุโสชุยหันมองไปยังซือคงจิงและคนอื่นๆ อีกเจ็ดคน “พวกเขาแปดคนล้วนเป็นศิษย์รุ่นใหม่ แม้ว่าต่างก็เคยรับภารกิจและผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีประสบการณ์น้อยอยู่ พวกเจ้าทั้งแปดต้องคอยดูแลซึ่งกันและกันให้มากล่ะ”

ซือคงจิงตอบกลับเรียบๆ ว่า “ศิษย์รับทราบเจ้าค่ะ” อีกเจ็ดคนก็รีบตอบรับเช่นกัน

ผู้อาวุโสชุยมองดูศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสิบหกคนตรงหน้า พลางเอามือลูบเครา ทันใดนั้นสายตาก็พลันไปสะดุดอยู่ที่ร่างของเยี่ยจิ่ง ราวกับมีบางอย่างแปลกไป “เอ๋ วรยุทธ์ของเจ้า…เจ้าเบิกทางตันเถียน[1]และชี่ไห่[2]สำเร็จแล้วหรือ”

“การประลองย่อยคราก่อนยังไม่มี เพียงไม่นานเจ้าก็บรรลุไปอีกขั้นแล้วหรือ? ”

เยี่ยจิ่งยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปด้วยท่าทีอ่อนน้อมว่า “หลังจากได้เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก ทั้งตำราวิชาและทรัพยากรต่างก็มีมากกว่าที่บ้านของข้านัก”

ผู้อาวุโสชุยกล่าวอย่างชื่นชมว่า “เจ้าเข้ามาเป็นศิษย์นานเท่าไรแล้ว แต่ที่สำคัญล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์เหนือใครของเจ้าต่างหากเช่า”

สายตาของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์รุ่นใหม่คนอื่นๆ ที่เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักช่วงเดียวกันกับเยี่ยจิ่งต่างก็เปลี่ยนไป ‘การประลองย่อยก่อนหน้าเขาก็ได้อันดับหนึ่ง เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็บรรลุไปอีกขั้น ทีแรกคิดว่าสามารถลดความห่างชั้นลงได้บ้าง แต่ใครจะไปนึกว่าความห่างชั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก’

‘แม้ว่าพื้นฐานครอบครัวจะเทียบศิษย์พี่เยี่ยนไม่ได้ แต่เขา…ก็เป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกัน!’

ผู้อาวุโสชุยเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวต่อ “ข้าเพิ่งคิดขึ้นมาได้…ตั้งแต่เจ้าเริ่มฝึกวรยุทธ์ น่าจะเพิ่งครบสามปีพอดีใช่หรือไม่ ”

”ขอรับ ท่านผู้อาวุโส” เยี่ยจิ่งกล่าวตอบ

“สมัยข้ายังเด็ก ข้าเพียงแต่ฝึกฝนร่างกายด้วยตนเอง เพิ่งได้สัมผัสกับการฝึกวรยุทธ์อย่างจริงจัง ก็ตอนที่ศิษย์อายุได้สิบสามปีขอรับ”

ผู้อาวุโสชุยยิ้มหัวเราะด้วยความอ่อนโยนที่แปลกประหลาด “ดี ดี!”

เยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่อีกฝั่ง มองดูภาพตรงหน้า แต่มุมปากกลับกระตุกขึ้นมาแปลกๆ

‘ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าเขาไม่ธรรมดา ที่แท้เขารอข้าอยู่ที่นี่นี่เอง’ เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางผู้อาวุโสชุยด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม

ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นๆ พลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ต่างลอบมองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้อาวุโสชุยมองเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยจิง แล้วพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจว่า “หากข้าจำไม่ผิด ศิษย์หลานเยี่ยนในคราแรก ก็เบิกทางตันเถียนและชี่ไห่สำเร็จในตอนที่ฝึกวรยุทธ์ครบสามปีพอดี ฟ้าช่างเมตตาเขากว่างเฉิงของเรา ประทานอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะให้สำนักอีกคน!”

ทุกคนค่อยๆ มีสีหน้าอัศจรรย์ใจขึ้นเล็กน้อย พลางมองเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยจิงสลับไปมา

“ก่อนหน้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเยี่ยจิ่งนัก ที่แท้เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์อย่างจริงจังได้เพียงสามปีเท่านั้นเอง!”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเยี่ยจิ่งนี่จะสามารถเทียบชั้นกับศิษย์พี่เยี่ยนได้ พรสวรรค์ของเขาช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้”

“ไม่สิ ศิษย์พี่เยี่ยนเติบโตอยู่เขากว่างเฉิงมาตั้งแต่เด็ก มีท่านผู้อาวุโสเยี่ยนเป็นผู้สอนสั่งด้วยตัวเอง ทั้งสภาพแวดล้อมในการฝึกฝน เงื่อนไข ตำรา ทรัพยากร และการบ่มเพาะฝึกฝน ไม่ว่าสิ่งไหนก็ดีพร้อมกว่าเยี่ยจิ่งทั้งนั้น! ”

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าเยี่ยจิ่งนี่ก็ยิ่ง…ยิ่ง…ยิ่งกว่าศิษย์พี่เยี่ยน…สุดยอด เป็นไปได้อย่างไร!”

เยี่ยจิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเปรยตามองไปทางเยี่ยนจ้าวเกออย่างสงบ แล้วยืดตัวตรงมากขึ้น ราวกับหอกที่จะแหวกท้องฟ้าออกให้ได้

หากแต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้มองเขาแต่อย่างใด เขามองไปยังผู้อาวุโสชุยที่ยังคงยิ้มตาหยีอย่างสนอกสนใจ

เบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่าย ศิษย์รุ่นหลังคนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

ชายชราตรงหน้าคนนี้ มีอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และเป็นบุคคลที่มีสิทธิ์เข้าแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าสำนักรุ่นถัดไปมากที่สุด เช่นเดียวกับบิดาของเขา

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเป็นเส้นตรง แล้วฉีกยิ้มเงียบๆ

………………..

[1] ตันเถียน เป็นจุดชีพจรสำคัญจุดหนึ่งอยู่ใต้สะดือประมาณ 3 นิ้ว

[2] ชี่ไห่ เป็นหนึ่งในจุดฝังเข้มในการรักษาของแพทย์แผนจีน อยู่ใต้สะดือประมาณ 1 นิ้ว