ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 4 เยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่เล่นตามบท

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ผู้อาวุโสชุยผู้มีผมยาวสีขาวยังคงมีท่าทีมีเมตตาเช่นเดิม เขายิ้มตาหยีมองดูเยี่ยจิ่งราวกับไม่ได้รับรู้เลยว่าคำพูดของตนเมื่อครู่ทำให้ผู้คนในที่นั้นเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เช่นไรบ้าง

เยี่ยนจ้าวเกอมองผู้อาวุโสชุย แล้วมองเยี่ยจิ่งอีกครั้ง พลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างน่าขบขันอยู่บ้าง

บุตรแห่งสวรรค์ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่สามารถรับมือได้ ทั้งยังต้องการเวลาและพื้นที่ในการเติบโต ในเวลาเช่นนี้มักจะมีใครบางคนที่อาจจะเป็นที่พึ่งพิงให้เขา คอยปกป้องบุตรแห่งสวรรค์ระหว่างที่เขาพัฒนาตนเอง และก้าวออกจากกลุ่มของมือใหม่

ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร คนเหล่านี้ส่วนมากก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายอธรรม

รอจนบุตรแห่งสวรรค์เติบโตขึ้น คนเหล่านี้เพียงตั้งหน้าตั้งตารอให้บุตรแห่งสวรรค์ทำการฆ่าล้างทำลายสี่ทิศอย่างเงียบๆ ก็พอ ภายหลังย่อมได้รับผลตอบแทนในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์เป็นร้อยเท่าแน่นอน

โดยปกติแล้ว ดูเหมือนพวกเขาน่าจะถูกขนานนามว่า…กลุ่มฝ่ายธรรมะ

‘เป็นบทการฝึกฝนที่น่าประทับใจจริงๆ จัดวางโครงเรื่องได้สมบูรณ์แบบ’ เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาสายตาของของผู้อาวุโสชุยและเยี่ยจิง โดยไม่ได้ปิดบังความรู้สึกหรือเกรงอกเกรงใจแต่อย่างใด

ผู้อาวุโสชุยเห็นทุกอย่าง ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ทว่ากลับดีใจอยู่ลึกๆ เสียด้วยซ้ำ

‘เป็นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิด เยี่ยนจ้าวเกอเป็นพวกชอบอวด เอาแต่ใจ และมีแค้นต้องชำระ’ ชายชราหนวดขาวยิ้มตาหยี ไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ ออกมา ‘ยิ่งเสียหน้าท่ามกลางผู้อื่นเช่นนี้ ถึงแม้ตรงนี้จะมีเพียงสิบหกคน แต่ข่าวก็จะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน…’

‘หนามนี้ที่ฝังลงไป จะต้องทำให้เจ้าเด็กคนนี้ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ ไม่ว่าจะลงมือ ณ เวลานี้ หรือลอบลงมือตอนที่อยู่ในน้ำลึกปราการมังกร หลังออกจากสำนักไปแล้ว ก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวทั้งสิ้น’

เยี่ยนจ้าวเกอมองผู้อาวุโสชุย แล้วหันไปมองเยี่ยจิ่งอีกครั้ง พลางยิ้มเยาะในใจ

‘เริ่มจากข้าเป็นฝ่ายแสดงความดูถูกเหยียดหยามก่อน จากนั้นเยี่ยจิ่งก็แสดงความไม่พอใจของเขาออกมา หลังจากข้ารู้สึกเสียหน้าเพราะเขาแล้ว จึงส่งลูกสมุนหรือศิษย์น้องที่เป็นสุนัขรับใช้ไปสั่งสอนเยี่ยจิ่ง แต่แล้วก็โดนเยี่ยจิ่งเล่นงานจนพังยับเยินอย่างนั้นหรือ’

สถานการณ์เช่นนี้ จะลงมืออย่างเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายกระทำความผิดชัดเจน มิเช่นนั้นก็ต้องลงมือในการประลองทดสอบฝีมือเท่านั้น

ขอเพียงไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าเป็นฝ่ายท้าสู้ โดยทั่วไปแล้วก็จะจบลงที่ผู้เก่งกล้าเอาชนะผู้ที่ด้อยวรยุทธ์กว่าไปได้

ทว่าบุตรแห่งสวรรค์พวกที่มีรัศมีตัวเอก ก็มักมีความสามารถในการสังหารข้ามขั้นติดตัว และไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ในบรรดาคนระดับเดียวกัน

พวกทหารลูกจ๊อกท้าสู้เดี่ยวก็ไม่ได้ โจมตีเป็นกลุ่มส่วนมากก็ใช้ไม่ได้ผล ตรงกันข้ามอาจกลายเป็นประสบการณ์อันดีมากมาย ที่ช่วยให้เยี่ยจิ่งพัฒนาตนเองเร็วยิ่งขึ้น

‘ไม่แน่ว่าสู้ไปสู้มา เขาอาจจะบรรลุขึ้นอีกระดับในตอนนั้นก็เป็นได้’

นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

‘ถึงเวลานั้นสุนัขรับใช้ทั้งหลายจะโดนเล่นงานจนไม่เหลือชิ้นดี ข้าคงอับอายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และไปสั่งสอนเยี่ยจิ่งด้วยตนเอง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการรังแกผู้ที่ด้อยกว่าหรือไม่ แม้เยี่ยจิ่งในตอนนี้จะยังห่างชั้นกับข้ามากก็จริง แต่เขาจะต้องยืนหยัดสู้กับข้าอย่างไม่ไม่ยอมแพ้ และแสดงความเก่งกาจของเขาออกมา’

‘ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจใช้จุดแข็งของเขา ทำให้ข้าเสียเปรียบไปบ้างก็ได้’

‘ก่อนที่ข้าจะเล่นงานเขาอย่างจนตรอกเหมือนสุนัขเจียนตายตัวหนึ่ง ชายแก่ที่แซ่ชุยหรือใครสักคนหนึ่งก็จะยื่นมือออกมาช่วย จากนั้นข้าก็ทำได้เพียงทิ้งท้ายด้วยคำพูดไม่สบอารมณ์ว่า ‘นับว่าเจ้าโชคดีนัก’ และเรื่องในวันนี้ก็ยุติลง’

‘และต่อให้ข้าเป็นฝ่ายชนะก็ไม่มีอะไรน่าดีใจเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนก็จะมองว่าข้ารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แล้วหันไปเห็นใจเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นแทน’

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘จะให้ข้าเล่นไปตามบทนี้ เห็นข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไร’

ผู้อาวุโสชุยมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางยิ้มตาหยี ทว่าเยี่ยจิ่งและซือคงจิงกลับมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความระมัดระวัง ส่วนคนอื่นๆ มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกังวลและความคาดหวัง

“น้อยคนนักในหมู่พวกเจ้าที่เคยไปยังหุบเหวปราการมังกรมาก่อน ส่วนคนที่ไม่เคยไปเกินกว่าครึ่งก็คงจะเคยได้ยินชื่อของสถานที่อันตรายแห่งนี้แล้ว” ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็เปิดปากพูดขึ้น ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน “จากวรยุทธ์ของพวกเจ้าในตอนนี้ ไม่ต้องเข้าไปถึงข้างใน ลำพังเพียงแค่เข้าใกล้พื้นที่รอบนอกก็อันตรายมากแล้ว”

“แม้ว่าข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย แต่ครั้งนี้พวกเจ้าไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ไม่ได้ไปเที่ยวชมเล่น ข้าจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ พวกเจ้าเองก็ต้องพยายามด้วย”

เมื่อได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดเช่นนี้ ผู้อาวุโสชุยจึงยิ้มบางๆ และพูดในใจว่า ‘ดูจากท่าทีแล้ว คงจะรอถึงปราการมังกรก่อนถึงจะลงมือสินะ’

ส่วนในใจของเยี่ยจิ่งและซือคงจิงต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น

ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนประเด็นพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าเดินทางไปกับข้า ข้าก็ต้องดูแลพวกเจ้าเป็นธรรมดาดังคำกล่าวที่ว่า ‘จะทำงานให้ได้ผลดี การตระเตรียมเป็นสิ่งสำคัญ’…”

พูดแล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “อาหู่”

ชายร่างกำยำคนหนึ่งปรากฏกายที่หน้าประตู “ขอรับคุณชาย”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้น “คุณภาพชั้นโท เอามาสิบหกชิ้น อืม…เลือกเอาเฉพาะที่ไว้ป้องกันตัวเป็นหลักก็แล้วกัน”

“ขอรับคุณชาย” อาหู่ที่ก่อนหน้านี้คอยอารักขาอยู่ข้างกายเขากล่าวตอบ

ไม่นานนัก อาหู่ก็กลับมาพร้อมทั้งหอบสิ่งของกองหนึ่งเดินเข้ามาในวิหาร วางลงตรงหน้าทุกคน

เบื้องหน้าพลันมีแสงส่องระยิบระยับไปทั่ว ทำให้เหล่าศิษย์วัยเยาว์ลืมตาไม่ขึ้น การเคลื่อนไหวของปราณที่รุนแรง ยิ่งสั่นสะเทือนทำให้เลือดลมภายในของพวกเขาไม่สงบนิ่ง

“อาวุธวิเศษ! อาวุธวิเศษทั้งหมดเลย! ” ทุกคนต่างก็ตกใจ “ศิษย์พี่เยี่ยน อาวุธวิเศษพวกนี้…”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “นี่คือของส่วนตัวของข้า ไม่ใช่ของที่สำนักเก็บสะสมไว้ ตอนนี้ข้าต้องการจะให้พวกเจ้า”

“มีทั้งหมดสิบหกชิ้น ให้พวกเจ้าคนละหนึ่งชิ้น มาเลือกเองตามลำดับการเข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักแล้วกัน”

ในวิหารเงียบสงัดไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงบางอย่างดังขึ้นเลือนราง ฟังดูราวกับมีคนกำลังกลืนน้ำลายอยู่

สำหรับระดับวรยุทธ์ของพวกเขาในตอนนี้แล้ว นี่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าข้ามขั้น ก่อนหน้านี้เยี่ยจิ่งและอีกสองคนผ่านการทดสอบมากมายจนได้เป็นผู้ชนะในการประลองย่อยของสำนัก ถึงได้รับสักหนึ่งชิ้น

ในเวลานั้น แม้จะมีเกียรติยศมากมายอยู่บนเวที แต่เบื้องหลังมีหยาดเหงื่อของความพยายามมากเท่าใดกัน

แต่จู่ๆ ตอนนี้ทุกคนกลับมีมันติดมือได้คนละชิ้นอย่างนั้นหรือ

ถึงแม้ว่าเดิมทีเยี่ยจิงและคนอื่นๆ จะมีอาวุธวิเศษอยู่แล้ว ทว่าสำหรับพวกเขาในตอนนี้ ได้รับสิ่งล้ำค่าเช่นนี้เพิ่มอีกสักชิ้น จะปฏิเสธว่ามากไปได้อย่างไร

เพียงแต่สิ่งล้ำค่าเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับนำออกมารวดเดียวสิบหกชิ้นอย่างสบายมือ โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักนิด ราวกับสิ่งที่เขานำมาไม่ใช่อาวุธวิเศษที่ศิษย์รุ่นหลังทั้งหลายเฝ้าใฝ่ฝันถึง แต่เป็นเพียงเศษเหล็กกองหนึ่งเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน อาวุธวิเศษเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้ตำแหน่งของตนเบิกของจากคลังสะสมของสำนัก แต่เป็นของส่วนตัวของเขาเอง

ผู้คนทั้งหลายพลันมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาร้อนรุ่มในทันที

เยี่ยจิ่งกลับกำหมัดแน่น ไม่อาจปกปิดเปลวเพลิงแห่งความโกรธขึ้งในดวงตาคู่นั้นได้เลย

เขารู้สึกว่าตนได้รับการเหยียดหยามจากเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับอีกฝ่ายกำลังโอ้อวดให้เขาดูอยู่

ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากที่ผู้อาวุโสชุยตะลึงงันไปในตอนแรก ก็ยิ้มเยาะในใจว่า ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ใช้เงินเบิกทางซื้อใจคนอื่น ทำให้เยี่ยจิ่งไม่เหลือใคร และโอ้อวดฐานะตนเองไปพร้อมๆ กันหรือนี่’

‘แม้ว่านี่จะเป็นการทุ่มทุนอยู่มากโข แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เลว ทั้งยังกู้หน้าที่เสียไปเมื่อครู่กลับมาได้ ทว่า…นี่ก็…ก็… เหอะๆ ก็ยังสมกับเป็นเรื่องที่เหล่าลูกหลานตระกูลผู้ดีมีฐานะทำกันจริงๆ’

‘เด็กคนนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด เชื่อว่าอนาคตต้องสร้างปัญหาใหญ่ให้กับบิดาของเขาแน่’ ผู้อาวุโสชุยยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็หยิบชุดเกราะตัวหนึ่งขึ้นมาดู แล้วพูดกับเยี่ยจิ่งและทุกคนว่า “ปราการมังกรเป็นที่ที่อันตรายจริงๆ ศิษย์พี่เยี่ยนของพวกเจ้าเองก็หวังดีกับพวกเจ้า”

แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคนอยู่ แต่เขาก็ยังพูดต่ออย่างไม่รีบร้อน ราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ  “สิ่งของที่ให้ไปแล้ว ข้าจะไม่เอาคืน อาวุธวิเศษพวกนี้ถือว่าให้พวกเจ้าแล้ว”

“แต่พวกเจ้าจะต้องจดบันทึกการเลี้ยงดู ฝึกฝน และการนำไปใช้จริงของพวกเจ้าอย่างละเอียด แล้วค่อยนำมารายงานข้า ข้าจะได้สรุปและปรับแก้ให้มันบริสุทธิ์ได้สะดวก รวมถึงใช้เป็นข้อมูลหลอมอาวุธวิเศษชุดต่อไป”

ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาถึงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมด้วยสีหน้าราวกับถูกผีหลอก

ผู้อาวุโสชุยขนลุกไปทั้งตัว เกือบปล่อยอาวุธวิเศษที่ถืออยู่ตกพื้น “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ?”

……………