หลังการลงทะเบียนเรียนเสร็จสิ้นแล้ว อันหลินก็มาถึงหอพักที่ถูกจัดสรรให้
และครั้งนี้ เขาก็ต้องอุทานออกมาจากใจจริงอีกครั้ง
สมกับเป็นสำนักบำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งของแคว้นจิ่วโจว สวัสดิการดีเยี่ยม ศิษย์ใหม่ทุกคนที่เข้าเรียน ล้วนมีอาคารเล็กๆ สองชั้นเป็นของตัวเอง!
อาคารเป็นตึกที่สร้างขึ้นจากโครงสร้างไม้ ภายในมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน
แน่นอนว่า พวกคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศกับเครื่องซักผ้าอย่าไปคิดถึงเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านส่วนใหญ่ล้วนทำขึ้นจากไม้ทั้งหมด
อันหลินคิดว่าจุดนี้สอดคล้องกับโลกที่เขาอยู่มากทีเดียว เป็นฉากบรรยายที่เจอเวลาอ่านนิยายแนวบำเพ็ญเซียน
แม้จะไม่มีอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่แค่เข้าเรียนก็มีคฤหาสน์ส่วนตัว ในใจเขาก็พอใจมากเหมือนกัน
การจัดสรรอาคารถูกแบ่งเขตตามระดับชั้นเรียน และบ้านพักของสวีเสี่ยวหลานก็อยู่ข้างๆ อันหลิน
โบราณกล่าวว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอา อินหลินรู้เรื่องนี้ดี กำลังแอบดีใจอยู่ในใจ
เพราะสวีเสี่ยวหลานเป็นคนใจดีมีอัธยาศัย แถมหน้าตาก็ยังสะสวย ซ้ำยังไม่ถือสาเรื่องที่เขาเป็นคนไม่เอาไหนเลยสักนิด เพื่อนที่ดีขนาดนี้จะไปหาที่ไหน
หึ เราเป็นถึงผู้ชายที่มีระบบเทพสงคราม ถูกกำหนดให้เป็นใหญ่ในวงการบำเพ็ญเซียน
สวีเสี่ยวหลาน ข้าจะพิสูจน์ตัวเอง ทำให้เจ้าชื่นชมข้าให้ได้!
เปลวไฟลุกโชนในดวงตาอันหลิน พลังก่อตัวขึ้นในจิตใจ
กายแห่งมรรคขั้นศูนย์แล้วอย่างไร เซียวเหยียนยังเป็นจักรพรรดิสงครามได้ เราจะเป็นจักรพรรดิเซียนไม่ได้เชียวเหรอ
คิดได้ดังนั้น มุมปากของอันหลินก็ยกขึ้นน้อยๆ ท่าทางเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
เขานั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง เปิดระบบเทพสงครามในสมอง เปิดฉากการเดินทางของการบำเพ็ญเซียนแสนวิเศษ
อินเตอร์เฟซ[1]ของระบบเทพสงครามเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีแค่แถบตัวเลือกระดับพลังยุทธ์ วิชากับกระบวนท่าสามแถบเท่านั้น
อ้อ มีแถบแปลกๆ ที่เรียกว่า ‘ภารกิจพิเศษ’ อยู่ด้วย
แถบวิชา กระบวนท่ากับภารกิจพิเศษมืดสนิท เห็นได้ชัดว่าแถบวิชากับกระบวนท่าต้องบรรลุกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดถึงจะฝึกได้
ใบหน้าของอันหลินดูจนใจเล็กน้อย เบนสายไปทางคอลัมน์ของระดับพลังยุทธ์
“กายแห่งมรรคขั้นหนึ่ง บรรลุเงื่อนไข: วิดพื้น 10 ครั้ง”
“โอ้แม่เจ้า!” อันหลินอ้าปากกว้าง ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ พึมพำว่า “ภารกิจนี้ ให้คะแนนฟรีหรือไง”
อันหลินวิดพื้นบนเตียงสิบครั้งอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ต่อมา ก็มีเสียงกรอบแกรบดังมาจากกระดูกของเขา กล้ามเนื้อทั่วร่างกายก็เจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาทันใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงได้หอบหายใจ ร่างกายชุ่มเหงื่อลุกขึ้นยืน
“เรา…แข็งแกร่งขึ้นแล้ว…” อันหลินสัมผัสได้ว่าพลังในร่างกายของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาไม่เคยเป็นอย่างตอนนี้ รู้สึกว่าในร่างกายของตัวเองเปี่ยมด้วยพลัง
ยิ่งไปกว่านั้น มีอากาศธาตุชนิดหนึ่งที่ล่องลอยในอากาศ เขาก็สัมผัสได้แล้วเช่นกัน
“นี่คือพลังชีวิตงั้นเหรอ วิเศษจังเลย”
อันหลินรู้ว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอย่างเป็นทางการแล้ว!
เขาควบคุมใจที่สั่นระรัวของตัวเอง ตรวจดูแถบตัวเลือกของระบบเทพสงครามต่อไป
“กายแห่งมรรคขั้นสอง บรรลุเงื่อนไข: วิดพื้น 10+10 ครั้ง”
“นี่…ล้อกันเล่นหรือเปล่า” แม้ปากอันหลินจะพูดแบบนี้ แต่ก็หลุดขำออกมาเสียแล้ว
ให้ตายเถอะ หากเป็นแบบนี้ต่อไป พรุ่งนี้เราคงจะเป็นที่หนึ่งของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนแล้ว!
อันหลินระเบิดเสียงหัวเราะที่เขาคิดไปเองว่าน่าเกรงขาม ทว่าแท้ที่จริงแล้วกลับน่าเกลียดมากออกมา
วิดพื้นยี่สิบครั้งเสร็จ อันหลินเหงื่อโชก เขารู้สึกได้ว่า ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!
เขากำสองมือของตัวเองแน่น ปล่อยหมัดใส่โต๊ะที่อยู่ข้างๆ อย่างแรง จากนั้นโต๊ะทั้งตัวก็ถูกหมัดของอันหลินกระแทกจนพัง
“ฮ่าๆๆ เราไร้พ่ายแล้ว สมกับเป็นระบบเทพสงคราม ฉันรักแกเหลือเกิน!” อันหลินหัวเราะร่า
เขาดูระบบต่อ พบว่าเนื้อหาข้างในกลายเป็น ‘กายแห่งมรรคขั้นสาม บรรลุเงื่อนไข: วิดพื้น 10×10ครั้ง’
หึๆ ความยากเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
ตอนนี้อันหลินวิดพื้นไปยิ้มไปด้วยซ้ำ
ไม่นาน เขาก็วิดพื้นหนึ่งร้อยครั้งเสร็จ ระดับพลังยุทธ์ของเขาเลื่อนเป็นกายแห่งมรรคขั้นสามแล้ว
ระบบนี้เป็นโปรแกรมโกงชัดๆ เกิดคนอื่นรู้ว่าเราเพิ่มพลังยุทธ์ด้วยวิธีแบบนี้ จะไม่โมโหเจียนตายเลยเหรอ!
อันหลินคิดว่าตัวเองจะเข้าสู่จุดสูงสุดของชีวิตในไม่ช้า เขาเปิดหน้าจอระบบอย่างร่าเริง มองเงื่อนไขการเพิ่มระดับพลังยุทธ์ขั้นต่อไป สิ่งที่เห็นยังคงเป็นการวิดพื้น เขาดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น
“กายแห่งมรรคขั้นสี่ บรรลุเงื่อนไข: วิดพื้น 10 ยกกำลัง 10 ครั้ง”
วิดพื้นสิบยกกำลังสิบงั้นเหรอ
อันหลินนิ่งไปสิบวินาทีเต็มๆ
ขอลองคำนวณหน่อย วิดพื้นสิบยกกำลังสิบเท่ากับเท่าไหร่นะ…
ครู่ใหญ่ อืม คิดออกแล้ว
สิบยกกำลังสิบเท่ากับหนึ่งหมื่นล้าน ก็คือวิดพื้นหนึ่งหมื่นล้านครั้ง
เต็มที่เราสามารถวิดพื้นได้หนึ่งแสนครั้งต่อวัน ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาสองร้อยเจ็ดสิบกว่าปี…
“นี่มัน…” สายตาของอันหลินเหม่อลอย นั่งนิ่งอยู่บนเตียง ราวกับสูญเสียความศรัทธาทั้งหมดไป
เขาเปิดระบบเทพสงคราม พบว่านอกจากหน้าระดับพลังยุทธ์แล้ว หน้าอื่นล้วนมืดสนิท
ซึ่งหมายความว่า เขาต้องวิดพื้นสองร้อยกว่าปีถึงจะเลื่อนขั้นได้งั้นเหรอ
ไม่สิ ก่อนจะคิดเรื่องนี้ เขาอยู่ไม่ถึงสองร้อยปี…
น้ำตาเกลือกกลิ้งในดวงตาอันหลิน นี่มันระบบอะไรกันแน่ นี่มันบีบคั้นให้เราจนมุมไม่ใช่หรือไง
ขณะที่อันหลินกำลังหมดอาลัยตายอยาก จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ไม่สิ! เราไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญเซียนด้วยการพึ่งพาระบบนี่นา เราสามารถบำเพ็ญเพียรเองได้!
ก่อนหน้านี้อันหลินตกใจกับเงื่อนไขอันน่ากลัวของระบบนั่นจนมึนงง ตอนนี้เขาเพิ่งจะได้สติ อันที่จริงทุกครั้งที่ระดับพลังยุทธ์ของเขาเลื่อนขั้น ภารกิจการเลื่อนระดับพลังยุทธ์ของระบบก็จะเปลี่ยนแปลงหนึ่งครั้ง
ซึ่งก็คือว่า ตอนนี้เมื่อเขาอาศัยพลังของตัวเองเพิ่มระดับพลังยุทธ์ ภารกิจของระบบก็จะเปลี่ยนแปลง ไม่แน่ว่าภารกิจครั้งต่อไปอาจจะง่ายขึ้นก็ได้!
อันหลินคร่ำครวญ น่าจะเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นระบบนี่จะมีประโยชน์อะไร
แต่ว่า คราวนี้มีปัญหาอีกแล้ว ควรจะบำเพ็ญเซียนอย่างไรดีล่ะ
“ก๊อกๆ”
อันหลินเคาะประตูไม้ด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย
ประตูเปิดออกแล้ว เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นก็ปรากฏขึ้นในสายตาของอันหลิน
ผมยาวดำขลับปรกไหล่ เหมือนเพิ่งผ่านการอาบน้ำมา เส้นผมยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย
ชั่ววินาทีที่ประตูเปิดออก อันหลินได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ระลอกหนึ่ง
“อันหลิน เจ้ามาได้ยังไง” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคาดไม่ถึงว่าอันหลินจะมาหาตัวเองเวลานี้ น้ำเสียงเจือความแปลกใจ
อันหลินยิ้มด้วยความเกรงใจ “เอ่อ สวีเสี่ยวหลาน ต้องขออภัย ดึกป่านนี้แล้วข้ายังมารบกวนเจ้าอีก ที่จริงข้ามีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งอยากคุยกับเจ้าหน่อย”
“อ๋อ เรื่องอะไรหรือ ลับหรือเปล่า เข้ามาคุยในห้องข้าดีไหม” ดวงตาสุกใสของสวีเสี่ยวหลานฉายความคาดหวัง เห็นได้ชัดว่าสนใจ ‘เรื่องสำคัญมาก’ ที่อันหลินพูดไม่น้อยเลย
“ไม่ ไม่ดีกว่า” เพราะสงวนท่าที อันหลินจึงโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
ทว่าวินาทีต่อมาเขากลับนึกเสียดาย เวลาแบบนี้ยังจะสงวนท่าทีบ้าบออะไร! ผู้หญิงเป็นฝ่ายเชื้อเชิญนายให้เข้าห้อง แต่นายกลับปฏิเสธเนี่ยนะ
“เฮ้อ…” อันหลินอดถอนหายใจไม่ได้
“เป็นอะไรไป” สวีเสี่ยวหลานเห็นสีหน้าของอันหลินจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นผิดหวังมาก ก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาลงทะเบียน ทดสอบระดับพลังยุทธ์วันนี้
มันทำให้นางเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอันหลิน รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าเข้ามาแล้วค่อยๆ คุยกันเถอะ หากข้าช่วยได้ ข้าก็จะช่วยเต็มที่!”
“เอ๊ะ ได้เลย!” อันหลินเพิ่งจะรู้สึกผิดหวังที่เขาพลาดโอกาสดีๆ ไป ไม่คิดว่าสวีเสี่ยวหลานจะยื่นไมตรีมาให้เขาอีกครั้ง
คราวนี้เขาเรียนรู้แล้ว หลังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็รีบตกปากรับคำทันที
พอเข้ามาในห้อง สวีเสี่ยวหลานก็ชงชากาหนึ่งให้อันหลิน
อันหลินไม่รู้ชื่อชาชนิดนี้ ทว่าเพียงแค่กลิ่นชาลอยออกมาจากกา ก็ทำให้จิตใจของเขารู้สึกผ่อนคลายแล้ว
ทั้งสองคนนั่งคนละฝั่งของโต๊ะ จิบชาแล้วเริ่มคุยเรื่องจริงจังขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เจ้าพูดเรื่องสำคัญมากของเจ้ามาได้แล้ว” ท่าทางของสวีเสี่ยวหลานงามสง่า มืองามคู่นั้นยกถ้วยชาขึ้น ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย จิบชาคำหนึ่ง พูดอย่างเยือกเย็น
“อืม” อันหลินพยักหน้า มองสวีเสี่ยวหลานอย่างจริงจัง
ไม่รู้ว่าบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาตอนไหน ทำให้สวีเสี่ยวหลานจริงจังขึ้นเล็กน้อย
อันหลินพูดว่า “ตอนนี้ข้ากำลังเจอกับอุปสรรคอย่างหนึ่ง”
สวีเสี่ยวหลานพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม บอกเป็นนัยว่าให้อันหลินพูดต่อ
“นั่นก็คือ ข้าบำเพ็ญเซียนไม่เป็นเลย เจ้าสอนข้าหน่อยได้ไหม”
“พรืด!” ชาที่สวี่เสี่ยวหลานเพิ่งดื่มเข้าไป พ่นใส่หน้าอันหลินทั้งหมดในพริบตา…
………………………………..
[1] อินเตอร์เฟซ คือ ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งาน หรือ ส่วนที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน ส่วนที่ให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของหน้าตา การออกแบบ และการดีไซน์ ยกตัวอย่างเช่น หน้าจอ แพลตฟอร์ม เมนู ฟอร์มต่างๆ การวางภาพ ขนาดตัวอักษร ปุ่ม แป้นพิมพ์ เสียงเป็นต้น