ตอนที่ 4 ห้องเรียนของกลุ่มอัจฉริยะกับคนไม่เอาไหน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อันหลินเช็ดน้ำชาบนหน้าด้วยความจนใจเล็กน้อย

จากนั้น ภายใต้สายตาจริงจังและจริงใจอย่างยิ่งของอันหลิน สุดท้ายสวีเสี่ยวหลานก็ฝืนใจยอมรับความจริงที่แม้แต่บำเพ็ญเพียรเขาก็ทำไม่เป็น

สวีเสี่ยวหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบตำราที่สอนวิธีการกำหนดลมหายใจยามบำเพ็ญเพียรออกจากแหวนมิติ

“นี่เป็นตำราการกำหนดลมหายใจยามบำเพ็ญเพียรที่ข้าอ่านตอนสามขวบ อ่ะ ข้ายกให้เจ้า”

พูดจบ สวีเสี่ยวหลานก็โยนตำราให้อันหลินอย่างใจกว้าง

อันหลิน “…”

ดึกสงัดเงียบสงบ ดาวดวงพร่างพราย ในบ้านพักหลังหนึ่งมีแสงไฟสว่างไสว

อันหลินตั้งใจเปิดอ่านตำราวิชา โดยมีสวีเสี่ยวหลานคอยนั่งตอบข้อสงสัยต่างๆ นานาที่เขาเอ่ยถามอย่างมีน้ำอดน้ำทน

สำหรับอันหลินแล้ว การบำเพ็ญเซียนก็คือโลกใบใหม่ ทุกทฤษฎีล้วนแปลกใหม่สำหรับเขา

เช่นยามกำหนดลมหายใจซึมซับพลังชีวิตฟ้าดิน ต้องให้มันผ่านเส้นลมปราณเส้นใดบ้าง ควรจะปลุกพลังภายในอย่างไร ระดับพลังมากน้อยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไร…

อันหลินตั้งใจฟังมากเป็นพิเศษ และกระตือรือร้นถามมากเป็นพิเศษเหมือนกัน แถมยังจดบันทึกอยู่บ่อยครั้ง

สวีเสี่ยวหลาน ในฐานะอัจฉริยะของแคว้นสือหลง ตอนนี้สอนอันหลินบำเพ็ญเซียน ความรู้สึกไม่แตกต่าง ไม่ได้สบายไปกว่ากันมากนัก…

คุณพระ… เขาแยกเส้นลมปราณในร่างกายไม่ออกด้วยซ้ำ อยู่รอดมาถึงอายุสิบแปดได้อย่างไร!

ไม่รู้ว่าจะระดมพลังชีวิตอย่างไร!

ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่น่าจะเคยเห็นหมูวิ่งบ้างสิ![1]

สวีเสี่ยวหลานแทบจะเสียสติ นางอธิบายความรู้พื้นฐานที่สุดให้อันหลินฟังทีละตัวทีละประโยค ซ้ำยังใช้มือประกอบท่าทางอยู่บ่อยครั้ง

ทว่าอันหลินกลับทำหน้ามึนงงแล้วมึนงงอีก มึนงงอีกหลายครั้ง…

ในค่ำคืนนี้ สำหรับทั้งสองคนแล้ว เป็นค่ำคืนแห่งความทรมานที่ควรค่าแก่การจารึกไว้

ผ่านไปนานมาก นานแสนนาน อันหลินเดินออกจากประตูห้องสวีเสี่ยวหลานด้วยความซาบซึ้งเต็มอก

สวีเสี่ยวหลานขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่ส่งแขกผู้มีเกียรติอย่างอันหลินไปได้สักที

แต่ไม่ว่าอย่างไร คืนนี้อันหลินก็ได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เพราะในที่สุดเขาก็บำเพ็ญเซียนเป็น ซึมซับพลังฟ้าดินเป็นแล้ว!

พอกลับถึงห้อง เขาก็อดรนทนไม่ไหวเริ่มนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

ระหว่างที่นั่งสมาธิ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังแข็งแกร่งขึ้นช้าๆ แม้ความแตกต่างจะไม่มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้เขามองเห็นความหวังแล้ว

“เฮ้อ เส้นทางจากคนไม่เอาไหนจนเป็นอัจฉริยะ เต็มไปด้วยขวากหนามจริงๆ” ขณะที่อันหลินนั่งทำสมาธิในห้องอยู่นั้น ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

วันต่อมา ชีวิตการเรียนรู้ในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนของอันหลินเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว

สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนถูกก่อตั้งโดยสรวงสวรรค์ เป็นโรงเรียนที่อบรมบ่มเพาะผู้บำเพ็ญเซียนโดยเฉพาะ

ในโรงเรียนรวมเอาอัจฉริยะมากเหลือคณานับของแคว้นจิ่วโจวไว้

ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนในสำนักนี้ได้ ล้วนเป็นอัจฉริยะในวงการบำเพ็ญเซียน

และในโรงเรียนแห่งนี้ คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือลูกศิษย์ห้องหนึ่ง พวกเขาเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ

ว่าที่ดาวรุ่งแห่งวงการบำเพ็ญเซียนในอนาคต โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนมาจากห้องเรียนอย่าง ‘ห้องหนึ่ง’

ผู้บำเพ็ญเซียนของแคว้นจิ่วโจว ส่วนใหญ่แล้วชั่วชีวิตนี้ อาจจะหยุดอยู่ที่ระดับกายแห่งมรรคขั้นห้ากันทั้งหมด

แต่ลูกศิษย์ห้องหนึ่ง ระดับพลังยุทธ์ต่ำที่สุดคือกายแห่งมรรคขั้นแปด แน่นอนว่า ยกเว้นอันหลิน…

บอกตามตรง เรียนห้องเดียวกับอัจฉริยะเหล่านี้ ความกดดันของอันหลินใหญ่หลวงนัก!

อาคารเรียนที่ใช้สำหรับเรียน ก่อสร้างจากหินวิญญาณหยกขาวชั้นหนึ่ง พลังชีวิตอันเข้มข้นอบอวลทั่วพื้นที่

และเป็นเพราะเหตุนี้เอง เวลาลูกศิษย์เล่าเรียนในอาคารเรียน พลังยุทธ์ถึงได้เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หากไม่ใช่เพราะในอาคารเรียน มีค่ายกลขัดขวางไม่ให้ลูกศิษย์ดูดซึมพลังชีวิตของหินวิญญาณโดยพลการ เกรงว่าอาคารเรียนคงจะถล่มในวันต่อมาแล้ว

อันหลินก้าวผ่านประตูของห้องเรียนที่เขาอยู่ด้วยสภาพจิตใจที่วิตกกังวล

เหตุการณ์ ‘อัจฉริยะเยาะเย้ย’ ที่เขาคาดการณ์ไว้ ไม่ถูกฉายที่นี่

แม้เหล่าอัจฉริยะในห้องนี้ จะพากันมองมาที่เขา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประเมินเขาด้วยสายตาที่เจือความแปลกใจ

ชื่อของ ‘อันหลินเด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุด’ กระจายไปทั่วสำนักตั้งแต่วันแรกของการลงทะเบียนแล้ว

แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่คนที่กระแสรุนแรงที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่รุ่นนี้แต่อย่างใด พูดได้แค่ว่าอยู่ในอันดับสามเท่านั้น

อีกสองคนเป็นใครกันล่ะ

รู้จากปากสวีเสี่ยวหลานว่า สองคนนี้ก็เป็นคนที่มี ‘จดหมายรับรองจากผู้เที่ยงแท้’ เช่นกัน

จากสถานการณ์รับสมัครศิษย์ใหม่ของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนที่ผ่านมา ปกติใช่ว่าจะมีศิษย์ใหม่ที่มีจดหมายรับรองของผู้เที่ยงแท้ทุกปี จะเห็นได้ว่า จดหมายรับรองของผู้เที่ยงแท้หายากแค่ไหน

หากจะพูดว่าจดหมายรับรองของผู้เที่ยงแท้เป็นหนังสือตอบรับ สู้พูดว่าเป็นหลักฐานการยอมรับในความสามารถของศิษย์ใหม่จะดีกว่า

มันเป็นถึงการยอมรับจากผู้เที่ยงแท้ที่อยู่สูงสุดของวงการบำเพ็ญเซียน นับเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง

สามารถพูดได้ว่า ศิษย์ใหม่ที่ได้รับจดหมายรับรองจากผู้เที่ยงแท้ได้ ล้วนเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

ในรุ่นนี้ อีกสองคนที่ได้จดหมายรับรองจากผู้เที่ยงแท้ ก็คือยอดฝีมือที่สวีเสี่ยวหลานว่า

เซวียนหยวนเฉิง ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น บุตรของเจ้าสำนักเซียนหมื่นชีวิตแห่งแคว้นเฟิงหยวน

ซูเฉี่ยนอวิ๋น ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น องค์หญิงแห่งราชวงศ์ชิงมู่แคว้นจื่อซิง ว่ากันว่าเป็นผู้งมงายยุทธ์

หลังบรรลุระดับกายแห่งมรรคขั้นสิบจะเข้าสู่ช่วงหล่อเลี้ยงวิญญาณ แล้วช่วงหล่อเลี้ยงวิญญาณจะบรรลุได้ยากปานใดกันล่ะ

อันหลินรู้มาว่าอัจฉริยะส่วนใหญ่ของห้องหนึ่ง ใช้เวลาอยู่ในสำนักห้าปีจนถึงสำเร็จการศึกษา ล้วนบรรลุขั้นหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว

เมื่อเข้าสู่ช่วงหล่อเลี้ยงวิญญาณ ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนของสรวงสวรรค์ มีสมญานามว่า ‘เซียนน้อย’

แค่สองคนนี้เข้าเรียน ก็มีระดับพลังยุทธ์ที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้แล้ว เรื่องนี้สร้างความฮือฮาให้กับสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนไม่น้อยเลย

อันหลินเข้าเรียนด้วยจดหมายรับรองของผู้เที่ยงแท้เช่นเดียวกับพวกเขา แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนี้เขากลับรู้สึกละอายใจ อยากหาหลุมแล้วมุดลงไปเหลือเกิน…

เห็นได้ชัดว่าเหล่าอัจฉริยะห้องหนึ่งให้ความสนใจเซวียนหยวนเฉิงกับซูเฉี่ยนอวิ๋นมากกว่า สำหรับเด็กเส้นอย่าง ‘อันหลิน’ แม้จะไม่เยาะเย้ย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าใด

สถานการณ์แบบนี้ทำให้อันหลินพรูลมหายใจยาว รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย สังคมที่กลมเกลียวสำคัญที่สุดนี่นา

เขานั่งอยู่ข้างหลัง พลิกอ่านตำรากำหนดลมหายใจที่สวีเสี่ยวหลานให้เขาเงียบๆ

ไม่นาน ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นในห้อง อันหลินหลับตายังรู้เลยว่า คนที่เข้ามาไม่ใช่เซวียนหยวนเฉิงก็คงเป็นซูเฉี่ยนอวิ๋น

เป็นอย่างที่คิด ผู้หญิงคนหนึ่งเดินนวยนาดเข้ามา นางสวมชุดกระโปรง ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง ในดวงตาสีน้ำเงินมีสีสันชวนฝัน

ชั่ววินาทีที่อันหลินเห็นนาง ก็ละสายตาไม่ได้เสียแล้ว

ความงามของนาง ใช้คำว่างามล่มเมืองมาบรรยาย อันหลินยังรู้สึกว่าลดคุณค่าของนางด้วยซ้ำ

นิยามด้วยหนึ่งประโยคก็แล้วกัน ดาวเด่นอันดับหนึ่งแห่งสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน ต่อไปเกรงว่าคงจะเป็นของนางแล้วล่ะ!

ซูเฉี่ยนอวิ๋นเผชิญกับสายตาอิจฉาของเพื่อนร่วมห้องด้วยความเฉยชา นางเดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วนั่งลงเริ่มหลับตาพักผ่อน

“สวรรค์ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เป็นยอดฝีมือมากพรสวรรค์ไม่พอ ทำไมรูปร่างหน้าตาก็งามล่มเมืองด้วยเล่า” สวีเสี่ยวหลานมุ่นคิ้วน้อยๆ พึมพำอยู่อีกมุม

“ทำไม อิจฉาหรือ” อันหลินเห็นอากัปกิริยาของสวีเสี่ยวหลาน ก็รู้สึกตลกนิดหน่อย

“อ่านหนังสือของเจ้าไป เจ้าโง่!” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างอารมณ์เสีย

ไม่นานก็มีเสียงอุทานดังขึ้นในห้องอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงอุทานมีเสียงกรีดร้องของลูกศิษย์หญิงปะปนอยู่ด้วย

ผู้ชายคนหนึ่งก้าวเข้ามา เขามีคิ้วดุจดาบดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าดั่งหยกประดับกวน [2] เยื้องย่างอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ ประหนึ่งอาบสายลมฤดูใบไม้ผลิ

แน่นอนว่าผู้มาเยือนคือเซวียนหยวนเฉิง บุตรชายของเจ้าสำนักเซียนหมื่นชีวิต! พอเขาเข้ามา ก็แทบจะดึงดูดสายตาของทุกคน

เขาแสดงท่วงท่าสบายๆ อย่างยิ่งกับเรื่องนี้ พยักหน้าและยิ้มทักทายศิษย์ทุกคนอย่างมีมารยาท

จากนั้น เขาก็เลือกตำแหน่งที่อยู่ข้างหน้าสุด

อันหลินทึกทักไปเองว่าตัวเองก็เป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ภายใต้รัศมีของเซวียนหยวนเฉิง เขาจำต้องยอมรับตามตรงว่า เมื่อเทียบกับเขาแล้วตัวเอง ‘ด้อยกว่า’

ครั้งนี้ ถึงตาสวีเสี่ยวหลานที่ละสายตาไม่ได้บ้างแล้ว

จนกระทั่งเซวียนหยวนเฉิงหันหลังนั่งลง นางก็ยังคงจ้องแผ่นหลังของเซวียนหยวนเฉิง เพ่งมองอย่างลึกซึ้ง

อันหลินมองเซวียนหยวนเฉิง แล้วถอนหายใจอย่างปวดใจ “เฮ้อ ชีวิตนี้ข้าเกลียดคนแบบนี้ที่สุด ใช้หน้าตาหากินได้ ใช้ความสามารถหากินได้ พึ่งพาพ่อก็ยังมีข้าวกิน…”

………………………..

[1] ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่เคยเห็นหมูวิ่ง หมายถึง แม้จะไม่เคยประสบพบเจอกับตัวเอง แต่ก็ได้ยิน ได้เห็น

[2] กวน (冠) เครื่องประดับศีรษะผู้ชายจีนสมัยโบราณ อาจมีการประดับประดาด้วยสิ่งต่างๆ เช่น หยก