คาบเรียนแรกเป็นวิชาเซียน รับหน้าที่ถ่ายทอดวิชาโดยเซียนพสุธาชางชิง
ในคาบเรียน เซียนพสุธาชางชิงยืนสอนบนแท่นอย่างมีชีวิตชีวา เมื่อใกล้ถึงช่วงที่ใส่อารมณ์ที่สุด ยังถือโอกาสแสดงวิชาเซียนที่ลึกล้ำหลายท่าอีกด้วย
เหล่าลูกศิษย์ซึ่งฟังอยู่ข้างล่างด้วยความเพลิดเพลิน ได้รับประโยชน์อย่างมากมาย
แน่นอนว่า ยกเว้นอันหลิน…
ตอนนี้เขากำลังฟังเซียนพสุธาชางชิงซึ่งตั้งใจถ่ายทอดความรู้บนแท่นหน้าห้องราวกับฟังคัมภีร์สวรรค์[1] ไม่ใช่เขาไม่ตั้งใจฟัง แต่เขาฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด!
ใช้โลกมายกตัวอย่างก็แล้วกัน ความรู้สึกในตอนนี้ของอันหลินก็คือ เขาเพิ่งจบจากประถม จากนั้นก็ถูกส่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยชิงหัวที่เจ๋งที่สุดของประเทศ ฟังศาสตราจารย์กำลังพูดเรื่องแคลคูลัสอย่างครึ้มอกครึ้มใจอยู่ตรงนั้น…
ทุกคำที่เซียนพสุธาชางชิงพูด อันหลินฟังรู้เรื่องทั้งหมด แต่พอพวกมันเชื่อมกันเป็นหนึ่งประโยค สุดท้ายหมายความว่าอะไร เขาไม่รู้เลยแม้แต่นิด!
“เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่า จากจุดชีพจรหยางเหยียนไปที่เส้นหลี่ชิงเถิง เปิดปราณกลั้นลมหายใจเก้าครั้ง รับพลังชีวิต ก็จะสามารถไปถึงจุดเทียนหยวน และยังสามารถใช้วิชาโยวหวน ช่วยเสริมพลัง ทำงานร่วมกับพลังชีวิตในอากาศ กระตุ้นด้วยวิธีเทียนหัว สามารถประหยัดเวลาในการใช้วิชาเหยียนได้…” เซียนพสุธาชางชิงพูดอย่างเชื่องช้า
ลูกศิษย์ทุกคนเข้าใจทันที พยักหน้ารัวๆ
อันหลิน “???”
ในฐานะของคนไม่เอาไหน อันที่จริงอันหลินมีความฝันว่าจะตั้งใจเรียนวิชาเฉพาะให้ดี จากนั้นใช้ไอคิวอันน่าตะลึงบดขยี้เหล่าอัจฉริยะ สุดท้ายสร้างตอนจบอันสมบูรณ์แบบของคนไม่เอาไหน
แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย เขาที่มีพื้นฐานการบำเพ็ญเพียรเป็นศูนย์ ทำได้แค่ทำหน้ามึนงงในคาบเรียน
แม้เซียนพสุธาชางชิงจะอธิบายเรื่องลึกซึ้งให้เข้าใจง่าย บรรยายได้เห็นภาพ
แต่ว่า มันเหมาะจะใช้แค่กับเหล่าอัจฉริยะในห้องหนึ่ง ที่มีพื้นฐานวิชาเซียนหนาแน่นเท่านั้น
สำหรับคนโง่ด้านการบำเพ็ญเพียรที่มีพื้นฐานเป็นศูนย์อย่างอันหลินแล้ว นักพรตชางชิงกำลังอ่านคัมภีร์สวรรค์ชัดๆ
ภายใต้ฤทธิ์ยาอันรุนแรงของยานอนหลับ ‘ยี่ห้อชางชิง’ นักเรียนห่วยๆ อย่างอันหลินเริ่มสัปหงกแล้ว
สุดท้าย เขาก็เผลอหลับอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้…
เช่นนี้เอง อันหลินจึงเข้าสู่ห้วงความฝัน
เขาฝันว่าตัวเองกลายเป็นเทพเจ้าสงครามผู้ชนะสิบทิศ เหล่าเซียนหญิงรูปงามนับไม่ถ้วนกำลังชื่นชมเขา
เซวียนหยวนเฉิงกลายเป็นสมุนของตัวเอง เรียกเขาว่า ‘พี่อัน’ ทุกคำ
มิหนำซ้ำซูเฉี่ยนอวิ๋นยังแอบรักตัวเอง ส่งกุหลาบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกให้ตัวเองเป็นการแสดงความรักทุกครั้งที่เจอ
แต่อันหลินรับความรักจากนางไม่ได้ เพราะเขารับผิดชอบภารกิจสำคัญต้องปกป้องโลกใบนี้ จึงทำได้เพียงทิ้งความรักชายหญิงไป
ดูสิ กองทัพของแดนปีศาจเริ่มรุกรานแคว้นจิ่วโจวของเราอีกแล้ว
เจ้าแห่งแดนปีศาจยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เทพเซียนทั้งหลายในสรวงสวรรค์เห็นแล้วหน้าถอดสี ไม่มีใครกล้าต่อกร
ในขณะนั้นเอง อันหลินผู้เป็นเทพเจ้าสงครามก็ลุกขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าน่ะหรือยอดขุนพลอันดับหนึ่งของสรวงสวรรค์ ผู้เที่ยงแท้อันหลินที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” เสียงของเจ้าแห่งแดนปีศาจกังวานประหนึ่งเสียงระฆัง กึกก้องไปทั่วสวรรค์ชั้นฟ้า
“ใช่แล้ว ข้านี่แหละ เจ้าแห่งแดนปีศาจ ตายเสียเถอะ!” อันหลินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เข้าปะทะกับเจ้าแห่งแดนปีศาจ ศึกนี้สะเทือนฟ้าดิน
เจ้าแห่งแดนปีศาจคร่ำครวญว่า “เจ้าแข็งแกร่งนัก แต่ทำไมเจ้าถึงละเมอเวลาเรียนเล่า”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ ข้ากำลังปกป้องโลกใบนี้อยู่นะ!” อันหลินไม่รู้ว่าทำไมเจ้าแห่งแดนปีศาจถึงได้พูดจาเหลวไหล จึงตะโกนลั่น
เจ้าแห่งแดนปีศาจเกิดโทสะ “เจ้ารีบตื่นเดี๋ยวนี้ หากไม่เชื่อข้าจะโยนเจ้าออกจากห้อง!”
อันหลินเองก็มีน้ำโหแล้วเช่นกัน “เลิกพล่ามได้แล้ว เอาหมัดข้าไปกิน!”
อันหลินปล่อยหมัดออกไป คิดไม่ถึงว่าหมัดของเจ้าแห่งแดนปีศาจจะใหญ่และแข็งแรงกว่า
หมัดกระแทกหัวอันหลินจนเจ็บปวดรุนแรง ทำเอาอันหลินร้องโหวกเหวกโวยวาย วิงเวียนศีรษะ
“โอ๊ย เจ็บจังเลย!” อันหลินร้องลั่น เบื้องหน้ามืดสนิท จากนั้นก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
ที่แท้ก็เป็นความฝันนี่เอง…อันหลินตกใจจนเหงื่อท่วมตัว
เขาลืมตาอย่างยากลำบาก กลับพบว่าเพื่อนทั้งห้องกำลังมองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ บางคนถึงขั้นทนไม่ไหวหลุดขำออกมา
เขาลูบหัวบริเวณที่ปูดออก รู้สึกได้ถึงความเลวร้ายทันที!
เมื่ออันหลินเงยหน้ามอง เห็นผู้หญิงงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเขา มือถือตำราสอน กำลังมองเขาด้วยความโมโห
“เอ๊ะ ควรจะเป็นลุงวัยกลางคนไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกลายเป็นพี่สาวคนสวยไปได้ล่ะ” ตอนนี้อันหลินยังคงมึนหัว จึงเผลอโพล่งออกมา
สิ้นประโยคนี้ ในห้องก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
สวีเสี่ยวหลานนั่งกุมขมับข้างอันหลิน หันหน้าไปอีกทาง ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่านางกับอันหลินรู้จักกัน
“น้องชายคนนี้ปากหวานไม่หยอกเลย” ผู้หญิงคนนั้นมองอันหลินเหมือนจะขำก็ไม่เชิง
อันหลินสะดุ้ง คราวนี้เขาเพิ่งได้สติ รู้ว่าตัวเองพลั้งปากเสียแล้ว
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขอโทษ หัวของเขาก็ถูกทุบอย่างแรงอีกครั้ง
อันหลินมึนหัวตาลาย วิงเวียนศีรษะ หัวเขาปูดเพิ่มมาอีกหนึ่งที่
“จำไว้ให้ดี หากครั้งหน้าเจ้าละเมอตอนหลับในคาบเรียนของข้าอีกล่ะก็ ข้าจะโยนเจ้าออกไปจากห้อง!” หญิงงามเย้ายวนคนนั้นพูดอย่างดุดัน
จู่ๆ ก็มีพลังน่ากลัวกระจายออกมาจากตัวนาง ปกคลุมอันหลิน ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว
“อาจารย์ ข้าสาบานว่า จะไม่มีครั้งหน้าอีกแน่นอน!” อันหลินพยักหน้ารัวๆ ปานลูกไก่จิกข้าว
ไม่นานปัญหาเล็กๆ ของคาบเรียนนี้ก็สงบลง อาจารย์หญิงถ่ายทอดวิชาของนางต่อ เหล่าลูกศิษย์ก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มตั้งใจฟัง
“นี่ๆ สวีเสี่ยวหลาน เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ” อันหลินกระซิบถามสวีเสี่ยวหลานที่นั่งอยู่ข้างๆ
หากว่าทำได้ล่ะก็ สวีเสี่ยวหลานไม่อยากคุยกับอันหลินตอนนี้เลยจริงๆ…
ทว่าดวงตากลมโตของอันหลินที่กำลังมองนางตาละห้อย ทำให้นางทนไม่ไหว จำใจพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้านอนไปกี่คาบแล้ว”
“สองคาบ” อันหลินพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
อาจารย์เปลี่ยนจากชายวัยกลางคนอย่างเซียนพสุธาชางชิงเป็นผู้หญิงงดงามคนนี้ คิดว่าตัวเองคงจะนอนไปสองคาบแล้วล่ะมั้ง
“ไม่…เจ้านอนไปเกือบสี่คาบ นี่เป็นคาบสุดท้ายแล้ว!” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างไม่พอใจ
“โอ้แม่เจ้า!” อันหลินอุทานเสียงเบา
ไม่คิดว่าแค่หลับก็กินเวลาทั้งครึ่งเช้าแล้ว เรานอนเก่งขนาดไหนกันนะ
อันหลินคาดเดาว่า คงเป็นเพราะเมื่อคืนเขาทำสมาธิกำหนดลมหายใจนานเกินไป เป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลีย
“เจ้านอนเงียบๆ น่ะไม่เป็นไร อาจารย์ไม่สนใจเจ้าหรอก
แต่ว่า เมื่อครู่เจ้ากลับละเมอในคาบเรียน เสียงไม่เบาเสียด้วย เพื่อนส่วนใหญ่ต่างก็ได้ยินวาจายอดเยี่ยมของเจ้าแล้ว” สวีเสี่ยวหลานกระซิบบอก มองอันหลินอย่างเห็นใจ
อันหลินสังหรณ์ใจไม่ดี “ข้าพูดอะไร”
สวีเสี่ยวหลานเท้าคาง ท่าทางนึกอะไรขึ้นมาได้ หลุดขำพรืดออกมา
หัวเราะอยู่พักใหญ่ นางถึงได้เริ่มเล่าโดยเลียนแบบเสียงของอันหลินกับอาจารย์หญิงท่านนั้น
“เจ้าแห่งแดนปีศาจ ตายเสียเถอะ!”
“นักเรียนคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงได้กล้าละเมอในคาบเรียนของข้า”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ ข้ากำลังปกป้องโลกใบนี้อยู่นะ!”
“เจ้ารีบตื่นเดี๋ยวนี้นะ หากไม่ตื่นข้าจะโยนเจ้าออกไปจากห้องนี้!”
“เลิกพูดพล่ามได้แล้ว เอาหมัดข้าไปกิน!”
…
“เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ หลังบทสนทนาตามแบบฉบับสิ้นสุดลง เจ้าก็ถูกเขกหัว”
สวีเสี่ยวหลานหรี่ตาลงจนตาหยี เห็นหัวของอันหลินปูดสองที่ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกเจ็บปวดเกินไป จึงฝืนใจไม่หัวเราะ
อันหลินรู้สักทีว่าตัวเองน่าสมเพชแค่ไหน นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
เขาคิดว่าใช้คำว่า ‘ชื่อเสียงป่นปี้’ มานิยามตัวเองในตอนนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว
ละเมอต่อหน้าอัจฉริยะทั้งห้อง มันเป็นเหตุการณ์ที่กระอักกระอ่วนขนาดไหนกัน
ละเมอไม่ว่า ประเด็นคือคำพูดของเขายังจูนิเบียว[2]ขนาดนี้!
เฮ้อ อับอายไปถึงโคตรเหง้าตระกูลเลย…
อันหลินปิดหน้า ตอนนี้เขาสะเทือนใจมาก อย่าหาหลุมแล้วมุดลงไปเหลือเกิน…
……………………………
[1] คัมภีร์สวรรค์ อุปมาถึงหนังสือหรือบทความที่เข้าใจยาก
[2] จูนิเบียว หรือ โรคเด็กม.2 มีที่มาจากพฤติกรรมซึ่งมักเกิดในเด็กวัยรุ่นตอนต้น หรือประมาณชั้น ม.2 ที่พยายามค้นหาตัวตนของตัวเอง รวมไปถึงการพยายามสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวเองโดดเด่นและได้รับความสนใจ