ตอนที่ 6 สาสน์ท้ารบที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

คาบเรียนช่วงบ่ายยังคงทำให้อันหลินง่วงเหงาหาวนอนเช่นเดิม แต่หลังผ่านมรสุมคาบเรียนช่วงเช้าแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้านอนในคาบเรียนอีก

สำหรับอันหลินแล้ว สิ่งที่น่าสนใจหนึ่งเดียวในตอนบ่ายก็คือการเลือกประธานห้องของห้องพวกเขา

การคัดเลือกครั้งนี้มีเซียนกระบี่หลินเซียวอาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาเป็นผู้ควบคุมดูแล ขณะเดียวกันเขาก็เป็นหัวหน้าชั้นเรียนของศิษย์ใหม่รุ่นนี้อีกด้วย รูปร่างหน้าตาเรียกได้ว่าหล่อเหลา ดึงดูดสาวน้อยในห้องได้ไม่น้อยเลย

ตำแหน่งของหัวหน้าห้องจะคัดเลือกโดยวิธีเลือกแบบประชาธิปไตย คนที่อยากชิงตำแหน่งสามารถขึ้นไปหาเสียงบนแท่นได้เลย

การกล่าวสุนทรพจน์ชิงตำแหน่งของเซวียนหยวนเฉิงเรียกได้ว่ากระชับป่าเถื่อน เขาพูดแค่ประโยคเดียวว่า

“ทุกคนต่างก็เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งของศิษย์ใหม่รุ่นนี้ เช่นนั้นหัวหน้าห้องของพวกเจ้าก็ควรจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น เพราะมีแค่แบบนี้ ถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้!”

คำพูดที่ชมเพื่อนร่วมห้อง แถมยังชมตัวเองของเซวียนหยวนเฉิง ไม่พูดไม่ได้ว่าได้ผลเป็นอย่างมาก

สุดท้าย เมื่อผ่านการช่วงชิงอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ซูเฉี่ยนอวิ๋นไม่เข้าร่วมชิงตำแหน่ง เซวียนหยวนเฉิงจึงได้ตำแหน่งหัวหน้าห้องห้องหนึ่งไปครอง ด้วยข้อได้เปรียบทางคะแนนเสียงที่ขาดรอย

หลังเลิกเรียน เซวียนหยวนเฉิงที่เพิ่งได้เป็นหัวหน้าห้องหยกๆ ก็เดินเข้ามาหาอันหลิน

แค่ครู่เดียวก็จะลงมือกับเราแล้วเหรอ อันหลินตกใจ

เพิ่งรับตำแหน่งไฟยังแรง คิดว่าเซวียนหยวนเฉิงคงจะเริ่มวางอำนาจกับคนแปลกแยกในห้องเรียนนี้อย่างตัวเองแล้ว

“ในห้องนี้ ไม่อนุญาตให้มีคนไร้ประโยชน์อยู่” เซวียนหยวนเฉิงพูดเสียงเรียบ

เป็นอย่างที่คิด…

เมื่อได้ยินประโยคนี้ อันหลินยังไม่ทันได้เกิดโทสะ ความโกรธของเขาก็ถูกประโยคถัดไปของเซวียนหยวนเฉิงทำลายไปเสียแล้ว

“ฉะนั้นแล้ว สหายอันหลิน เจ้าจะต้องพยายามให้ดีล่ะ!”

“หากเจ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร มาบอกข้าได้ ข้าในฐานะหัวหน้าห้อง ต้องพยายามช่วยเจ้าสุดความสามารถแน่นอน!”

พูดจบ เซวียนหยวนเฉิงก็ส่งยิ้มอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิให้อันหลิน ซ้ำยังตบไหล่เขาปุๆ เป็นสัญญาณให้กำลังใจ จากนั้นก็หันหลังจากไป

อันหลินมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเซวียนหยวนเฉิง ราวกับตกอยู่ในภวังค์

ที่แท้ตัวเองก็เจอหัวหน้าห้องที่ดีนี่เอง!

ตกกลางคืน อันหลินเริ่มนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรต่อ

เขาสัมผัสได้ว่าพลังยุทธ์ของตัวเองกำลังเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย

แต่เพราะไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่

เฮ้อ หวังว่าจะสามารถอาศัยความสามารถของตัวเอง บรรลุกายแห่งมรรคขั้นสี่ในเร็ววัน

อันหลินรู้ว่าการเพิ่มพลังยุทธ์เป็นเรื่องที่ใจร้อนไม่ได้ ยิ่งใจร้อน ผลลัพธ์ของการเพิ่มพลังยุทธ์จะยิ่งแย่

วันต่อมา อันหลินที่อยากจะบำเพ็ญเซียนอย่างเรียบง่าย กลับเจอปัญหาเสียอย่างนั้น

ลูกศิษย์จากห้องอื่นคนหนึ่ง ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อันหลิน

มีตัวหนังสือตัวใหญ่เด่นหราอยู่บนซองจดหมาย ‘สาส์นท้ารบ!’

พอเห็นคำนี้ ใจของอันหลินก็กระตุกอย่างแรง

เล่นตลกอะไรกัน เราไปหาเรื่องใครตอนไหน ถึงต้องส่งสาส์นท้ารบมาให้เรา!

อันหลินเปิดซองจดหมาย อ่านเนื้อหาในจดหมายด้วยความกระวนกระวาย

‘ได้ยินว่าสหายอันหลินมีพลังยุทธ์แก่กล้า เป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะที่ได้จดหมายรับรองจากผู้เที่ยงแท้

ข้าน้อยหลิวต้าเป่า หัวหน้าห้องห้องหนึ่งร้อย อาจหาญนัดหมายสหายให้มาประลองกันที่หน้าแปลงดอกไม้ตรงอาคารเรียนหลังเลิกเรียน…’

ตอนแรกน้ำเสียงในจดหมายยังถือว่าปกติ แต่หลายประโยคถัดมา กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

‘หากใครไม่มาตามนัด มันผู้นั้นก็คือคนขี้ขลาดที่ไม่มีช้างน้อย!

ข้าป่าวประกาศข่าวที่เราสองคนจะประลองกันให้ทุกห้องรู้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นจะมีนักเรียนไม่น้อยมาชมการประลอง คิดว่าเจ้าคงไม่ผิดนัดหรอกใช่ไหม

เช่นนั้นหลังเลิกเรียน พวกเราไม่เจอไม่แยกย้าย!’

“มีอย่างที่ไหนกัน!” อันหลินอ่านจนจบ เกือบจะสบถด่าพ่อด่าแม่แล้ว

หลิวต้าเป่าคนนี้คิดอะไรทำไมอันหลินจะไม่รู้ เพิ่งได้เป็นหัวหน้าห้องหนึ่งร้อย หากเอาชนะนักเรียนใหม่ของห้องหนึ่งได้ เช่นนั้นคงจะเท่ไม่หยอกทีเดียว!

ในห้องหนึ่งนอกจากอันหลินแล้ว ไม่ว่าคนไหน ก็สามารถล้มหลิวต้าเป่าด้วยนิ้วเดียวได้

แต่ไม่ใช่อันหลิน พลังยุทธ์ของเขาด้อยมาก ซ้ำยังเป็นบุคคลที่โด่งดังในหมู่นักเรียนใหม่อีกด้วย

ฉะนั้นหลิวต้าเป่าจึงเลือกอันหลินเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอย่างชาญฉลาด

เมื่อเป็นแบบนี้ ทั้งสามารถสร้างชื่อเสียง และปิดฉากต่อสู้ได้อย่างสบายและง่ายดายอีกด้วย…

ในจดหมายชมว่าอันหลินยอดเยี่ยมอย่างนั้นอย่างนี้มาตลอด ฉะนั้นหากเอาชนะอันหลินจากการประลองได้ จะเห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งกว่า

สิ่งที่น่าชังที่สุดคือ เขากระจายข่าวการประลองไปทั่วทุกห้องแล้ว

เมื่อมีผู้ชมมาก หากอันหลินไม่ตอบรับคำท้า แบบนั้นจะอับอายขายหน้า

หากว่าอันหลินไป ถูกเขาล้มท่ามกลางสายตาธารกำนัลล่ะ มันก็เป็นเรื่องที่น่าอายเช่นกัน

มันช่างน่าโมโหเสียจริง เพื่อชื่อเสียงแล้ว สามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ!

แม้จะไม่เคยเห็นว่าหลิวต้าเป่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร แต่อันหลินก็ด่าบรรพบุรุษของเขาไปแล้ว

“เป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆ ถึงโมโหขนาดนี้ล่ะ” สวีเสี่ยวหลานเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของอันหลิน ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“ข้าถามอะไรเจ้าหน่อย หัวหน้าห้องหนึ่งร้อย หลิวต้าเป่าเจ้ารู้จักไหม” อันหลินถามเสียงทุ้ม

“อ๋อ หัวหน้าห้องทองเคลือบหรือ คนห่วยๆ แบบนั้นข้าจะไปรู้จักได้อย่างไร” สวีเสี่ยวหลานไม่รู้ตัวเลยว่า คำพูดของนางทำร้ายอันหลินเข้าอย่างจัง…

อันหลินสะกดกลั้นความเศร้า ถามอย่างฉงนใจว่า “ทำไมห้องหนึ่งร้อยถึงชื่อว่าห้องทองเคลือบล่ะ”

“ตามชื่อเลย ลูกศิษย์ห้องนั้นมาเป็นทองเคลือบให้กับสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนน่ะ

แม้สำนักของพวกเราจะรวมอัจฉริยะส่วนใหญ่ของแคว้นจิ่วโจวไว้ แต่ก็มีพวกไม่เอาไหนบางส่วนที่ใช้เส้นสายเข้ามา พวกเขาเข้ามาที่นี่ เพื่อใบประกาศสำเร็จการศึกษาก็เท่านั้น เพื่อจะได้โอ้อวดว่าตัวเองก็เป็นนักเรียนดีเด่นเหมือนกัน” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างไม่ยี่หระ

ฟังถึงตรงนี้ ในใจอันหลินมีความหวังขึ้นมาแล้ว “งั้นพลังยุทธ์ของหัวหน้าห้องพวกเขาสูงแค่ไหน”

“เรื่องนี้พูดยาก คิดว่าหัวหน้าห้องทองเคลือบคงไม่ได้ตำแหน่งเพราะพลังยุทธ์ น่าจะเส้นใครใหญ่ คนนั้นก็ได้ตำแหน่งไปล่ะมั้ง

ข้าคิดว่าพลังยุทธ์ของเขาคงจะอยู่ราวๆ กายแห่งมรรคขั้นสองถึงสี่ คนที่บำเพ็ญเพียรไม่เป็นเลยสักนิด สำนักของเราคงจะไม่รับหรอก” สวีเสี่ยวหลานตอบ

มุมปากของอันหลินกระตุก ศึกนี้เป็นการประลองระหว่างเด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุดของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนกับเด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุดของห้องหนึ่งร้อยงั้นหรือ

“จะว่าไปเจ้าถามเรื่องนี้ทำไม” สวีเสี่ยวหลานถามอย่างสงสัย

เมื่อรู้พลังยุทธ์ของหลิวต้าเป่าคร่าวๆ แล้ว อันหลินก็ใจกล้า ความกล้าอันฮึกเหิมก็ลุกโชนขึ้นในใจของเขา

“สวีเสี่ยวหลาน หลังเลิกเรียนอย่าเพิ่งไปไหน คอยดูว่าข้าจะเหยียบหัวหน้าห้องหนึ่งร้อยไว้ใต้ฝ่าเท้ายังไง!”

เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน ในที่สุดอันหลินก็ต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาพิสูจน์ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

บริเวณแปลงดอกไม้หน้าอาคารเรียน มีคนสองคนยืนอยู่ตรงพื้นที่โล่งกว้าง

นักเรียนใหม่หลายร้อยคนห้อมล้อมรอบทิศ พวกเขามาจากแต่ละห้อง ต่างก็ได้ข่าวจากหลิวต้าเป่า มาชมศึกด้วยความฉงนสนเท่ห์

แม้กระทั่งนักเรียนห้องหนึ่งก็มารวมตัวกันที่นี่ แต่พวกเขาไม่ได้มาเพื่อให้กำลังใจอันหลิน พวกเขาว่างจนเบื่อหน่าย จึงวิ่งมาร่วมชมความตื่นเต้นก็เท่านั้น

ตัวเอกของการประลองครั้งหนึ่ง เป็นถึงหนึ่งในสามบุคคลผู้โด่งดังของนักเรียนใหม่ อันหลินผู้มีฉายา ‘เส้นใหญ่ที่สุด’ กับหลิวต้าเป่า หัวหน้าห้องแห่งห้องหนึ่งร้อย

อันหลินยืนเอามือไพล่หลัง ประจันหน้ากับหลิวต้าเป่า

ใบหน้าหล่อเหลาบวกกับชุดขาว ทำให้เขาแลดูสง่างาม โดดเด่น

“เขาคืออันหลินหรือ ดูแล้วไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เล่าลือกันนี่นา” มีผู้หญิงกระซิบกระซาบกัน

เมื่อนางเห็นหน้าตาของอันหลินแล้ว ใบหน้าก็แดงระเรื่อเล็กน้อย

ผู้ชายคนหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย “หากมองจากมาดแล้ว ไม่เหมือนคนไม่เอาไหนจริงๆ นั่นแหละ”

ตรงข้ามอันหลิน รูปร่างลักษณะของหลิวต้าเป่าดูธรรมดานิดหน่อย แต่ตอนนี้เขาก็วางมาดของยอดฝีมือเช่นกัน บนใบหน้าอวบ เปี่ยมด้วยความเคร่งขรึม

“เจ้ามาจริงๆ ด้วย” หลิวต้าเป่าพูดเสียงเรียบ

“อืม ข้ามาแล้ว” อันหลินพูดพลางพยักหน้า ชุดขาวพลิ้วไหวแม้ไร้แรงลม

“งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ เริ่มศึกใหญ่ที่ผู้คนให้ความสนใจ” หลิวต้าเป่าพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ได้” อันหลินยิ้มอย่างไม่ยี่หระ

ศึกใหญ่ครั้งนี้จึงได้ปะทุขึ้นด้วยประการฉะนี้

ทุกคนในที่นี้ จะได้เห็นการต่อสู้ที่พวกเขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต…

…………………………………