บทที่ 2 ช่างแข็งแกร่ง ProjectZyphon
ดาบเย็นเยือกราวหิมะ พุ่งเข้ามาหวังตัดศีรษะของหลี่มู่
“ยังไร้เหตุผลอยู่อีก? มันชักจะมากเกินไปแล้ว ผมเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ไม่เชื่อผมพิสูจน์ได้นะ ผมพูดภาษาอังกฤษได้ การคำนวณฟิสิกส์ชีวะเข้าใจหมด ได้คอมพิวเตอร์ระดับสาม อังกฤษระดับสี่ เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองจนคล่อง …มีอารยธรรมสูงส่งราวห้าพันปีได้…ตัวผมสูงส่งและเลอค่ามาก” หลี่มู่ตะโกนลั่น ขนของเขาลุกชันด้วยความกลัว เขารีบถอยหลัง มือไม้สะเปะสะปะ
ใครเลยจะรู้ ในความร้อนรนนั้น การเคลื่อนไหวเซ่อซ่าของหลี่มู่กลับหลบหลีกคมกระบี่ดุจสายฟ้าแลบทั้งสองสายได้อย่างง่ายดาย
เอ๋?
ทำไมความเร็วในการออกดาบของสองคนนี้ถึงช้าขนาดนี้?
ความคิดประหลาดนี้แวบเข้ามาในหัวหลี่มู่
ชิ้ง ชิ้ง!
คมดาบทั้งสองพุ่งเข้ามาหวังฟันที่หน้า
หลี่มู่หลบอีกครั้ง
เขาสามารถหลบได้อย่างสบายๆ
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมพวกเขาถึงออกดาบนุ่มนวลแบบนี้ เหมือนค่อยๆ ขยับอย่างไรอย่างนั้น มองเห็นชัดแจ๋ว ไม่เหมือนจะฆ่าเราเลย หรือว่าตั้งใจมาเล่นตลก?’ หลี่มู่รู้สึกว่ามันประหลาดมาก
“ว้าว คุณชาย…เก่งขึ้นนะนี่ คุณชายสู้ๆ…อย่ามัวแต่หลบเลย ตอบโต้สิ ฆ่าพวกคนชั่วพวกนี้ให้ตายไปเลย” เด็กหญิงบัณฑิตน้อยด้านข้างความรู้สึกช้า ไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ กลับปรบมืออย่างตื่นเต้น ร้องให้กำลังใจเสียงดัง
กลับเป็นเด็กชายข้างๆ นางที่สนใจดาบคมกริบ หดตัวหนีด้วยความกลัว ย่ำเท้าร้อนใจอยู่อีกด้าน
หลี่มู่พูดอะไรไม่ออก
น้องสาว การแสดงออกของเธอมันมากไปนิด
เวลาแบบนี้เธอควรจะกลัวเหมือนเพื่อนที่อยู่ข้างๆ มากกว่านะ?
เธอคงไม่ใช่เด็กห้าวเป้งหรอกใช่ไหม
ขวับ ขวับ!
ประกายดาบพุ่งเข้ามาหวังตัดศีรษะอย่างไร้ความปรานี
“เฮ้ พอหรือยัง ฟันมาหลายครั้งแล้ว ผมยอมให้แค่สามครั้งแล้วนะ มีเรื่องก็พูดกันดีๆ ไม่ได้เหรอ…” หลี่มู่ทั้งร้อนใจทั้งรำคาญ ควบคุมไฟโทสะไม่ไหวแล้ว “พวกคุณจำคนผิดจริงๆ ยอมรับว่าตัวเองผิดมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมสามารถอ่านตารางธาตุกับฎีกาขงเบ้งได้ ท่องสามร้อยบทกวียุคถังแบบย้อนหลังได้คล่อง มีสิ่งมากมายที่ผมพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนต่างดาวจริงๆ หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลังหลบคมดาบ หลี่มู่พลิกมือจับแขนของนักรบทั้งสองแล้วออกแรงผลัก
เขาตั้งใจเพียงจะผลักทั้งสองคนออกไป จะได้คุยกันดีๆ
ใครจะไปรู้ว่าออกแรงผลักเบาๆ ครั้งเดียว จะมีเสียงกรอบแกรบเหมือนหักบะหมี่กรอบดังขึ้นมา
ไม่รู้ว่ากระดูกแขนของนักรบทั้งสองหักออกเป็นกี่ชิ้น ในเวลาเดียวกันเลือดก็พุ่งออกจากปาก พวกเขาถูกหลี่มู่ผลักกระเด็นไปไกลเกือบสองจั้ง ชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ ราวกับแตงโมกระทบลงหิน จากนั้นไหลลงกองกับพื้น แขนขากระตุก ลมหายใจค่อยๆ รวยริน ดูจากสายตาก็รู้ว่าไม่น่ารอด…
ฉิบหาย
หลี่มู่ตกใจ มองสองมือตัวเองเหมือนเห็นผี
มันเรื่องบ้าอะไรกัน
แค่ผลักเบาๆ ก็ฆ่าคนตัวโตตายถึงสองคน?
เรา…มีพลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เป็นอีกครั้งที่ภายในใจหลี่มู่สับสน
“อะไรกัน ไอ้พลังแบบนี้…” พอหัวหน้านักรบเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกเย็นยะเยือกจู่โจมในพริบตา
ช่างเป็นพลังที่น่าหวาดกลัวนัก!
สีหน้าหัวหน้านักรบย่ำแย่อย่างยิ่ง
เขาจ้องไปที่หลี่มู่ด้วยสีหน้าเคร่ง แม้แต่ดวงตาก็ยากจะปกปิดความหวาดกลัวไว้ได้
สักพักเขาก้าวถอยหลังเล็กน้อยโดยปราศจากเสียงใดๆ เว้นระยะห่างออกไป ก่อนหัวเราะเสียงเย็นทำเป็นไม่กลัว “ดี ข้าไม่นึกเลยว่าคุณชายหลี่ผู้สอบได้เหวินจิ้นซื่อ[1]ในประกาศรายชื่อจะเป็นคมในฝักที่เป็นวรยุทธ์เหมือนกัน ฝึกฝนจนแข็งแกร่งถึงระดับนี้…คราวนี้พวกข้าพี่น้องดูเจ้าผิดไป ช่างน่าอับอายยิ่งนัก ตราบเท่าที่ภูเขาไม่เปลี่ยนแปลง สายน้ำไม่หยุดไหล พวกเราพรรคจันทราโลหิตจะไม่เลิกราเพียงเท่านี้…ถอย!”
กล่าวคำทิ้งท้ายจบ หัวหน้านักรบรีบขยับวูบไหว ประหนึ่งต้องรีบกลับไปจัดงานศพบิดามารดา เสมือนนกยักษ์บินหนีภัยพิบัติ หายลับไปไกลท่ามกลางราตรีมืด
ส่วนนักรบที่เหลืออีกสามคนพากันตื่นตระหนก ถึงขั้นไม่คิดจะแบกศพสหายที่ล่วงลับทั้งสอง พอหัวหน้าจากไปก็กระโดดหายวับไปกับความมืดอย่างเร็วรี่
อะไรน่ะ
เหาะข้ามกำแพง?
เหินบนต้นหญ้า?
คนเหล่านี้มีวิชาตัวเบางั้นเหรอ?
จอมยุทธ์ยอดฝีมือนี่
หลี่มู่ตาเป็นประกาย ดาวดวงนี้เป็นโลกแห่งวรยุทธ์?
แย่แล้ว ยังไม่ทันพูดกันให้รู้เรื่องเลย ไปกระตุกหนวดผู้มีวรยุทธ์แบบนี้ ซ้ำยังฆ่าพรรคพวกเขาอีก ตามนิยายบนโลกมนุษย์ จะต้องถูกคนทั่วยุทธภพตามล่าหมายเอาชีวิตใช่ไหม?
“เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน ฟังผมอธิบายก่อน ฟังผมอธิบายก่อน!” หลี่มู่ไล่ตามไปสองสามก้าว ยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดว่า “พี่ชายทุกท่าน ผมมาจากต่างดาวจริงๆ พวกคุณจำผิดคนแล้ว…ผมไม่ได้ตั้งใจฆ่าพรรคพวกของพวกคุณนะ ช้าก่อน พวกเรามาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน…” หากครั้งนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง ถูกพรรคจันทราโลหิตไล่ฆ่าขึ้นมาจะทำอย่างไร?
แต่เหล่านักรบต่างก็หวาดกลัว ไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ ต่างหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง ด้วยเกรงว่าหลี่มู่จะไล่ตามมาฆ่า
“ว้าว คุณชาย ท่านแข็งแกร่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน” เด็กหญิงผู้รับใช้บัณฑิตกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าหลี่มู่
ดวงตาโตฉ่ำวาวของนางมีแววเคารพเทิดทูน
หลี่มู่จ้องเขม็ง
เด็กหญิงคนนี้ต้องเป็นพวกห้าวเป้งแน่ๆ
“คุณชายขอรับ อยู่ตรงนี้นานเกรงว่าจะไม่ดี พวกเรารีบไปกันเถอะ อีกไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว” ท่าทางของเด็กชายปกติกว่ามาก บนใบหน้าเยาว์วัยรูปไข่ดูตื่นกลัวหลังรอดตาย ประกอบกับแบกชั้นหนังสือที่สูงเท่าตัวเขา ทำให้ยิ่งดูน่าขัน เขาเอ่ยอย่างจริงใจว่า “เมื่อถึงอำเภอเมืองแล้ว รอท่านขึ้นเป็นขุนนางเมืองเมื่อใด ก็ไม่ต้องกลัวคนของพรรคจันทราเลือดแล้ว สามารถส่งทหารไปล้อมจัดการพวกมันได้”
“อะไรนะ?” หลี่มู่อึ้งมองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้สูงไปกว่าชั้นหนังสือ แต่ฝีปากช่างใหญ่คับฟ้า “ขึ้นเป็นขุนนางเมือง? ส่งทหารไปล้อมจัดการ?”
“ถูกต้อง คุณชาย ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ ท่านสอบได้ขั้นเหวินจิ้นซื่อ ทางจักรวรรดิแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้สำเร็จราชการอำเภอขาวพิสุทธิ์ พวกเราอยู่ระหว่างการเดินทางไปรับตำแหน่ง อีกเดี๋ยวก็ไปถึงแล้ว…”
“จักรวรรดิ? จักรวรรดิอะไร”
“จักรวรรดิฉินไงเล่า ท่านล้มจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ”
“หืม…จักรวรรดิฉิน ตอนนี้ใต้หล้าถูกปกครองโดยจักรวรรดิฉิน? ใช่ราชวงศ์ฉินในประวัติศาสตร์หรือเปล่า ไม่สิ จะอธิบายเรื่องพระจันทร์สองดวงยังไง..”
“ปกครองใต้หล้า? จะเป็นไปได้อย่างไร แผ่นดินใหญ่เสินโจวแบ่งออกเป็นเก้าส่วน ปกครองโดยสามจักรวรรดิและสำนักใหญ่ทั้งเก้า จักรวรรดิฉินปกครองแผ่นดินฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ คุณชายคงไม่ได้ฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง ความรู้ทั่วไปเช่นนี้กลับลืมเสียได้ อีกทั้งพระจันทร์สองดวงก็มีมาโดยตลอด”
“หา? แล้วกลางวันล่ะ คงไม่ได้มีพระอาทิตย์สองดวงหรอกนะ”
“ใช่แล้วๆ ถ้าไม่ใช่สองแล้วจะมีหนึ่งหรือไร ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ?”
“อ๊ากกก…ซินแสเฒ่าน่าตาย ท่านส่งผมมาที่แบบไหนกันเนี่ย ต่างโลกมันช่างอันตรายเกินไปแล้ว ผมอยากกลับโลกมนุษย์”
……
อำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่บนเชิงเขาขาวพิสุทธิ์ ซึ่งเป็นสาขาของเทือกเขาฉินหลิงที่มีชื่อที่สุดตรงชายแดนฝั่งตะวันตกของแผ่นดินใหญ่
เมื่อหลี่มู่และผู้รับใช้บัณฑิตน้อยทั้งสองมาถึงประตูอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
ประตูเมืองที่ถูกปิดยามค่ำคืนเพิ่งถูกเปิดออก
ผู้คนมากหน้าหลายตานับพันคนมารวมตัวแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าเมือง ต่อแถวยาวตรงทางเข้า ต้องผ่านด่านตรวจของทหารรักษาการณ์ทีละคนจึงจะสามารถเข้าอำเภอเมืองได้
หลี่มู่หยุดมอง
ตอนนี้เป็นช่วงเดือนเจ็ด อุดมไปด้วยพืชพันธุ์
อำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่เชิงเขาขาวพิสุทธิ์ สร้างขึ้นติดภูเขา รายล้อมด้วยป่าราวคลื่นมรกต มีกำแพงสูงที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี หากยืนอยู่ไกลนอกเมือง มองไปจะเห็นตามแนวเขามีสิ่งปลูกสร้างแบบเก่าที่สร้างด้วยอิฐและกระเบื้องสีเขียวตั้งเรียงราย สลักอยู่ท่ามกลางความเขียวขจี ดูสวยงามแบบประณีตโบราณ ดุจแดนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
“สวยเหมือนในสมัยโบราณเลย งดงามจริงๆ”
หลี่มู่ที่ยืนต่อแถวยังอดถอนใจไม่ได้
จากนั้นท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องดังสนั่นเหมือนสายฟ้าอย่างประจวบเหมาะพอดี
หากนึกๆ ดูแล้ว ตอนอยู่วัดหรานเติงในโลกมนุษย์ เขาที่ฝึกเสร็จยังไม่ได้กินข้าวเย็นก็ถูกซินแสเฒ่าสะเพร่าส่งมายังโลกใบนี้ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งคืน แถมยังผ่านประสบการณ์น่ากลัวอีก เขาเลยหิวจนมึนหัวตาลายแล้ว
“คุณชาย ท่านทนอีกนิด พอถึงที่ว่าการก็มีของให้กินแล้ว”
เด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชื่อชิงเฟิงกล่าว
จริงๆ แล้วชิงเฟิงพกอาหารแห้งติดตัวมาบ้าง แต่เมื่อคืนถูกพรรคจันทราโลหิตตามสังหาร เขาก็ทำมันหายไประหว่างนั้น อันที่จริงเขาก็หิวจนไส้กิ่วเหมือนกัน แต่สำหรับเด็กคนนี้ ชัดเจนว่าเจ้านายมาเป็นอันดับหนึ่ง ถึงได้ปลอบหลี่มู่อยู่ข้างๆ อย่างเวทนา
“ตกลง”
หลี่มู่ตอบรับแบบเหม่อลอย
จ๊อกกก!
เสียงท้องดังขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนที่ต่อแถวอยู่ต่างหันมามองหลี่มู่
ในสายตาประหลาดของคนอื่น หลี่มู่ผู้ข้ามมิติมาหน้าแดงแล้ว
เป็นเพราะเมื่อคืนถูกจอมยุทธ์พรรคจันทราโลหิตไล่ล่า ตลอดทางมีแต่ความหวาดกลัว วิ่งหนีจนกระทั่งทำรองเท้าหาย ในเวลานี้ พวกเขาหนึ่งนายสองบ่าวเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง จึงแทบดูเหมือนผู้อพยพที่หนีภัยมา…สภาพแบบนี้ ช่างขายขี้หน้ากลุ่มผู้ข้ามมิติที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ
“พี่ชาย ไม่ได้กินอะไรมานานแล้วล่ะสิ อันนี้ข้าให้ท่านนะ”
น้ำเสียงนุ่มกังวานราวกับนกจาบฝนพลันดังขึ้นมาจากข้างๆ อย่างเคอะเขิน
หลี่มู่หันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว
เห็นเป็นเด็กน้อยวัยเจ็ดแปดขวบ แต่งกายซอมซ่อ สวมเสื้อแบบจีนทำโดยผ้าหยาบ กางเกงเต็มไปด้วยรอยปะชุน ใส่รองเท้าสาน ผมดำขลับถักเปียยุ่งเหยิงสองข้าง หน้ากลมเล็กมีเลือดฝาดสุขภาพดี นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายงามดังนิลไร้ตำหนิ ขนตางอนยาวกะพริบปริบๆ มือทั้งสองยกสูง ยื่นผลซิ่ง (แอพริคอต) ขนาดเท่ากำปั้นสองลูกมาให้
“หืม? ให้ผมเหรอ” หลี่มู่ประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่รู้จักเด็กน้อยผู้นี้สักหน่อย
…………………….
[1] จิ้นซื่อ หมายถึง บัณฑิตชั้นสูง คือตำแหน่งของผู้ผ่านการสอบขุนนางต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์ และได้สิทธิ์เป็นขุนนาง