ภาค 1 บทที่ 3 แอบอ้างเป็นขุนนางเมือง

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 3 แอบอ้างเป็นขุนนางเมือง ProjectZyphon

“อืม” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้า “ท่านแม่ให้ข้าเอามาให้” ระหว่างที่พูดก็ชี้ไปข้างๆ

ทางนั้นมีคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่ง

ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยมไว้หนวดเครา ดูเป็นคนห้าวหาญตรงไปตรงมา ในมือถือสามง่ามสำหรับล่าสัตว์ แบกหนังสัตว์เปื้อนเลือดที่เพิ่งโดนถลกออกมาหมาดๆ อยู่หลายผืน เขาสวมชุดนายพราน แต่ทางหญิงสาวอ่อนเยาว์กว่าหน่อย วัยประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ ผิวขาวผ่องหน้าตางดงาม ในอ้อมกอดอุ้มเด็กอ่อนยังไม่หย่านม ผู้หญิงคนนี้ถึงจะสวมเสื้อผ้าเรียบๆ แต่ก็ยากจะซ่อนความสง่างาม เมื่อมองแวบแรกก็ตกตะลึง เพราะดูมีชาติตระกูล ไม่เหมือนมาจากครอบครัวที่ยากไร้

ด้านข้างนางมีตะกร้าไม้ไผ่สองใบวางอยู่

ในตะกร้ามีผลซิ่งส่งกลิ่นหอม น่าจะเก็บจากภูเขาเพื่อเอามาขายแลกเงินที่ตลาดในเมือง

เมื่อเห็นสายตาของหลี่มู่ สามีภรรยาคู่นี้เผยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ขอบคุณมาก” หลี่มู่ทำมือคำนับแบบคนสมัยก่อน จากนั้นก็รับผลซิ่งจากเด็กหญิงมา ลูบๆ หัวนางก่อนยิ้มพูด “ขอบคุณนะสาวน้อย หนูชื่ออะไร?”

“ข้าชื่อยายา”

เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขพลางกระโดดโลดเต้นกลับไปหาบิดามารดา

คนต่างโลกที่นี่เป็นมิตรและจริงใจดีจัง

หลี่มู่ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้งใจ

น้ำใจจากผลซิ่งสองผล ทำให้เขารู้สึกดีต่อต่างโลกแห่งนี้

ผลซิ่งจากเขาจินฮวงทั้งผลใหญ่ทั้งหอมหวาน พอจะประทังความหิวได้ หลี่มู่กินเองหนึ่งผล อีกหนึ่งผลชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองแบ่งกันคนละครึ่ง

แถวตรวจคนเข้าเมืองดำเนินต่อไปตามขั้นตอน

ไม่ช้าคู่สามีภรรยาและยายาก็ใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว

มองแวบแรกก็รู้ว่าทหารที่ตรวจสอบเป็นทหาร สวมชุดเกราะอย่างลวกๆ ใบหน้าแสดงถึงความโลภโกงกินไม่อายฟ้าดิน ผู้คนที่เข้าเมืองล้วนต้องโดนยึดของไป เรียกได้ว่าเอาเปรียบกันทุกทาง

สามีภรรยาคู่นั้นโดนริบหนังสัตว์สองผืนและผลซิ่งไปกว่าครึ่ง แม้ว่าจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่พาลูกเดินเข้าเมืองไป

ในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาสามคน

ชิงเฟิงเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตก้าวไปหมายจะแสดงตัวตน คนที่เป็นหัวหน้ารีบปิดจมูกมองทั้งสามตั้งแต่หัวจรดเท้า “มารดามันเถอะ ขอทานสามคนนี้มาจากที่ไหนกัน ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ซวยจริง รีบๆ ไปให้พ้น เข้าไปก็อย่าก่อเรื่องแล้วกัน ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าโดนตัดขาทิ้งแน่…” จากนั้นเขาก็สั่งให้คนพาพวกหลี่มู่ทั้งสามเข้าเมืองไป

เมื่อหลี่มู่เข้ามาในเมือง เขาเหลียวหลังไปมองที่ประตูเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

แม้ว่าจะเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น แต่ความรู้สึกเวลาโดนเหยียดหยามช่างชวนให้รู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก

อีกทั้งเพียงเรื่องเล็กๆ นี้ก็ทำให้รู้ว่าการปกครองท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตกดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

อำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์เป็นเมืองภูเขา

มีเพียงเข้ามาถึงจะเข้าใจเสน่ห์ของเมืองเก่านี้มากขึ้น

ถนนสายหลักหลายสายถูกปูด้วยหินเขียวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขาขาวพิสุทธิ์ ราบเรียบมันวาว เปรียบได้กับยางมะตอยบนโลกมนุษย์ ส่วนถนนเส้นอื่นส่วนใหญ่จะเป็นขั้นบันไดหรือทางโค้งคดเคี้ยว แทรกตัวไปมาระหว่างภูเขาและแม่น้ำ เหมือนกับเป็นสวนธรรมชาติ แม่น้ำหลายสายไหลรอบเมืองโบราณ ไหลจากที่สูงลงต่ำ ทำให้มีน้ำตกอยู่ในเมืองหลายแห่ง แต่กระแสน้ำไม่แรงมาก และใสจนเห็นพื้น

ต้นไม้เก่าแก่ยึดครองพื้นที่ในเมือง เรือนยอดไม้ดุจหลังคาปกคลุม มีอายุหลายร้อยปี

ทิวทัศน์ที่งดงามทำให้ง่ายต่อการเดินหลงทางมาก

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง)

หลี่มู่พาเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองถามทางไปพลาง เดินขึ้นเขาไปพลาง ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันกว่าจะมาถึงที่ว่าราชการซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของอำเภอเมือง

ใช่แล้ว หลังจากหลี่มู่ผ่านการต่อสู้บากบั่นในจิตใจ เขาตัดสินใจที่จะผลักเรือไปตามน้ำ สวมรอยเป็นขุนนางเมืองแห่งอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ไปสักพัก

เหตุผลนั้นมีสามข้อ

ข้อแรก เพราะเขาทำให้พรรคจันทราโลหิตขุ่นเคือง จะต้องถูกตามล่าอย่างแน่นอน และเขาในตอนนี้ก็ไร้ซึ่งกำลังจะปกป้องตัวเอง

ข้อสอง หลังจากที่พูดคุยกับชิงเฟิง ทำให้รู้ว่าในจักรวรรดิฉินตะวันตก ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนพลเรือนว่าบ้านอยู่ที่ใดจะถูกทางการจับลงทะเบียนทาส

ข้อสาม เหตุผลนั้นยิ่งเรียบง่าย หลี่มู่สำเร็จการศึกษาเพียงชั้นมัธยมต้นบนโลกมนุษย์ ไม่มีทักษะการเอาตัวรอดหากเร่ร่อนไปทั่วเกรงว่าไม่กี่วันก็อดตายแล้ว

แน่นอนว่าการข้ามมาต่างโลกแล้วจับผลัดจับผลูมาเป็นขุนนางเมืองก็เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

ประตูของที่ว่าการมีทหารยามเฝ้าประตูอยู่สองนาย

ทันทีที่ทั้งสามมาถึงหน้าประตู ก็มีคนเดินมาสบถด่า “เจ้าขอทานเหม็นเน่า ที่นี่เป็นที่ว่าราชการ คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า หากไม่อยากตายก็ถอยไป” การแสดงออกของพวกเขาดูดุดันมาก

“พวกเจ้ามีตาหามีแววไม่ กล้ามาด่าคุณชายของข้า เชื่อหรือไม่ คุณชายของข้าสามารถฆ่าเจ้าด้วยหมัดเดียว” หมิงเยวี่ยผู้โง่งมและอารมณ์ร้ายเอาสองมือเท้าเอว ด่ากลับโดยไม่มีความเกรงกลัวใดๆ “เจ้าพวกหัวสูงชอบดูถูกคน คุณชายของข้าเป็นถึงขุนนางเมืองคนใหม่แห่งอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ พวกเจ้าไม่รู้จักกลัวตายซะแล้ว ยังไม่รีบไสหัวมาต้อนรับขุนนางเมืองคนใหม่อีก!”

สองเค่อ[1]หลังจากนั้น

“ยินดีต้อนรับท่านขุนนางเมือง”

ณ ห้องโถงใหญ่ในที่ว่าการ

หลังจากตรวจสอบหมายแต่งตั้งและตราประทับจากทางการ กลุ่มขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊โค้งศีรษะและส่งเสียงคำนับอย่างพร้อมเพรียง

หลี่มู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขุนนางเมือง สีหน้าไร้อารมณ์

แม้ว่าเขาจะเป็นมือใหม่ ก็เห็นได้ว่าขุนนางเหล่านี้ไม่ได้เคารพหรือหวั่นเกรงอะไรในตัวขุนนางเมืองคนใหม่ มีแต่เจ้าคนไร้มารยาทเมื่อสักครู่ที่ตกใจกลัว ยามนี้คุกเข่าอยู่วงนอกสุดด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

“ไม่ต้องมากพิธี ทุกคนออกไปได้…”

เขาไม่อยากมานั่งสนใจกับท่าทีของคนเหล่านี้

เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้น่ะสิ

อย่างไรคนที่ชื่อว่าหลี่มู่ก็เป็นเหวินจิ้นซื่อที่ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางของจักรวรรดิ ต้องเป็นผู้ทรงความรู้และรู้เรื่องลำดับขั้นขุนนางในจักรวรรดิฉินเป็นอย่างดี แต่เขาเป็นเพียงแค่ผู้ข้ามมาต่างโลกที่ไม่รู้เรื่องทั่วไปในโลกใบนี้

“อ้อ?”

กลุ่มขุนนางฝ่ายอักษรกับองครักษ์สับสนเล็กน้อย

เกิดอะไรขึ้น

ให้ออกไปได้งั้นหรือ

ท่านขุนนางเมืองเพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ ไม่คิดจะถามไถ่สถานการณ์ในที่ว่าการสักหน่อยหรือ?

“ใต้เท้า ตั้งแต่ใต้เท้าหลูลาออกจากราชการไปแสวงหาทางธรรมเมื่อหนึ่งปีก่อน อำเภอเมืองนี้ก็ไม่มีใครเป็นขุนนางเมืองมาตลอดหนึ่งปี ทำให้เอกสารในที่ว่าการที่ต้องได้รับการอนุมัติกองกันเป็นภูเขา” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนขุนนางนอกระบบโค้งคำนับและยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าวว่า “ข้าน้อยรวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องใหญ่เรื่องน้อย ม้วนบันทึกเหตุการณ์ เอกสารทางราชการ คดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ใต้เท้าเชิญอ่านได้เลย…”

หลี่มู่โบกมือขัดจังหวะเขา แล้วพูดว่า “ท่านคือ?”

“ข้าน้อยโจวอู่ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยขุนนางเมืองที่นี่…” ชายวัยกลางคนที่มีร่างท้วมเล็กน้อยยิ้มตอบ

อ้อ เป็นผู้ช่วยขุนนางเมืองนี่เอง

ฟังจากคำพูดเขา ขุนนางเมืองคนเก่าลาออกอย่างกะทันหัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หลี่มู่พยักหน้าเงียบๆ กล่าวตอบว่า “ข้าเหนื่อยมากจากการเดินทางไกล งานราชการอะไรก็ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง…พวกท่านออกไปเถอะ”

เขาตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะพูดกับคนเหล่านี้เยอะไปไม่ได้

มิเช่นนั้น พูดมากความจะแตก

ได้ยินแล้วเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมองหลี่มู่ สีหน้ามีความรู้สึกหลากหลาย บ้างก็ผิดหวัง บ้างก็ยินดี บ้างก็ดูแคลน บ้างก็เงียบเฉย ทำความเคารพอีกครั้งแล้วออกไปอย่างเป็นระเบียบ

“ช้าก่อน โจวอะไรนั้นน่ะ…” หลี่มู่ชี้นิ้วไปที่ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่

ใจของฝ่ายหลังสั่นแวบหนึ่ง เขาเปลี่ยนอารมณ์ทันควัน หันกายกลับมาทางหลี่มู่

“คือผม…ข้าอยากอาหารเล็กน้อย ให้คนเตรียมของกินไปส่งด้านหลังที่ว่าการหน่อยสิ” หลี่มู่พยายามแสดงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด “ต้องมีเหล้ากับเนื้อด้วยนะ”

“โอ้” อาการประหลาดใจจางหายไป ดวงตาของโจวอู่แสดงถึงความดูถูกเหยียดหยามแวบหนึ่ง พร้อมกับยิ้มแปลกๆ “ได้ขอรับ”

หลังจากนั้นเหล่าขุนนางเดินออกไปจากห้องโถงที่ว่าการ

ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากด้านนอก

ชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยอีกด้านต่างก็กุมหน้าอย่างอับอาย

แน่นอนว่าท่าทีของคุณชายบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งเมื่อครู่กลายเป็นเรื่องตลกขบขันของเหล่าขุนนางไปแล้ว ไม่นานมันจะเลื่องลืออยู่ในแวดวงชนชั้นสูงของอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ขุนนางใหม่รับตำแหน่งไม่ทันไรก็ต้องอับอายขายหน้าเขาแล้ว

หลี่มู่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว อีกทั้งยังหัวเราะแหะๆ ออกมา

มาเป็นขุนนางเมืองก็เพื่อความอยู่รอดหรอก เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเลยสักนิด

อย่างไรเขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ต่างโลกคนหนึ่ง

เขามายังดาวดวงนี้เพื่อฝึกวิชายุทธ์ เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้พิสูจน์ได้ว่าคำพูดของซินแสเฒ่าเป็นความจริง เป็นไปได้ที่พลังก่อนกำเนิดกับหมัดยุทธ์แท้จะมีพลังดุจเซียน อีกทั้งยังฝึกฝนได้บนดาวนี้

ขอเพียงฝึกยอดวิชาทั้งสองสำเร็จมากพอ…ไม่สิ แม้จะถึงเพียงขั้นเบื้องต้นของพลัง อานุภาพก็สามารถจัดการกับดาววิถียุทธ์ระดับต่ำนี้ได้ กระทั่งจักรวรรดิใหญ่ทั้งสามและสำนักเทพทั้งเก้ายังต้องสั่นงันงกอยู่แทบเท้าหลี่มู่ นับประสาอะไรกับขุนนางอำเภอตำแหน่งเล็กๆ เมื่อถึงเวลานั้น เงินทอง สาวงาม ตำแหน่งขุนนางระดับสูง และเบี้ยเลี้ยงสูงๆ ก็ครอบครองไม่ยากอีกต่อไป?

“ฮ่าๆๆๆ”

เมื่อหลี่มู่ฝันไปถึงอนาคตอันสดใส ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น

ด้านชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยพูดอะไรไม่ออก

คุณชายทำแบบนี้ก็มากเกินไป ดีใจจนบ้าไปแล้ว

……

ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง อาหารที่ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวส่งมาให้ก็มาถึง แน่นอนว่าในนั้นมีสุราและเนื้อ อาหารเลิศรสมีพร้อมสรรพ

หลี่มู่และเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พวกเขากินกันอย่างอิ่มหนำสำราญจนหมดเกลี้ยงที่ห้องโถงนั้น กระเพาะแทบปริ เหมือนผีที่หิวตายได้กลับมาเกิดใหม่ ทำเอาเจ้าพนักงานที่ยืนข้างๆ เป็นบื้อใบ้ไป

หลังมื้ออาหาร หม่าจวินอู่หัวหน้าองครักษ์ประจำที่ว่าการขอเข้าพบด้วยต้องการขอความเห็นเรื่องการจัดแนวป้องกัน

ลำดับขั้นระดับอำเภอของจักรวรรดิฉินตะวันตกนั้นเรียบง่ายและชัดเจนมาก ภายใต้การดูแลของขุนนางเมืองจะแบ่งออกเป็นสามขั้นขุนนาง ได้แก่ ผู้ช่วยขุนนางเมืองผู้ดูแลบริหาร นายทะเบียนผู้ดูแลเรื่องภาษีที่ดิน และนายตรวจการฝ่ายดูแลกำลังทหาร

นายตรวจการเทียบเท่าผู้กำกับของกองกำลังรักษาความมั่นคงบนโลกมนุษย์

ภายใต้อำนาจของนายตรวจการจะมีสามหัวหน้าใหญ่ แบ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายดูแลป้องกัน หัวหน้ามือปราบรับผิดชอบเรื่องการจับผู้ร้าย และหัวหน้าทหารพลเรือนที่ดูแลทหารอาสากับชาวเมือง หากเทียบกับโลกมนุษย์ก็เหมือนแบ่งระหว่างทหาร ตำรวจและกลุ่มชาวบ้านอาสา

หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่รับหน้าที่ป้องกันอำเภอเมือง ตามหลักต้องมาข้อคำแนะนำจากขุนนางเมือง

 “ไม่พบ”

หลี่มู่ปฏิเสธไม่ให้เข้าพบโดยไม่ลังเล ปล่อยให้ชิงเฟิงออกไปรับหน้า

ส่วนตัวเขารีบไปแอบอยู่ที่ว่าการด้านหลังทันที

…………………………..

[1] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที