ภาค 1 บทที่ 4 หลี่มู่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 4 หลี่มู่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ ProjectZyphon

ที่ว่าการด้านหลังเป็นที่พักส่วนตัวของขุนนางเมือง

ขุนนางเมืองคนก่อนเป็นผู้อุทิศตัวในการฝึกตนเป็นเซียน เขาศรัทธาวิชาเต๋า และฝึกบำเพ็ญในที่ว่าการอำเภอมานานปี ในที่สุดเขาก็ลาออกจากตำแหน่ง เล่าลือกันว่าออกไปแสวงหาวิถีความเป็นเซียนณ ที่สงบในส่วนลึกของเขาขาวพิสุทธิ์ ดังนั้นรูปแบบของที่พำนักด้านหลังที่ว่าการจึงมีกลิ่นอายเหมือนลัทธิเต๋า มีห้องไหว้บรรพชนหนึ่งห้อง ห้องหนังสือสองห้อง ห้องฝึกฝนหนึ่งห้อง ห้องปรุงยาหนึ่งห้อง ห้องนอนหกห้อง รวมทั้งห้องจิปาถะอื่นๆ จำนวนหนึ่ง ลานที่พักเล็กๆ หลายลาน สวนดอกไม้หนึ่งแห่ง อีกทั้งยังมีสวนภูเขาจำลอง บรรยากาศเงียบสงบ

ทว่าไม่มีคนอาศัยและคอยทำความสะอาดมาตลอดหนึ่งปีกว่า จึงมีแต่ฝุ่นจับไปทั่ว

หลี่มู่เดินสำรวจไปตามอารมณ์ รู้แผนผังของบ้านเป็นอย่างดี

หมิงเยวี่ยทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เรียกเหล่าคนใช้มาเก็บกวาดเรือนด้านหลัง

เวลาหนึ่งวันหมดลงอย่างรวดเร็ว

ยามค่ำคืน

หลี่มู่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างในห้องนอนอย่างเงียบๆ

เขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

เรื่องที่ได้เห็นได้ฟังภายในหนึ่งวันที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าทุกอย่างที่ซินแสเฒ่าพูดเป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายถึงว่าโลกมนุษย์อาจกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทำลายล้างจริง ดังนั้นจากที่ซินแสเฒ่ากล่าวมา ภายในระยะเวลายี่สิบปีต้องฝึกพลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้ในระดับที่มากพอจะทำลายโซ่ตรวนแห่งดวงดาว ออกจากดาวดวงนี้ แล้วเข้าสู่ดาราจักร ถึงจะแก้ไขชะตากรรมของโลกมนุษย์ได้

บนโลกมนุษย์มีเพื่อนของหลี่มู่ เพื่อนร่วมชั้น ชาวบ้าน และซินแสเฒ่า หมาพันธุ์ฮัสกี้ตัวอ้วน แล้วยัง…แล้วยังมีความรักวัยใสกับคนที่แอบชอบเขาข้างเดียว สิ่งดีๆ เหล่านี้มีคุณค่าพอที่หลี่มู่อยากจะรักษาและปกป้องเอาไว้ด้วยความซื่อตรงที่สุด

‘จะทำให้สำเร็จ ต้องหวังพึ่งพลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้แล้ว’

ความคิดของหลี่มู่ยิ่งคิดยิ่งชัดเจน

ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ ซินแสเฒ่าใช้เวลาสิบสี่ปีพร่ำสอนหลี่มู่เรื่องต่างๆ อย่างเช่นการปราบผี การเขียนยันต์ ฮวงจุ้ย พลังจิต ร่างทรง และอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนมากเอาไว้หลอกคนทั้งนั้น แต่ซินแสเฒ่าเน้นไปที่พลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้ที่สุด อีกทั้งเคยบอกว่าหากฝึกสองทักษะนี้ได้ถึงขีดสุด ก็จะกวาดล้างดาราจักรฝั่งหนึ่งขึ้นเป็นใหญ่ได้

เมื่อก่อนหลี่มู่คิดว่าซินแสเฒ่าพูดโม้เท่านั้น ตอนนี้ย้อนกลับมามองก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเรื่องจริง

“บางทีตอนนี้เราอาจมีพลังที่ไร้ขีดจำกัด น่าจะเป็นเพราะตอนอยู่บนโลกมนุษย์ได้ฝึกฝนพลังก่อนกำเนิด”

หลี่มู่นึกถึงตอนที่เขาผลักมือออกไปเมื่อคืน แล้วฆ่าจอมยุทธ์จากพรรคจันทราโลหิตไปสองคน

บนโลกมนุษย์ไม่มีพลังวิญญาณ จึงไม่สามารถฝึกพลังก่อนกำเนิดได้ แต่การฝึกในสิบสี่ปีที่ผ่านมาก็เป็นรากฐานให้เขาได้อย่างดี เมื่อเขามายังต่างโลกที่มีพลังวิญญาณ พลังที่สะสมมาสิบสี่ปีก็ตื่นตัว ยามหายใจร่างกายจะรู้สึกดีจนไม่อาจบรรยายได้ อากาศช่างหอมหวาน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณเองหรือ?

เมื่อได้รับพลังวิญญาณเข้ามาในกาย พละกำลังของหลี่มู่เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว

แม้ว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมา หลี่มู่จะเคยแอบทดสอบดู แต่ก็ยังไม่รู้ว่าพลังของตนเองแข็งแกร่งมากเพียงใด

และนี่เป็นผลของการมาต่างโลกเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น

หากฝึกในสภาพแวดล้อมแบบนี้หลายปี จะสามารถแข็งแกร่งไปถึงระดับไหนกัน?

เมื่อคิดถึงมัน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“พลังก่อนกำเนิด หมัดยุทธ์แท้…”

เขายืนตัวตรงอยู่กลางห้องนอน จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนท่า แล้วเริ่มฝึกหมัดยุทธ์แท้

หมัดยุทธ์แท้มีทั้งหมดสิบแปดกระบวนท่า

ทุกท่วงท่าไม่นับว่าซับซ้อน การเคลื่อนไหวเรียบง่ายชัดเจน

ช่วงเวลาที่อยู่บนโลกมนุษย์ หลี่มู่ฝึกฝนทั้งสิบแปดกระบวนท่าจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เขาไม่เคยรู้สึกถึงพลังพิเศษใดๆ มันก็เหมือนท่ากายบริหารแปดชุดของเด็กน้อยในโรงเรียน การฝึกฝนสิบสี่ปีนี้ หลี่มู่สามารถออกท่าได้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าเขาจะหลับตาอยู่ก็ตาม

แต่ในเวลานี้ ไม่นานหลี่มู่ก็รู้สึกแปลกๆ

ท่วงท่าทั้งสิบแปดนี้ อย่าว่าแต่ออกท่าเลย แม้แต่ท่าเริ่มต้นก็ไม่สามารถทำได้ เพียงแค่ตั้งท่าเขาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับกล้ามเนื้อทั้งร่างฉีกขาด ดั่งมีเข็มเงินนับล้านวิ่งผ่านระหว่างผิวหนัง กระดูก และเส้นลมปราณ

หลี่มู่ร้องลั่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยเหงื่อทันใด

“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”

เขารู้สึกคาดไม่ถึง

เกิดอะไรขึ้น?

หรือว่าหมัดยุทธ์แท้จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมายังต่างโลก

หลังจากลองหลายสิบครั้งติดต่อกัน สุดท้ายเขาก็ฝืนตั้งท่าเริ่มต้นของหมัดยุทธ์แท้ได้

แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจ ความเจ็บทั่วร่างกายก็มากเกินจะรับไหว เสมือนโดนมีดนับพันทิ่มแทง หน้าของเขาเริ่มซีดเหลือง เหงื่อเม็ดโตเท่าถั่วไหลลงจากหน้าผาก เขาตะโกนลั่น จากนั้นก็ล้มหงายลง

สามท่าแรกของหมัดยุทธ์แท้มีชื่อเรียกว่าค้อนทะยานฟ้า ลิ่มสวรรค์ และทลายฟ้า ไม่ต้องพูดถึงการใช้เลย แค่คิดก็ยากแล้ว

หลี่มู่นอนบนพื้นอิฐสีเขียว อกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง หายใจถี่รัว

เขารีบคิดหาเหตุผลของเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราวหนึ่งเค่อ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

ทันใดนั้น หลี่มู่รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายสาดกระจายเหมือนสายน้ำ ความรู้สึกเหน็บชาไร้เรี่ยวแรงแต่อบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความรู้สึกสบายอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ยอดเยี่ยมเหมือนการแช่ในน้ำพุร้อน

หลี่มู่ดีดตัวลุกขึ้นยืนราวปลาหลี่ (ปลาคาร์ป)

เขาขยับมือเท้า รู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว กระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ราวกับว่าความเจ็บปวดก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา

“เอ๊ะ?” หลี่มู่เผลอร้องด้วยความประหลาดใจ พบว่าบนเนื้อตัวเขามีคราบสีดำๆ มองดูดีๆ มันคือคราบสกปรกที่ขับออกจากรูขุมขน ลักษณะเหมือนสิวหัวดำที่หญิงสาวบนโลกชอบบีบออกจากจมูก ตอนนี้ขึ้นตามแขนขา จุดชีพจร กระทั่งหน้า เท้า ร่างกายส่วนบนส่วนล่างก็มีหมด

นี่มัน…

หรือว่าเป็นการชะล้างเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย

หลี่มู่เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

ดวงดาวประหลาดที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณได้กระตุ้นความหมายอันลึกซึ้งบางอย่างของหมัดยุทธ์แท้ จึงเผยให้เห็นพลังขั้นต้นของมัน แม้ว่าจะเป็นเพียงท่าพื้นฐานที่เรียบง่าย แต่ก็มีอานุภาพเหนือชั้น ตัวเองเพิ่งฝึกหมัดยุทธ์แท้ ก็กระตุ้นความหมายของหมัดแห่งเซียนนี้และผลัดเปลี่ยนร่างกายอย่างเงียบๆ ความเจ็บปวดรุนแรงน่าจะเป็นผลข้างเคียงของการเปลี่ยนแปลงและการเสริมสร้างร่างกาย

เมื่อรู้อย่างนี้ เขาก็ตื่นเต้นโดยพลัน

ว่าแล้ว มันต้องเป็นหมัดแห่งเซียนแน่นอน

ในเมื่อหมัดยุทธ์แท้มีพลังแบบนี้ แล้วพลังก่อนกำเนิดล่ะ?

หลี่มู่ที่กำลังตื่นเต้นไม่สนใจจะจัดการคราบสีดำบนร่างกายของเขาเลยสักนิด เขากลับนั่งขัดสมาธิลงที่เดิม แล้วลองฝึกพลังก่อนกำเนิดอย่างอดไม่ไหว เขาแตะลิ้นไปบนเพดานปาก กำหนดสมาธิจากตาสู่จมูก จมูกสู่ใจ ทำใจให้นิ่ง ก่อนจะเริ่มหายใจด้วยจังหวะที่แปลกไป

พลังก่อนกำเนิด คือวิชาเหนี่ยวนำและวิธีการหายใจอย่างหนึ่ง

ระหว่างที่หายใจ เขาก็ได้ประสบการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนบนโลกมนุษย์

พระจันทร์กระจ่างส่องแสงมาที่หลี่มู่ ทำให้ร่างของเขาเหมือนเรืองแสงสีเงิน มีรัศมีดั่งความฝัน

ตำนาน…ได้เริ่มขึ้นแล้ว

….

ในเวลาเดียวกัน

ตกกลางคืน

ภายใต้การนำของโจวอู่ผู้ช่วยขุนนางเมืองอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ขุนนางจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันที่จวนของเขา

นอกจากเจิ้งหลงซิงนายตรวจการที่มีอำนาจสั่งการกองทัพ ขุนนางน้อยใหญ่คนอื่นก็ไปที่จวนตระกูลโจว

“ทางราชสำนักช่างไม่ยุติธรรม ท่านผู้ช่วยโจวเป็นผู้ที่รักษาการณ์ดูแลอำเภอพิสุทธิ์ขาวมาตลอดหนึ่งปี เอาใจใส่และขยันทำงาน ควรจะเป็นขุนนางเมืองมากกว่า แต่กลับถูกเด็กอมมือชิงเอาไป หลี่มู่ก็แค่บัณฑิตไร้ค่าแถมยังดื้อด้านคนหนึ่ง จะมาอยู่เหนือท่านโจวได้อย่างไร” ขุนนางฝ่ายอักษรที่ไร้ซึ่งคุณสมบัติกล่าวเสียงดัง

“ใช่แล้ว วันนี้ข้าสังเกตหลี่มู่นั่น ก็แค่คนสวะที่ไร้ประโยชน์ ไร้ซึ่งความสามารถในการบริหารเมือง ให้คนไม่มีดีแบบนั้นมาสั่งการข้า ข้าไม่ยอมหรอก”

“ฮี่ๆ ไม่ว่าอย่างไร ต่อจากนี้ไปข้าก็ยังฟังท่านโจวแต่เพียงผู้เดียว”

กลุ่มขุนนางต่างรีบแย่งกันเข้ามาประจบโจวอู่

โจวอู่สวมชุดสีดำ นั่งอยู่ตรงที่นั่งตำแหน่งประธาน ถือจอกเหล้าพลางยิ้มแย้ม เหมือนคนมีฐานะผู้ใจดีมองไปที่กลุ่มคนอย่างเงียบๆ

ตระกูลโจวเป็นตระกูลใหญ่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ และโจวอู่เป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน หรือก็คือเจ้าถิ่นตัวฉกาจ

หนึ่งปีก่อน เมื่อขุนนางเมืองคนก่อนลาออกจากราชการไป ตำแหน่งก็ว่างลง โจวอู่จึงรักษาการณ์แทนมาถึงหนึ่งปี อำเภอขาวพิสุทธิ์รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกทั้งเขาได้ทำงานมาระยะหนึ่ง เดิมทีตำแหน่งขุนนางเมืองนี้อยู่ในกำมือของเขาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด ในเวลาสุดท้ายถึงเกิดปัญหาขึ้น เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาชิงมันไปได้

โจวอู่ไม่อยากยอมรับ

ทว่าหลายปีมานี้ เขาเคยชินกับการสะกดอารมณ์ต่างๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะเปิดเผยมันออกมา

ในเวลานี้ นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงที่นิ่งเงียบตลอดวางไหเหล้าในมือลง ในใจมีแผนการ ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องร้อนใจ จากวันนี้ที่ได้เห็น ข้าว่าหลี่มู่นั่นสีหน้าเลื่อนลอย ในใจคงตื่นกลัว แค่ทำทีสงบนิ่งเท่านั้น แล้วจากการแสดงออกต่างๆ และข้อมูลที่ได้ยินมา เขาไม่ได้มาจากครอบครัวชั้นสูง อย่าได้คิดมากไปเลย ว่ากันว่ายอดมังกรไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น[1] อีกทั้งหลี่มู่ผู้นี้ก็ยังไม่นับว่าเป็นยอดมังกร เป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานเท่านั้น ขอแค่เราผนึกกำลัง ในอนาคตอำนาจขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็จะยังอยู่ในมือท่านขุนนางโจว มีเพียงคำพูดท่านที่สำคัญ หลี่มู่เป็นเป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น”

ในการจัดอันดับขั้นขุนนาง ตำแหน่งนายทะเบียนเฝิงหยวนซิงเทียบเท่ากับผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตำแหน่งที่เป็นรองจากขุนนางเมือง แต่เพราะเขาเป็นคนต่างถิ่น ชาติกำเนิดไม่สูงศักดิ์ ไม่มีแรงสนับสนุนในสังคมขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์ จึงยากที่จะไปยืนในจุดสูงสุดได้ ดังนั้นตลอดมาเขาเลยเข้ากับโจวอู่ คอยเป็นผู้ติดตาม ไม่เคยแสวงหาอำนาจ

“ฮ่าๆ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะทุกท่านช่วยเหลือ เชิญดื่มให้เต็มที่” โจวอู่ได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มอย่างพอใจ หัวใจอิ่มเอม หัวเราะเสียงดัง แล้วยกจอกสุราขึ้นคารวะ

ทันใดนั้น ในห้องโถงดื่มอวยพรกัน ต่างหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

…..

จวนนายตรวจการ

ภายในห้องลับ หนึ่งในสามขุนนางใหญ่เจิ้งหลงซิงกำลังประหลาดใจ

ต่อหน้าเขามีนักรบชุดดำนั่งคุกเข่าข้างเดียว กล่าวว่า “รายงานท่านผู้นำ จากข่าวที่ได้รับมาจากในพรรค หลี่มู่เป็นยอดฝีมือ สังหารนักรบขั้นรวมกำลังสองคนในกระบวนท่าเดียว… ภารกิจลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลว”

………………………

[1] ยอดมังกรไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น หมายถึง ไม่ลดตัวไปทำอะไรต่ำกว่าฐานะ หรือ ไม่เอาพิมเสนไปแลกเกลือ