ทันใดนั้นกระบี่ในมือของเจี้ยนเฉินเริ่มที่จะควบคุมตัวมันเอง มันเหมือนกับว่ากระบี่ยาวเล่มนี้มีชีวิตจิตใจของมันเอง กระบี่ได้พุ่งตรงไปยังต๊กโกวคิ้วป่ายราวกับสายฟ้าฟาด ด้วยความเร็วสูงมาก ๆ
ความเร็วของกระบี่นั้นน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ตอนที่ต๊กโกวคิ้วป่ายตั้งรับนั้นกระบี่ก็ได้มาถึงลำคอของเขา กระบี่เล่มนี้มีปราณกระบี่ที่รุนแรงไม่ธรรมดานัก ต๊กโกวคิ้วป่ายตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวขณะที่กระบี่ได้เจาะทะลวงคอของเขา หลังจากสิ้นสุดการโจมตี หมอกได้ปรากฎขึ้นที่ด้ามจับของกระบี่ หมอกนั้นหมุนวนกลางอากาศชั่วครู่ ก่อนที่กระบี่จะกลับมาสู่มือของเจี้ยนเฉิน
หลุมขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นช้า ๆ ตรงบริเวณกลางของลำคอของต๊กโกวคิ้วป่าย ปลายกระบี่ได้ขยายบาดแผลออกในขณะที่มันแทงผ่านคอต๊กโกวคิ้วป่าย บาดแผลได้ขยายตัวขึ้น ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่กระบี่เล่มบางจะสามารถสร้างบาดแผลใหญ่ขนาดนั้นได้
ดวงตาของต๊กโกวคิ้วป่ายเบิกกว้างขณะที่เขาจ้องมองกระบี่อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่มองเห็น หลังจากนั้นมันได้เห็นการกระทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาได้ขยับปากอย่างช้า ๆ พยายามที่จะพูดบางอย่าง แต่โชคร้ายที่ลำคอของเขาได้ถูกแทงทะลุทำให้เขาพูดไม่ออก ด้วยการมองครั้งสุดท้ายอย่างไม่อยากเชื่อและสยอง เขาได้ทรุดลงบนพื้นและไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย
เจี้ยนเฉินจับกระบี่ของเขาเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะมองไปยังศพของต๊กโกวคิ้วป่าย เสียงสำลักลมหายใจได้ออกมาจากปากของเขา มันเป็นลางร้าย เขาไม่คิดว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาสามารถที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพกระบี่ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไร้ค่า ขณะที่ตัวของเขาเองใกล้จะจบสิ้นลง
เขาถอนหายใจออกมา ตาของเจี้ยนเฉินค่อย ๆ พร่ามัวลงเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาได้ทะลวงได้เพิ่มขีดความสามารถแก่ร่างกายเขาแล้ว มันเป็นการยากที่จะหลีกหนีความตายพ้นได้ โดยเฉพาะเมื่ออวัยวะภายในถูกแทงเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นาน เจี้ยนเฉินได้ตกตายตามต๊กโกวคิ้วป่ายไปยังภพหน้า ร่างของเขาร่วงหล่นสู่พื้นและได้ตกลงสู่เหว
หลังจากที่เจี้ยนเฉินร่วงหล่นไป บริเวณที่เขาและต๊กโกคิ้วป่ายได้ร่วงไปนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างมาก มันเหมือนกับยอดเขาที่มีรูปร่างคล้ายกระบี่เกิดเสียงดังออกมา ได้สั่นสะเทือนถึงสวรรค์และได้แยกออกจากกัน ก้อนหินขนาดใหญ่และก้อนหินอื่น ๆ ได้ร่วงหล่นสู่เชิงเขา เกิดหิมะถล่มในทุกทิศทาง ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงและสีเขียว และสวรรค์กับปฐพีได้ส่องสว่าง สีต่าง ๆ สลับสับเปลี่ยนไปมาและผสมผสานกันจนกลายเป็นภาพที่งดงามยิ่ง มันน่าเสียดายที่เจี้ยนเฉินและต๊กโกวคิ้วป่ายต่างไม่รอดชีวิตที่จะได้เห็นมันภายหลังจากนี้……
ภายในคฤหาสน์ที่หรูหราและกว้างใหญ่ ภายในห้องได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ด้านนอกห้องกลุ่มคนได้รวมตัวกันอยู่ มีชายหนุ่มผู้เดินไปมาอย่างกระสับกระส่ายที่หน้าประตู ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาดูอายุราวสักสามสิบปีและเขามีออร่าที่สูงส่ง แม้ว่าเขายังอายุไม่น้อย ผู้อื่นก็สามารถเห็นได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นชายหนุ่มรูปงามในอดีต เขาได้สวมชุดฉางเป่าเงินลายทองซึ่งทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น และให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์ ใบหน้าของเขาดูเด็ดเดี่ยว แม้แต่คิ้วยังขมวดเข้าหากันจนแน่น
ห่างออกไป 3 เมตรจากห้อง กลุ่มคนสามสิบคนตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ต่างยืนเรียงรายอย่างกระวนกระวาย ผู้ที่อาวุโสของกลุ่มนี้อยู่ในวัย 60-70 ปี ด้วยผมสีขาวและใบหน้าเหี่ยวย่น อย่างไรก็ตาม แม้อายุของเขาเป็นเช่นนี้ แต่ดวงตาของพวกเขานั้นสามารถทำให้ผู้คนสั่นไหวราวกับแสงจากพระเจ้าที่ซึ่งประหัตประหารผู้คน จำนวนผู้คนที่หวาดกลัวว่าจะโดนพวกเขาทำร้ายนั้นมากมาย ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนแก่ที่อ่อนแอไปได้เสียทั้งหมด แต่ชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์ด้วยพละกำลังของพยัคฆ์และมังกรผสานกัน และคนของเขาอายุราว ๆ 30-40 ปี ดูภูมิฐานและดวงตาไม่ได้บอกถึงสิ่งใด ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว มันชัดเจนว่ากลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มของคนสามัญทั่วไป
และภายในห้องที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมา
“ฮูหยิน เบ่งต่อไปเจ้าค่ะ ทารกกำลังจะออกมาแล้ว ข้าขอย้ำอีกครั้งว่า ทารกกำลังจะออกมาแล้วเจ้าค่ะ…” หญิงสูงวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความร้อนใจ ผู้ที่ได้ยินเสียงนี้สามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสูงวัย
ภายนอกห้อง ชายวัยกลางคนผู้ที่กำลังเดินไปมาด้วยความวิตกกังวลได้ตัวแข็งทื่อ และพูดอย่างเร่งรีบว่า “ไฮ้!…..นี่ผ่านมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว หยุนเอ๋อร์ยังไม่คลอดอีกหรือ หากยืดเยื้อมากกว่านี้ ข้ากลัวว่าหยุนเอ๋อร์อาจจะประสบปัญหาก็ได้” แม้กระทั่งเสียงของชายผู้นี้ยังเต็มไปด้วยความกังวลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“นายท่าน อย่าได้เป็นกังวลมากนัก ฮูหยินจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ท่านลืมแล้วหรือว่าฮูหยินเป็นถึงเซียนผู้เชี่ยวชาญแสง” ผู้อาวุโสผมขาวพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ แต่ใบหน้าของเขายังไม่อาจซ่อนความเป็นกังวลไว้ได้
“เอ๊ะ…” เจ้าของคฤหาสน์ในชุดฉางเป่าเริ่มถอนหายใจออกมาอีกคราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความกังวลและกระวนกระวายบนใบหน้าไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย
ในที่สุด หลังจากที่หลาย ๆ คนได้รออยู่ข้างนอกกว่าหนึ่งชั่วยาม เสียงตื่นเต้นได้ออกมาจากภายในห้อง “นายท่าน นายท่าน! ฮูหยินหยุนเอ๋อร์คลอดแล้ว! นางคลอดบุตรอย่างปลอดภัย! และยังเป็นถึงทารกเพศชาย !” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังก้องไปทั่วบ้าน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนที่กำลังรอด้วยท่าทีกังวลได้กลายเป็นอ้าปากค้าง ความวิตกกังวลบนใบหน้าของเขาได้ถูกแทนที่ด้วยความปิติยินดี เขาเดินมาอย่างเป็นสุข เขาไม่รู้จะพูดคำใดออกมาในตอนนี้ และเขาเปิดประตูอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่มีประตูอยู่แต่แรก ความเร็วของเขานั้นไม่น่าเชื่อ ไม่มีชายคนใดที่จะสามารถดึงประตูได้เร็วเท่าที่เขาได้กระทำลงไป
ชายวัยกลางคนได้มาอยู่ข้างเตียงในชั่วอึดใจและนั่งลงข้าง ๆ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงสตรีที่นอนอยู่บนเตียง “หยุนเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? เจ้าทำได้ดีมาก” แม้ว่าเขาจะตื่นเต้นแต่น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความกังวล
บนเตียงมีสตรีวัยยี่สิบปลาย ๆ รูปลักษณ์ของนางงดงามล่มเมือง ใบหน้าของนางซีดดูเหนื่อยอ่อนมากและมีเหงื่อไหลออกมา แต่ก็ยังคงดูดีอยู่
สตรีผู้นี้มองไปยังชายที่อยู่ข้าง ๆ นางด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนและยิ้มให้ “ท่านพี่ ขอข้าดูหน้าลูกหน่อย”
“โอ้! ได้สิ! ตราบเท่าที่หยุนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร” ชายคนนั้นยิ้มด้วยความปิติยินดี เขาได้หันไปมองเด็กที่ห่อด้วยผ้าในอ้อมแขนของหมอตำแย ตอนที่เขากำลังจะพูด คิ้วของหมอตำแยขมวดเข้าหากันและใจจดใจจ่อกับทารกที่กำลังอุ้มอยู่ แขนของนางแข็งทื่อและพูดพึมพำออกมา “ร้องสิเจ้าหนูน้อย ร้องออกมาสิเจ้าหนูน้อย เป็นอะไรไปเหตุใดเจ้าไม่ร้อง? มันแปลกอะไรอย่างนี้ ข้าทำคลอดเด็กมามากมาย และแม้ว่ายังไม่ถึงพันแต่ข้าก็ช่วยทำคลอดมากว่าเก้าร้อยครั้ง อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเด็กแรกเกิดไม่ร้องไห้”
แต่ในเวลาเดียวกับที่หมอตำแยพูด ชายทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกได้เข้ามาในห้อง แต่ละคนมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าของพวกเขา บางคนในกลุ่มพวกเขาได้เริ่มแสดงความยินดีต่อสตรีที่อยู่บนเตียง
ชายวัยกลางคนยังคงยิ้มกว้างและพูดกับสตรีว่า “หยุนเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนก่อนนะ ข้าจะพาลูกมาเดี๋ยวนี้ล่ะ” ชายคนนั้นได้ลุกขึ้นและเดินไปหาหมอตำแย “มีอะไรรึ? มีปัญหาอันใดเกี่ยวกับเด็กงั้นรึ?” เสียงของชายผู้นี้ลดต่ำลงเล็กน้อย บางครั้งเด็กที่เพิ่งเกิดมาอาจมาพร้อมโรค เรื่องขึ้นนี้มันไม่ได้ผิดปกติและมันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เขากลัวว่าเด็กที่เกิดมาใหม่นั้นจะเกิดมาพร้อมกับปัญหาบางอย่าง
เมื่อได้ยินคำถามของเขา ใบหน้าของหมอตำแยเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่มองไปยังเขาและพูดด้วยความเคารพว่า “นายท่าน นายน้อยไม่มีปัญหาอันใด ข้าเพียงแค่รู้สึกไปเอง ด้วยประสบการณ์กว่าสิบปีของข้า เด็กที่คลอดใหม่ทุกคนจะร้องเสียงดังกันหมด มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่ต่างออกไป ดูนี่สิคะ แม้ว่าเขาจะเพิ่งกำเนิดมา เขาไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ เหตุการณ์เช่นนี้มันแปลกมากเจ้าค่ะ”
หน้าผากของชายคนนั้นมีรอยย่นขึ้นมา เขามองไปที่ทารกที่ห่อผ้าอยู่ ดวงตาทารกส่องประกายบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พวกเขาได้มองเด็กคนนี้ไปทั่วร่างกาย จากที่เขามองระยะหนึ่งและครู่ต่อมาเขาก็มองมาอีกครั้ง เด็กคนนี้ช่างน่ารักมาก ๆ และจากที่มองเขาแล้วไม่น่าที่จะเกิดปัญหาใดกับเขา
อย่างไรก็ตามชายคนนี้ไม่ได้สังเกตว่าภายในส่วนลึกของดวงตาที่เป็นประกายของทารกนั้นไม่ได้ไร้เดียงสา ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าดวงตาของทารกผู้นี้นั้นเต็มไปด้วยบางอย่างมากมาย โดยที่หากเขาสังเกตเห็น เขาคงไม่อยากเชื่อมัน
เมื่อเขาวางมือเหนือทารก เขาได้เห็นถึงแสงสีเหลือง ทันใดนั้นมันได้ลอยรอบ ๆ มือของทารก
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของชายวัยกลางคน ใบหน้าของหมอตำแยกลายเป็นไม่สบายใจ นางเป็นเพียงแค่หมอตำแย เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม แต่นางกลัวว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้นกับเด็ก หากเป็นเช่นนั้น ชายคนนี้ก็จะโทษนางและหากนางไม่สามารถที่จะชดใช้ได้ แม้ในความจริงเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางทางใดทางหนึ่ง นางก็ไม่มีอำนาจใดที่จะกล่าวเป็นอย่างอื่นได้
ชายคนนั้นรีบดึงมือกลับ ในใจของเขาในที่สุดก็สบายใจเสียที รอยยิ้มกลับมาที่ใบหน้าของเขาอีกครั้งและหัวเราะออกมา “ลูกของข้าปลอดภัยดี และดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ ด้วย” เขารับห่อผ้าไปจากหมอตำแยและหัวเราะอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหมอตำแยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อัตราการเต้นของหัวใจนางกลับกลายเป็นปกติ แม้แต่นางก็หัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น “ที่นายท่านกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่แสดงถึงอนาคตของนายน้อยเจ้าค่ะ เขาจะต้องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวในยามเมื่อเขาได้เติบโตขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อเขาฟังคำพูดของหมอตำแย ได้รู้ว่าคำพูดนี่มันยังคลุมเครืออย่างมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะหัวเราะ “ใช่ ใช่ ใช่แล้ว ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น ใครก็ได้มานี่ซิ! นำรางวัลให้แก่หมอตำแยหง เป็นเงิน 100 เหรียญทอง”
ใบหน้าของหมอตำแยเกิดความปิติยินดีขึ้นมา และพูดออกมาในทันที “ขอบพระคุณนายท่าน ขอบพระคุณนายท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ผู้เป็นบิดานำทารกไปสู่เตียงของผู้เป็นมารดาและยิ้ม “หยุนเอ๋อร์ ดูนี่สิ! นี่คือลูกของพวกเรา ดูสิว่าเขาน่ารักแค่ไหน!”
หยุนเอ๋อร์อุ้มเด็กอย่างทนุถนอมและจูบลงบนหน้าผากและพูดอย่างมีความสุข “ท่านพี่ ในเมื่อลูกของพวกเราเป็นผู้ชาย ตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ พวกเราจะเรียกเขาว่า เจียงหยาง เซียงเทียน”
สามีได้หัวเราะอีกครั้งและพูดว่า “ไม่เลวเลย ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชื่อของเด็กคนนี้คือ เจียงหยาง เซียงเทียน! ข้าขอเชิญแขกทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ พรุ่งนี้จะจัดงานฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชายของข้า! พวกเราจะจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่……”
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปี ด้านหน้าทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งสูงไม่ถึงเมตรได้ยืนอยู่ด้วยท่าทางว่างเปล่า ดวงตาทั้งสองของเขาได้จับจ้องไปยังก้อนหินกลางทะเลสาบอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กน้อยคนนี้สวมเสื้อผ้าหรูหรา แต่ใบหน้าเขาดูหลากหลายอารมณ์ปะปนกัน เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จะพบเห็นในเด็กวัยหนึ่งขวบ
แน่นอนว่าเด็กคนนี้คือ เจียงหยาง เซียงเทียน และขณะนี้ความคิดของเขามีฉากที่กำลังเล่นอยู่ตลอดเวลา ราวกลับว่าได้ดูหนังม้วนหนึ่ง และเขาสามารถเห็นถึงภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนกระบี่ยักษ์สองเล่ม อีกภาพหนึ่งได้ปรากฎขึ้นที่ห้วงความคิดของเขา เป็นภาพชายหนุ่มหน้าตาดีอายุยี่สิบปีและกระบี่เล่มหนึ่ง และภาพของต๊กโกวคิ้วป่ายได้ผ่านการต่อสู้มาตลอดร้อยปี ในที่สุดช่วงเวลาที่เขากำลังจะตาย เขานึกขึ้นได้ว่าได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพกระบี่ หลังจากนั้นเขาจำได้ว่าได้แทงทะลุลำคอของต๊กโกวคิ้วป่าย และจบลงด้วยความตายของทั้งสองฝ่าย