เซียงเทียนมองดูร่างกายเล็ก ๆ ของเขาแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสับสน ในรอบปีที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงชีวิตที่แล้วของเขา มันได้ฉายซ้ำขึ้นมาในความทรงจำของเขาอีกครั้ง ความทรงจำยังคงแจ่มชัดราวกับทุกสิ่งทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ราวกับว่ามันได้สลักลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่อาจที่จะลืมมันไปได้ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ในชีวิตที่แล้วของเขา เขามีนามว่าเจี้ยนเฉิน หลังจากที่เขาได้ตายลง วิญญาณของเขามาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำเดิมที่เป็นปริศนา
แม้ว่าเขาจะเพิ่งคลอดออกมาได้ แต่ความทรงจำทั้งหมดของเขายังคงถูกเก็บรักษาไว้ เขาจึงรู้วิธีการพูด ตลอดจนบทสนทนาจากผู้คนรอบตัวของเขา ทำให้เขาได้ข้อสรุปคร่าว ๆ ว่าครอบครัวที่เขาได้อาศัยอยู่เป็นเช่นไร แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาได้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบเดิมอีกต่อไป ที่นี่เป็นโลกใบใหม่ที่เจี้ยนเฉินไม่เคยได้ยินมาก่อน
คฤหาสน์ที่เจี้ยนเฉินอาศัยอยู่มีชื่อว่า ‘เจียงหยาง’ คฤหาสน์นี้เป็นของหนึ่งในสี่ตระกูลหลักของเมืองลั่วเอ๋อ แต่ละตระกูลต่างคานอำนาจกันอยู่ บิดาของเขาเป็นผู้นำตระกูลเจียงหยาง มีนามว่า ‘เจียงหยางป้า’ มารดาของเขามีนามว่า ‘ไป๋หยุนเทียน’ ฮูหยินสี่ของเจียงหยางป้า แม้ว่านางจะไม่ใช่ฮูหยินใหญ่ แต่นางก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญของตระกูล เพราะนางได้สมญานามว่า ‘ เซียนผู้เชี่ยวชาญแสง ‘
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่เข้าใจว่า ‘ เซียนผู้เชี่ยวชาญแสง ‘ คือสิ่งใดกันแน่ แต่เป็นเพราะมัน มารดาของเขาจึงมีฐานะสูงส่งภายในตระกูล ผู้คนมากมายต่างให้ความเคารพนับถือนาง
สำหรับตัวเจี้ยนเฉินเอง เขาเป็นนายน้อยสี่ของตระกูลเจียงหยาง มีฐานะสูงส่งในตระกูล เจี้ยนเฉินมีพี่ชาย 2คน พี่สาว 1 คน พี่ชายคนโตมีนามว่า เจียงหยางหู่ พี่สาวมีนามว่า เจียงหยางหมิงเย่ว และพี่ชายคนที่สามมีนามว่า เจียงหยางเค่อ พวกเขาทั้งสี่มีบิดาคนเดียวกันแต่ต่างมารดา นอกจากเจียงหยางหู่แล้ว เขาก็เคยพบกับเจียงหยางหมิงเย่วและเจียงหยางเค่อทั้งสองคนมาหลายครั้ง ทั้งสองคนอายุห่างจากเขาไม่มาก เจียงหยางหมิงเย่วอายุมากที่สุด นางอายุ 4 ปี ห่างจากเจี้ยนเฉินถึง 3 ปี เจียงหยางเค่ออายุมากกว่าเขา 2 ปี นอกจากพวกเขาทั้งสี่ อย่างไรก็ตามมีเด็ก ๆ อีกมากมายในตระกูล
ในขณะนี้มีพ่อบ้านสูงวัยคนหนึ่งเข้ามาหาเจี้ยนเฉินจากด้านหลังแล้วพูดว่า ” นายน้อยสี่ขอรับ สายแล้วนะขอรับ ฮูหยินกำลังรอท่านอยู่นะขอรับ ”
เจี้ยนเฉินถึงกับสะดุ้งกลับสู่ความเป็นจริง เมื่อมองไปยังท้องฟ้า เขาก็เห็นว่าท้องฟ้ากำลังทอแสงบ่งบอกว่ายามค่ำคืนกำลังจะมาเยือน เขารู้ทันทีว่าตลอดทั้งบ่ายเขายืนนิ่งโดยไม่รู้สึกตัว ” ข้าเข้าใจแล้ว ท่านเจียงไป่ อีกสักครู่ข้าจะตามไป ”
เจียงไป่ เป็นพ่อบ้านตระกูลเจียงหยาง เขาดูแลในทุก ๆ เรื่องของตระกูลเพราะเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างมีความสำคัญในตระกูล แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงพ่อบ้านคนหนึ่ง แต่เขาก็ได้รับความเคารพนับถืออย่างดีเทียบเท่าผู้นำของคฤหาสน์นี้
รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเจียงไป่ ขณะที่มองเจี้ยนเฉินอย่างคาดหวัง ตอนเจี้ยนเฉินอายุเพียง 6 เดือนเขาก็สามารถเดินได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้ใครช่วยและเขาเรียนรู้ได้เร็วมาก เขาสามารถพูดได้ตอนอายุเพียง 8 เดือนเท่านั้น ไม่ใช่แค่พูดได้ชัดเจน แต่ยังสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ด้วยความสำเร็จเพียงสองสิ่งนี้ ทำให้เจี้ยนเฉินได้ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะ หลายคนต่างเฝ้ารอคอยวันที่เขาได้เติบโตขึ้น
ในเวลากลางคืนเจี้ยนเฉินได้ออกไปพร้อมกับมารดาของเขา ‘ ไป๋หยุนเทียน ‘ เพื่อไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหาร ห้องอาหารที่ทั้งคู่นั่งอยู่นั้นมีความพิเศษ มีเพียงผู้นำคฤหาสน์ เหล่าภรรยาและบุตรทั้งหลายเท่านั้น
เมื่อไป๋หยุนเทียนและเจี้ยนเฉินมาถึงห้องอาหาร หญิงสาวที่งดงามทั้งสามได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมตัวหนึ่ง พวงนางดูอายุราว 20 ปี สองในสามกำลังอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชาย อีกหนึ่งเป็นเด็กสาว เด็กชายอายุราว ๆ 3-4 ขวบ แข็งแรงสมบูรณ์แต่อวบอ้วน เขาเป็นลูกคนที่สามของเจียงหยางป้า มีนามว่าเจียงหยางเค่อ
ขณะที่เจียงหยางเค่อมองเห็นเจี้ยนเฉิน ความเป็นอริและความเกลียดชังผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา เห็นได้ชัดเจนว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ว่าเขาไม่ถูกกับเจี้ยนเฉิน
หญิงสาวทั้งสี่ต่างรับรู้ถึงความเป็นปรปักษ์ที่ได้แผ่ออกมาจากเจียงหยางเค่อไปยังเจี้ยนเฉิน แต่ก็ไม่มีใครเสียเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในความคิดของพวกนางนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยของเด็ก ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใด
เด็กอีกคนอายุราว 4-5 ปี นางผูกแกละสองข้าง ดวงตาที่สดใสของนางมองไปยังเจียงหยางเค่อที่ยังคงมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้วหัวเราะขึ้นมา เกิดเป็นลักยิ้มขึ้นบนใบหน้าทั้งสองข้าง ดูน่ารักเป็นพิเศษ แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่แน่นอนว่าเมื่อนางเติบโตขึ้น ความงามของนางอาจเทียบเคียงได้กับเทพธิดา เด็กคนนี้มีนามว่าเจียงหยาง หมิงเย่ว เป็นบุตรคนที่สองของเจียงหยางป้า และเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว
“น้องสี่ เจ้ามาแล้ว! มาสิ มานั่งตรงนี้สิ ! ” เด็กหญิงโบกมือให้เจี้ยนเฉิน ในเวลาที่นางได้เห็นเจี้ยนเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้านางก็ยิ่งงดงามมากยิ่งขึ้น
เจี้ยนเฉินผงกศีรษะของเขาเป็นเชิงทักทายเจียงหยาง หมิงเย่ว์ แล้วนั่งลงพร้อมกับมารดาของเขา
ไป๋หยุนเทียนเริ่มตามใจเจี้ยนเฉิน นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เซียงเอ๋อ กล่าวทักทายท่านป้าและพี่ ๆ ของเจ้าสิ”
เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เจี้ยนเฉินมองไปยังเหล่าหญิงสาวที่ดูเอาแต่ใจ “คารวะ ท่านป้าใหญ่ ป้ารอง ป้าสาม พี่รอง พี่สาม”ตั้งแต่ที่แม่ของเขารู้ว่าเขาสามารถพูดจาได้ฉะฉาน นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สอนหลักพื้นฐานมารยาทให้เขา ด้วยกรอบความคิดของเจี้ยนเฉินได้ไหลไปตามกระแส เขาไม่ได้คัดค้านการสอนของนาง เพราะสิ่งนี้เป็นประโยชน์ในระยะยาวบนโลกใบใหม่ของเขา
ครั้งแรกเมื่อเขามายังสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากมายในร่างกายใหม่ เพราะเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำดั้งเดิม เขายังรู้สึกว่าตัวเขายังเป็นเจี้ยนเฉินอยู่ ลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เขาไม่ได้คิดว่าชีวิตใหม่นี้จะเป็นของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อย ๆ ยอมรับร่างกายและชีวิตใหม่นี้ ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ไป๋หยุนเทียนก็เป็นมารดาของเขา แม้ว่ายังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าความทรงจำในอดีตยังคงอยู่ได้เช่นไร พวกมันมาจากสถานที่แห่งหนึ่งจากอีกโลก ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับโลกใบใหม่นี้ ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงตัดสินใจซ่อนความทรงจำของเขาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะยอมรับชีวิตใหม่และมอบทุกสิ่งให้กับมัน
หญิงสาวทั้งสามยิ้มให้แก่เจี้ยนเฉิน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวสวมชุดคลุมสีทองหัวเราะขึ้น “น้องหยุน นี่แสดงให้เห็นว่า เซียงเทียนลูกเจ้าฉลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ และหาได้ยากที่จะได้พบเห็นเด็กเช่นเขา เขาอายุเพียงแค่ 1 ขวบเท่านั้น ข้าอิจฉาเจ้าจริง ๆ ที่มีลูกที่ฉลาดเยี่ยงนี้” หญิงสาวคนที่พูด คือฮูหยินรองของเจียงหยางป้าและเป็นแม่ของเจียงหยางหมิงเย่ว มีนามว่า ไป๋ยู่ซวง
“ใช่แล้วน้องหยุน สิ่งที่พี่รองพูดถูกต้อง เมื่อได้พบเจอเขาในแต่ละวัน ข้ายิ่งชอบเซียงเทียนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้” หญิงสาวอีกคนซึ่งนั่งติดกับเจี้ยนเฉิน นางเป็นฮูหยินสามซึ่งมีนามว่าหยูเฟิงหยานพูดออกมา
” เซียงเทียนเป็นเด็กอัจฉริยะอย่างแท้จริง เดินได้ตอน 6 เดือน พูดได้ตอน 8 เดือน ไม่มีเด็กคนไหนในวัยเท่าเขาสามารถเลียนแบบเขาได้ ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าพลังเซียนในร่างกายของเขาจะมากขนาดไหน เมื่อเขาได้รับการทดสอบในอีก 2 ปีข้างหน้า ข้าหวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะทำให้พวกเราต้องตกตะลึง ” หลิงหลงฮูหยินใหญ่ซึ่งดูมีอายุและเจ้าอารมณ์มากกว่าคนอื่นพูด
ขณะที่หลิงหลงพูดจบ ได้มีเสียงอันลุ่มลึกของชายคนหนึ่งว่า ” ข้าเห็นด้วย ข้าตั้งตารอพบกับความตกตะลึงเมื่อเซียงเทียนอายุ 3 ขวบ” ชายวัยกลางคนอายุสามสิบปี เดินเข้ามายังห้องอาหารด้วยท่าทีของผู้นำ ด้วยชุดฉางเป่าสีขาวประดับไปด้วยขอบสีทอง ผมสีดำยาวถึงไหล่ มันทำให้บรรยากาศในห้องอาหารผ่อนคลายลง
“ท่านพี่”
“ท่านพ่อ”
ทันใดที่เห็นชายคนนั้น ทั้งเจ็ดคนต่างลุกขึ้นยืนขึ้นพร้อมกันแล้วกล่าวเรียกชายหนุ่มออกมา แม้แต่เจียงเฉินก็ยังไม่มีข้อยกเว้น เขาได้กล่าวออกไปอย่างนุ่มนวล
แท้จริงแล้วชายผู้นี้คือเจียงหยางป้า ผู้นำตระกูลเจียงหยาง
เจียงหยางป้าเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงด้วยรอยยิ้ม เขามองเจี้ยนเฉินแล้วถามว่า “เซียงเอ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่มีความสุขดีใช่ไหม?”
เจี้ยนเฉินพยักหน้าของเขา “ขอรับ!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงหยางป้า “เซี่ยงเอ๋อ หากเจ้ารู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นให้อยู่แต่ภายในคฤหาสน์ที่น่าเบื่อแห่งนี้ เจ้าสามารถออกไปหาประสบการณ์ภายนอกด้วยตนเองได้ตามสบาย”
“ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อ” เจี้ยนเฉินตอบ
เจียงหยางป้ารู้สึกมีความสุขมากจนยากที่จะอธิบายออกมา ความฉลาดของเจี้ยนเฉินช่างแตกต่างจากเด็กอายุ 1 ขวบคนอื่น ๆ
การทานอาหารระหว่างครอบครัวเป็นไปอย่างมีความสุข อาหารได้หมดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินได้กลับไปยังห้องของเขา ด้วยอายุประมาณเขา เขาควรที่จะนอนห้องเดียวกับมารดาเขา แต่ว่าเขาได้ร้องขอว่าเขาต้องการห้องของตัวเอง ในเรื่องคำขอนี้เจี้ยนเฉินยืนกรานอย่างแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจ ท้ายที่สุดไป๋หยุนเทียนจึงต้องยอมทำตามคำขอของเขา
ในคืนนั้นเขาได้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงของเขา มือของเขาทั้งสองข้างวางอยู่บนเข่า ฝ่ามือของเขาหงายขึ้น เขามีท่าทางสงบนิ่งเข้าสู่ขั้นแรกของการฝึกบัญญัติกระบี่นภา
บัญญัติกระบี่นภา ในโลกก่อนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินได้ฝึกฝนมาถึง 20 ปี และได้กลายมาเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา มันเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังที่หาได้ยากและน่าเกรงขาม เป็นเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งและแข็งแกร่งมาก
บัญญัติกระบี่นภาเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินพบเจอโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้ตกลงไปในหุบเขาขณะที่เล่นอยู่ในภูเขา ด้วยวิธีการอะไรบางอย่างเขาได้รอดชีวิตมาได้โดยตกลงในแอ่งน้ำ เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นเขาก็พบว่าเขาติดอยู่ในถ้ำ มีปลาเพียงอย่างเดียวที่เป็นอาหารของเขา หลังจากค้นพบคัมภีร์เล่มนี้ เขาก็ได้แต่ฝึกฝนวิชานี้ หลังจากฝึกฝนมานับสิบปีเขาก็ได้บรรลุเคล็ดวิชา สามารถออกจากถ้ำนี้ได้
เจี้ยนเฉินเป็นเด็กกำพร้าจากสงคราม เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยปู่และย่า นับจากที่เขาติดอยู่ในถ้ำก็ผ่านมานับสิบปี เมื่อเขากลับไปถึงก็พบว่าท่านทั้งสองได้จากเขาไปแล้ว หลังจากเคารพศพพวกเขาทั้งสอง เจี้ยนเฉินได้ออกจากหมู่บ้านบนหุบเขาเล็ก ๆ แล้วออกไปเผชิญโลกเพียงลำพัง
เจี้ยนเฉินยอมรับอะไรก็ตามที่ได้มาจากชีวิตเก่าและยอมรับในชีวิตใหม่ของเขา ด้วยการยอมรับนี้ เขาเริ่มบ่มเพาะพลังและชำระล้างกายเป็นเวลาครึ่งปี เพื่อให้ร่างกายของเขาเตรียมพร้อมที่จะกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม