ตอนที่ 4 เก้าเข็มปลุกวิญญาณ
คำพูดเพียงแค่สั้นๆของฉีเล่ยดูเหมือนจะมีมนต์วิเศษ เพราะหลังจากที่เขาพูดจบ อาวุโสหวู่ก็ลืมตาขึ้นทันที พร้อมกับเสียงสูดลมหายใจเข้าลึก
หลังจากที่เห็นอาวุโสหวู่ลืมตาขึ้นเช่นนั้น หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขารีบเข้าไปคว้าแขนของผู้เป็นพ่อไว้ พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“พ่อ.. พ่อฟื้นแล้ว! พ่อเป็นยังไงบ้าง?”
รองประธานหวังเองก็ถึงกับจ้องมองอาวุโสหวู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าฉีเล่ยจะสามารถทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! อาวุโสหวู่ตายไปแล้วจริงๆ!”
คุณหมอหลิวร้องตะโกนออกมาราวกับคนคลุ้มคลั่ง จากนั้น เขาจึงวิ่งตรงเข้าไปหาฉีเล่ย พร้อมกับคว้าชายเสื้อของเขาไว้ ปากก็ร้องตะโกนถามเสียงดัง
“นี่แก.. แกทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาได้ยังไง? บอกฉันมาเร็วเข้า.. บอกฉันมา..”
แต่ฉีเล่ยกลับดึงมือของหมอหลิวออก พร้อมกับหันหลังเดินออกจากห้องฉุกเฉินไปทันที
“ผู้มีพระคุณ! ได้โปรดรอประเดี๋ยว ขอให้ผมได้ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของผมก่อน!”
น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื่นเต้นดังมาจากด้านหลังของฉีเล่ย เขาหันหลังกลับไปมองทันที และพบว่าอาวุโสหวู่ได้ก้าวลงมาจากเตียงคนไข้แล้ว และกำลังจะคุกเข่าลงกับพื้น
ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งปราดเข้าไปพยุงแขนข้างหนึ่งของอาวุโสหวู่ไว้ทันที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อาวุโสหวู่.. กรุณาอย่าทำแบบนี้เลยครับ! การช่วยชีวิตผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว อย่าถือเป็นบุญเป็นคุณเลยจะดีกว่าครับ”
อาวุโสหวู่รู้ดีว่า ตนเองได้พบเจอกับหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ล้ำเลิศเข้าแล้ว!
แม้ว่าเมื่อครู่ชายชราจะอยู่ในสภาพที่หมดสติไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงแล้วจิตใต้สำนึกของเขาคล้ายถูกสะกด และกักขังไว้ชั่วคราว แม้เขาจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ แต่เขาก็รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยตลอด คล้ายกับว่าตัวเขาเองเป็นเพียงผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
และเมื่อครั้งที่ฉีเล่ยพูดว่า นับเป็นความโชคดีของเขาที่ได้มาพบกับฉีเล่ยนั้น อาวุโสหวู่ก็รู้ได้ว่า ฉีเล่ยตั้งใจพูดกับจิตใต้สำนึกของตัวเขานั่นเอง!
และจากที่เขาเฝ้ามองการฝังเข็มของฉีเล่ยนั้น เขาสามารถบอกได้คำเดียวว่า วิชาเก้าเข็มปลุกวิญญาณของฉีเล่ยนั้น เป็นวิชาที่ล้ำเลิศมาก และหมอธรรมดาทั่วไปยากนักที่จะเช่นนี้ทำได้!
อาวุโสหวู่รับรู้ได้ว่า พลังงานในร่างกายของเขานั้น ไม่เคยแข็งแกร่งเหมือนที่เป็นอยู่ในเวลานี้มาหลายปีแล้ว
เวลานี้ ทั้งหวู่เฉินเทียน และรองประธานหวัง ต่างก็ตรงเข้ามาจะช่วยพยุงร่างของอาวุโสหวู่ไว้ แต่เขากลับส่ายหน้า และตอบกลับไปว่า
“ไม่จำเป็นต้องช่วยพยุงฉัน ฉันยืนเองได้!”
หลังจากหันไปสั่งห้ามคนอื่นๆไม่ให้มายุ่งกับตนเองแล้ว อาวุโสหวู่ก็ได้หันกลับไปมองแผ่นหลังของฉีเล่ย ที่ค่อยๆเดินห่างออกไป สายตาของอาวุโสหวู่ที่มองฉีเล่ยเวลานี้ เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธา ก่อนจะค่อยๆโน้มศรีษะลงเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับหวู่เฉินเทียนว่า
“เฉินเทียน แกต้องหาโอกาสคบหากับหมอท่านนี้ไว้ ในวันข้างหน้าเขาจะสามารถช่วยแกได้อย่างมากทีเดียว!”
“เอาล่ะ หลังจากนี้ แกก็ไปช่วยจัดเตรียมหาของขวัญล้ำค่าให้ฉันด้วย..” อาวุโสหวู่หันไปบอกกับหวู่เฉินเทียน พร้อมกับตบไหล่เขาเบาๆ
“ครับพ่อ!”
หวู่เฉินเทียนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจกลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ เพราะเขาเป็นถึงคนที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดในเมืองหนานหยาง อีกทั้งยังเป็นถึงประธานใหญ่ของกลุ่มบริษัทเฉินเทียนกรุ๊ป มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องการความช่วยเหลือจากชายหนุ่มคนนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มคนนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่คนเก็บขยะ ดูเหมือนพ่อของเขาออกจะยกยอปอปั้นชายหนุ่มมากจนเกินไปกระมัง?
……..
หลังจากเดินออกมาจากวอร์ดผู้ป่วยในของทางโรงพยาบาลแล้ว ฉีเล่ยก็ถึงกับถอนหายใจยาวออกมาทันที
ในที่สุด การรักษาก็ได้สิ้นสุดลง และได้ผลตามที่เขาคาดหวัง!
หากพลังปราณในร่างของเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้อีกสักหน่อย เมื่อครู่เขาคงจะสามารถใช้พลังปราณในร่างควบคุมเข็มทั้งเก้าได้ดีกว่านี้ และการใช้วิชาเก้าเข็มปลุกวิญญาณเมื่อครู่ ก็จะทำได้ง่ายดายขึ้น แต่ถึงอย่างไร เขาก็สามารถช่วยอาวุโสหวู่ให้ฟื้นคืนสติได้แล้ว..
“นายทำได้ยังไง?”
เสียงเย็นชาของเฉินอวี้หลัวดังขึ้นมาจากด้านหลังฉีเล่ย..
นี่เขาจะบอกความจริงกับหญิงสาวดีหรือไม่?
แต่หากเรื่องนี้แพร่สะพรัดออกไป โลกทั้งโลกคงต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น ทั้งตัวเขา เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ ก็คงยากที่จะหาความสงบสุขได้อีก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแน่..
หลังจากคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงได้หันหลังกลับไป พร้อมกับยื่นจี้หยกในมือคืนให้หญิงสาวทันที ปากก็บอกออกไปว่า
“เก็บไว้ให้ดีล่ะ!”
และเวลานี้ จี้หยกในมือของเขา ก็ได้กลายเป็นเพียงจี้หยกธรรมดาทั่วไปแล้ว..
“ในเมื่อนายสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ทำไมตอนนั้นนายถึงไม่ช่วยพ่อของฉันล่ะ? ทำไม?”
เฉินอวี้หลัวร้องคำรามออกมาด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นฟาดลงบนใบหน้าของฉีเล่ยอย่างแรง จากนั้น หญิงสาวก็ได้ทรุดลงกับพื้นร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ
หลังจากที่ได้รับมรดกของตระกูลเฉินมาแล้ว จิตใจของฉีเล่ยก็เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็น และมั่นคงยิ่ง สิ่งเดียวที่จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเขาผันผวน หรือพุ่งพล่านได้นั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่เรื่องของสกุลเฉินเท่านั้น
ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่คุกเข่านั่งลงข้างๆเฉินอวี้หลัว พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปโอบกอดร่างของหญิงสาวที่กำลังสั่นสะท้านไว้แน่น
เขาปล่อยให้เฉินอวี้หลัวร้องไห้อยู่เช่นนั้นราวสิบกว่านาที กว่าที่เธอจะค่อยๆสงบลงได้ในที่สุด
“กลับบ้านกันเถอะนะ!”
ฉีเล่ยพยุงเฉินอวี้หลัวให้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับช่วยเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนตามใบหน้าให้กับเธอ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าซีดขาวของหญิงสาว ฉีเล่ยก็ได้แต่แอบถอนหายใจ
การที่เฉินอวี้หลัวร้องไห้รุนแรงเมื่อครู่นี้ ทำให้เสยชี่ หรือปราณชั่วร้ายไหลที่สะสมอยู่ในร่างเป็นเวลานาน ได้ถูกปลดปล่อยออกมากว่าครึ่ง
เสียชี่หรือปราณชั่วร้ายในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงภูติผีปีศาจ แต่หมายพลังพลังชี่ตามหลักการของแพทย์แผนจีน ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์นั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเสียชี่นี้ทั้งสิ้น อย่างเช่นลม ความเย็น ความชื้น หรือความร้อนเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่รวมเรียกว่าเสียชี่ทั้งสิ้น
หากร่างกายได้รับเสียชี่เข้าไปจำนวนมาก แต่ไม่สามารถปลดล่อยมันออกมาได้ ก็จะทำให้พลังหยางและพลังหยินในร่างกายไม่สมดุล จนเกิดอาการเจ็บป่วยได้
กระทั่งหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยในตำนานเองก็กล่าวไว้เช่นกันว่า หากภายในร่างกายกักเก็บเสียชี่ไว้ แต่ไม่สามารถปลอดปล่อยออกมาได้ ก็จะทำให้คนผู้นั้นถึงแก่ชีวิตได้
เฉินอวี้หลัวเองก็เช่นกัน ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา หลังจากการตายของอาวุโสเฉินนั้น นอกเหนือจากการะบายความโกรธแค้นลงกับฉีเล่ยแล้ว หญิงสาวก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยสามารถทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ความโกรธแค้นภายในใจของเฉินอวี้หลัวจึงได้พวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ในระหว่างที่ฉีเล่ยได้โอบกอดร่างของหญิงสาวไว้นั้น เขาก็ได้ช่วยกดจุดตามร่างกายของเธอให้ด้วย และนั่นทำให้เสียชี่ที่สะสมไว้ในร่างกายมาตลอดหลายปี ได้ถูกปลดปล่อยออกไปพร้อมกับเสียงร้องห่มร้องไห้ด้วย
และหลังจากที่เสียชี่ได้ถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก..
“คุณได้โปรดรับรู้ไว้ว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ผมก็คือคนสกุลเฉิน และในวันข้างหน้า หากเวลาเหมาะสม ผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังเอง”
ฉีเล่ยร้องบอกเฉินอวี้หลัวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะจูงมือหญิงสาวเดินออกจากโรงพยาบาลไป
ผมเป็นคนของสกุลเฉิน!
หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย เฉินอวี้หลัวถึงกับตกตะลึง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของฉีเล่ย ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วจริงๆ และฉีเล่ยในเวลานี้ ก็ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะตวาดใส่หน้าเหมือนเดิมอีก
แต่ภายในใจลึกๆของเฉินอวี้หลัว เธอกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก!
เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าบ้าน ฉีเล่ยก็ได้หยุดยืนรออยู่ที่ประตู ให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินเข้าบ้านไปก่อน จากนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเดินตามเข้าไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พร้อมกับร้อยยิ้มจางๆ..
“ไอ้คนไม่เอาไหน! นี่แกจงใจจะให้ฉันสองคนแม่ลูกอดข้าวตายหรือยังไง?”
“ท่านพี่ ท่านดูสิคะ! ท่านดูว่าไอ้เด็กหนุ่มที่ท่านอุตส่าห์เสียสละชีวิตช่วยมันไว้นั้น มันเป็นคนแล้งน้ำใจแค่ไหน? ดูมันทำกับพวกเราสองคนแม่ลูกสิ..”
ทันทีที่เห็นฉีเล่ยเดินเข้ามาในบ้าน เฉินมู่ก็เอาแต่ร้องคร่ำครวญ พร้อมกับตวัดแส้ในมือใส่ร่างของชายหนุ่มทันที เฉินอวี้หลัวเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่ร้องตะโกนห้ามปราม
“แม่คะ! หยุดตีเขาได้แล้วค่ะ หนูหิวข้าวมากแล้ว ให้เขาไปทำอาหารให้พวกเราสองแม่ลูกกินดีกว่านะคะ!”
ฉีเล่ยเดินไปที่ครัวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง และรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉินอวี้หลัวมักจะปล่อยให้แม่ของเธอ ใช้แส้ฟาดใส่ร่างของเขาโดยไม่สนใจใยดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอห้ามปรามผู้เป็นมารดา
เฉินมู่หันไปมองเฉินอวี้หลัวด้วยสีหน้าแววตาประหลาดใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ลูกสาว.. ทำไมตาของลูกถึงได้แดงก่ำแบบนั้นล่ะ? หรือเป็นเพราะไอ้คนใจร้ายใจดำนั่นมันข่มเหงรังแกลูก? บอกแม่มา.. ถ้ามันกล้ารังแกลูกแม่ แม่จะตีมันให้ตายคามือเลย!”
หลังจากพูดจบแล้ว เฉินมู่ก็ทำท่าจะวิ่งเข้าไปจัดการกับฉีเล่ยที่เดินเข้าไปในครัว..
เฉินอวี้หลัวได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับคว้าแส้ออกมาจากมือของมารดา แล้วรีบเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเองทันที ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความหนักใจ
เวลานี้จิตใจของเธอสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เธอได้แต่แอบคิดว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ฉีเล่ย แต่บาดแผลที่เกิดจากแส้ตามตัวของเขา ก็ทำให้หญิงสาวมั่นใจว่า เขาคือฉีเล่ยตัวจริง!
เย็นนี้ ดูเหมือนจะเป็นเย็นที่ฉีเล่ยรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด แม้ว่าเขาจะยังคงต้องเข้าครัวทำอาหารเหมือนเช่นเคย ต้องล้างจาน เก็บโต๊ะ และแม่ยายของเขาก็ยังคงกร่นด่าเขาดังเช่นทุกๆวัน แต่จิตใจของเขากลับสงบเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก
จนกระทั่งตกดึก ฉีเล่ยจึงได้กลับไปที่แคร่ไม้เล็กๆตรงระเบียงบ้าน พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนเหมือนเช่นทุกคืน
……….
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน เฉินอวี้หลัวก็ได้พาฉีเล่ยไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ห้างสรรพสินค้า แต่ในระหว่างที่เดินซื้อของอยู่นั้น แม่ของหญิงสาวก็ได้โทรเข้ามา เฉินอวี้หลัวถึงกับหน้าเสีย จนฉีเล่ยอดที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“ลุงมาที่บ้านอีกแล้วน่ะสิ! แล้วนี่ก็กำลังบีบคั้นข่มเหงแม่อีกตามเคย..” เฉินอวี้หลัวร้องบอกฉีเล่ยพร้อมกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห