ตอนที่ 5 การมาของญาติตัวดี

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่ 5 การมาของญาติตัวดี

ฉีเล่ยอาศัยอยู่ในบ้านสกุลเฉินมานานถึงแปดปี แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ และเข้าใจสถานการณ์ต่างๆภายในบ้านได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่พ่อของเฉินอวี้หลัวจากโลกนี้ไป ลุงของเธอก็เริ่มที่อยากจะได้บ้านหลังนี้ไปครอง โดยเริ่มจากการเฝ้าพูดกับแม่ของเธอว่า บ้านหลังนี้เป็นของเขา และยังพยายามบอกกับแม่ของหญิงสาวและตัวเธอ ให้ย้ายออกจากบ้านหลายต่อหลายครั้ง

ถึงแม้ตลอดแปดปีมานี้ ลุงของเฉินอวี้หลัวจะทำไม่สำเร็จก็ตาม แต่เขาก็ได้ขูดรีดเงินทองจากสกุลเฉินไปได้ตั้งมากมาย

“คุณไม่ต้องกังวลใจไป เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”

ฉีเล่ยยกมือขึ้นตบบ่าของหญิงสาวเป็นการปลอบประโลม แม้ว่าเขาจะโกรธแม่ยายมากเพียงใด แต่ในเวลานี้ ทั้งเขาและเธอต่างก็เป็นเสมือนคนในครอบครัว ทำให้ฉีเล่ยไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้

เฉินอวี้หลัวเพียงแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป..

……….

เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน ทั้งคู่ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น..

สภาพภายในบ้านเวลานี้ไม่ต่างจากเพิ่งถูกโจรผู้ร้ายเข้าปล้น ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด ทั้งตู้เย็น ทีวีก็ถูกทุบจนแตกเสียหาย

ส่วนแม่ของเฉินอวี้หลัวก็ล้มลงอยู่บนพื้น ที่มุมปากมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา และตามร่างกายก็มีร่องรอยฟกช้ำคล้ายเพิ่งถูกทำร้ายร่างกายมาด้วย

บนโซฟาภายในห้องรับแขกมีคนสามคนนั่งอยู่ ซึ่งก็คือลุงและป้าของเฉินอวี้หลัว ส่วนอีกคนก็คือลูกชายของพวกเขาที่ชื่อว่าเฉินต่งเชิง นอกจากนั้นก็ยังมีอันธพาลอีกแปดคน ที่ยืนถือกระบองคุมเชิงอยู่ใกล้ๆอีกที

เฉินอวี้หลัวเห็นสภาพภายในบ้านก็ถึงกับดวงตาแดงก่ำ หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลรินออกมา ในขณะที่วิ่งเข้าไปช่วยพยุงแม่ของตนเองให้ลุกขึ้น ปากก็ร้องตะโกนออกไปด้วยความคับแค้นใจ

“พวกคุณทำเกินไปแล้วนะ? ต้องการอะไรกันแน่?”

“หลานสาว.. พูดจาให้มันดีๆหน่อย! ลุงมาที่นี่ด้วยความหวังดี ตั้งใจว่าจะมาช่วยแม่ของเธอย้ายบ้าน เฮ้อ.. แต่ต้องโทษแม่ของเธอเองที่หัวดื้อ ที่ไม่ยอมรับน้ำใจของลุงเอง!”

ชายผู้เป็นลุงของเฉินอวี้หลัว กดก้นบุหรี่ในมือลงไปในถ้วยชาตรงหน้า พร้อมกับร้องบอกหญิงสาว

“แก.. พวกแกทั้งหมดทำเกินไปจริงๆ! ถ้าขืนพวกแกยังไม่ออกไปจากบ้านของฉันล่ะก็ ฉันจะโทรเรียกตำรวจมาลากคอพวกแกเข้าคุกเดี๋ยวนี้!”

เฉินอวี้หลัวโกรธจนตัวสั่น เธอร้องตะโกนออกมา พร้อมกับวิ่งเข้าไปทุบตีชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกชายของลุง แต่แล้วของแข็งคล้ายกับไม้กระบอง ก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเธออย่างรวดเร็ว

แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะหลบนั้น ร่างคุ้นเคยของใครบางคนก็วิ่งเข้ามาขวางหน้าไว้ในทันที ฉีเล่ยยกเท้าขึ้นถีบอันธพาลที่ลงมือ จนร่างของมันกระเด็นลอยละลิ่วออกไป

ส่วนเฉินอวี้หลัวเอง ก็ได้แต่ยืนตกตะลึงจ้องมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของฉีเล่ยอยู่เช่นนั้น..

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว ไม่ต้องห่วงผม! คุณไปดูแลแม่ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”

ฉีเล่ยหันกลับมาเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มให้กับเฉินอวี้หลัว พร้อมกับบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา แม้ว่าเฉินอวี้หลัวจะมีแต่ความเคียดแค้นให้กับฉีเล่ย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอ และเวลานี้ สามีของเธอก็ได้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้เพื่อเธอแล้ว

หัวใจของเฉินอวี้หลัวถึงกับสั่นสะท้าน และได้แต่พยักหน้าให้กับฉีเล่ยอย่างลืมตัว!

“ไอ้สวะไม่เอาไหน! วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือยังไง แกถึงได้บ้าดีเดือดแบบนี้?” เฉินต่งเชิงหันไปมองฉีเล่ย พร้อมกับพูดเย้ยหยัน

เมื่อเห็นฉีเล่ยทำร้ายเพื่อนของตนเองแบบนั้น อันธพาลคนอื่นๆที่เหลือ ต่างก็ถือไม้กระบองเข้าไปล้อมร่างของฉีเล่ยไว้ทันที

“ฆ่ามันแทนฉันด้วยแล้วกัน!”

แต่ยังไม่ทันทีที่เฉินต่งเชิงจะพูดจบประโยคดี นักเลงคนอื่นๆ ก็พากันฟาดกระบองในมือของตนเอง เข้าใส่ร่างของฉีเล่ยพร้อมกัน

ฉีเล่ยหันหลังพร้อมกับยกเท้าขึ้นถีบนักเลงสองคนจนกระเด็นออกไปทันที จากนั้น จึงหันกลับไปจัดการกับนักเลงที่เหลืออีกไม่กี่คนตรงหน้า ฉีเล่ยเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้ง อันธพาลทั้งหมดก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที

บางคนก็ถึงกับนอนน้ำลายฟูมปาก บางคนก็นอนกุมแขนบ้างขาบ้าง พร้อมกับร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด

ฉีเล่ยมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาช้าๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาสามคนพ่อแม่ลูก ที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา

ทั้งสามคนได้ข่มเหงรังแกเฉินอวี้หลัวกับแม่ของเธอมานานหลายปี ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องชดใช้หนี้คืนให้สองแม่ลูกบ้าง..

เฉินอวี้หลัวที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ของเธอ ก็ได้แต่จ้องมองฉีเล่ยผู้เป็นสามี พร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

ทันทีที่เฉินต่งเชิงลุกขึ้นยืน ฉีเล่ยก็ใช้ฝ่ามือจิกผมของเขา พร้อมกับลากศรีษะของเฉินต่งเชิงเข้าไปกระแทบกับโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง และเมื่อสิ้นเสียงดังปัง! ศรีษะของชายหนุ่มก็แตก และเลือดสีแดงก็เริ่มไหลออกมาทันที

ปัง.. ปัง.. ปัง..

เสียงศรีษะของเฉินต่งเชิงถูกฉีเล่ยจับกระแทกเข้ากับโต๊ะยังคงดังต่อเนื่องอีกหลายครั้ง และกึกก้องไปทั่วทั้งห้องรับแขกภายในบ้าน

เมื่อเห็นลูกชายของตนเองถูกฉีเล่ยทำร้ายร่างกายเช่นนี้ ลุงของเฉินอวี้หลัวก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีก เขาลุกขึ้นคว้าไม้กระบองข้างกาย ก่อนจะฟาดกระหน่ำเข้าใส่ร่างของฉีเล่ยอย่างสุดกำลัง

แต่ฉีเล่ยเองก็หันไปคว้าแขนของชายวัยกลางคนไว้ได้ทัน พร้อมกับบิดเล็กน้อย ก็สามารถเหวี่ยงร่างของเขาลงไปกระแทกกับพื้นได้ในทันที

ในขณะที่มืออีกข้างก็ยังคง จับศรีษะของเฉินต่งเชิงกระแทกเข้ากับโต๊ะไม่หยุด..

เมื่อเห็นสามีและลูกของตนเองถูกฉีเล่ยทำร้ายร่างกายเช่นนี้ ป้าสะใภ้ของเฉินอวี้หลัวก็รีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวกับแม่ทันที

จากนั้น.. ศึกของหญิงสาวทั้งสามคนก็เริ่มต้นขึ้น!

แต่หลังจากผ่านไปราวสองสามนาที ในที่สุดศึกของหญิงสาวสองต่อหนึ่งก็สิ้นสุดลง ผลปรากฏว่า ใบหน้าของแม่เฉินต่งเชิงนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล ที่เกิดจากรอยข่วนของเล็บ และผมก็ร่วงกองเต็มพื้นห้อง

ความคับแค้นใจตลอดแปดปีที่ครอบครัวนี้ได้ทำไว้กับสองแม่ลูกสกุลเฉิน ทั้งคู่ได้ปลดปล่อยมันออกไปในวันนี้นี่เอง

“เอาล่ะ! ได้เวลาคิดบัญชีทั้งหมดที่ผ่านมาแล้ว ถึงคราวที่พวกแกต้องคืนเงินทั้งหมด ที่ครอบครัวของแกขูดรีดไปจากภรรยา กับแม่ยายของฉันมาได้แล้ว!”

ฉีเล่ยย่อตัวลงนั่งระหว่างเฉินต่งเชิงกับพ่อของเขา..

เฉินต่งเชิงหันไปมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาหวาดผวา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คนขี้ขลาดไม่เอาไหนอย่างฉีเล่ย จู่ๆจะกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมดุดันได้ถึงเพียงนี้!

“ฉัน.. พวกเราไม่มีเงิน!”

“ไม่มีเงินงั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยตรงเข้าไปจิกผมของเฉินต่งเชิงไว้ พร้อมกับจับกระแทกลงบนโต๊ะอีกครั้ง

“หยุดได้แล้ว! หยุดทำร้ายลูกชายของฉันได้แล้ว! ฉันยอมคืนเงินทั้งหมดให้ ฉันยอมแล้ว..”

ลุงของเฉินอวี้หลัวไม่อาจทนเห็นลูกชายของตนเอง ถูกฉีเล่ยทำร้ายจนเลือดกลบหน้าได้อีก จึงได้แต่ร้องตะโกนออกไปเสียงดัง

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ฉีเล่ยจึงได้ปล่อยมือจากผมของเฉินต่งเชิง และปล่อยให้เขานอนขดเป็นกุ้งอยู่กับพื้น

“ฉี.. ฉีเล่ย.. ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันทำงานให้กับเฉินเทียนกรุ๊ป” เฉินต่งเชิงที่นอนขดอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด ได้แต่กัดฟันพูดออกมา

ฉีเล่ยได้ยินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย และได้แต่คิดในใจว่า ‘เฉินเทียนกรุ๊ป? อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นคนของหวู่เฉินเทียนสินะ? มิน่าล่ะ ถึงได้จองหองอวดดี แล้วก็ชอบข่มเหงรังแกคนอื่นแบบนี้!’

เมื่อเห็นฉีเล่ยชะงักไปเช่นนั้น เฉินต่งเชิงก็ได้แต่คิดว่า ฉีเล่ยคงจะหวาดกลัว จึงได้พูดต่อว่า “ในเมื่อรู้แล้วก็รีบๆขอโทษฉันซะสิ! แล้วเรื่องบ้านหลังนี้ก็เป็นคำสั่งของประธานหวู่ ฉันว่าแกรีบจ่ายเงินค่าทำขวัญให้ฉันเป็นบ้านหลังนี้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้น ฉันจะรายงานเรื่องนี้ให้ประธานหวู่รู้!”

ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะเสียงดัง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พร้อมกับโยนให้เฉินต่งเชิง และร้องตะโกนท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว

“โทรสิ! แกโทรหาประธานหวู่ได้เลย ฉันจะรอเขาอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน!”

“ใครกันที่ต้องการจะโทรหาฉัน?”

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียง และพบว่าอาวุโสหวู่ และหวู่เฉินเทียนกำลังเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ท่านประธาน! ช่วย.. ช่วยผมด้วย! ไอ้สวะฉีเล่ยมันทำร้ายผมกับทุกคนบาดเจ็บสาหัส ท่านประธานช่วยจัดการให้ผมด้วยครับ..”

เฉินต่งเชิงร้องไห้คร่ำครวญ พร้อมกับพยายามกระเสือกกระสนที่จะลุกขึ้นยืน

“ผู้มีพระคุณ คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างมั๊ยครับ?” อาวุโสหวู่เดินตรงไปหาฉีเล่ยทันที พร้อมกับร้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

เฉินต่งเชิงเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตกตะลึงด้วยความงุนงง..

เจ้านายของพ่อเขา ดูเหมือนจะเคารพศรัทธาในตัวฉีเล่ยมาก ทำให้เฉินต่งเชิงถึงกับงุนงงสงสัย และแทบจะลมจับหมดสติไปตรงนั้น

เวลานี้ ใบหน้าของหวู่เฉินเทียนบึ้งตึงอย่างมาก เขาหันไปสั่งลูกน้องสองสามคนที่เดินตามเข้ามา จากนั้น ลูกน้องทั้งหมด ก็ได้เดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับช่วยกันลากร่างของเฉินต่งเชิงออกไปข้างนอกทันที

“ท่านประธานครับ! ผมผิดไปแล้ว ผมยอมรับว่าทำผิดต่อพี่เขย ผมรับปากว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก ท่านประธานได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถิดนะครับ! ผมรับปากจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังนี้อีก..”

เสียงร้องไห้อ้อนวอนของเฉินต่งเชิงค่อยๆ ดังห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ

“หึ! พวกแกรีบๆออกไปจากบ้านหลังนี้ และถ้าวันหลังพวกแกยังกล้ามาที่นี่อีก ฉันจะจับพวกแกหักขาทิ้งให้หมดเลยคอยดู!” ฉีเล่ยร้องตะโกนบอกกับสามคนพ่อแม่ลูกไป

ลุงและป้าสะใภ้ของเฉินอวี้หลัวรีบวิ่งตามลูกชายออกไปทันที ทั้งคู่ได้แต่พยักหน้าเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว และบอกกับหลงเฉินไปว่า พวกเขาไม่กล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว

“ผมต้องขออภัยอาวุโสหวู่ แล้วก็ท่านประธานหวู่ด้วยครับ!”

ฉีเล่ยต้องการจะเชิญอาวุโสหวู่ให้นั่งลงที่โซฟารับแขก แต่สภาพบ้านของเขาในตอนนี้กลับพังยับเยิน และแทบไม่มีที่ให้ยืนด้วยซ้ำไป

“ผู้มีพระคุณ ไม่ทราบว่าจะรังเกียจมั๊ย หากผมจะขอเชิญคุณไปคุยกันที่บ้าน! ส่วนเรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วง ผมจะให้เฉินเทียนจัดการให้เอง!” อาวุโสหวู่หันไปถามความเห็นของฉีเล่ย

ฉีเล่ยพยักหน้าเล็กน้อย เพราะสภาพบ้านของเขาเวลานี้ ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นสถานที่สนทนา หรือปรึกษาหารือได้เลยแม้แต่น้อย

และก่อนที่ทั้งหมดจะจากไป หวู่เฉินเทียนก็ได้หันไปสั่งลูกน้องของตนเอง ให้จัดการเก็บกวาดบ้านสกุลเฉินให้เรียบร้อย พร้อมกับสั่งให้เปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ใหม่หมด

…………

เวลานี้ ฉีเล่ยนั่งอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตหรูหรา ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดกล้าฝันมาก่อน แต่เวลานี้ เขากลับกำลังจิบชาอยู่กับอาวุโสหวู่ภายในบ้านหลังใหญ่โตนี้

“ผู้มีพระคุณ นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากผม ได้โปรดรับไว้ด้วย!”

อาวุโสบอกกับฉีเล่ย พร้อมกับยื่นกล่องเล็กๆใบหนึ่งให้กับเขา ฉีเล่ยยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับมาอย่างระมัดระวัง..