ตอนที่ 3 หลบพายุในอารามเต๋า

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

“ท่านอย่าหลอกข้าเลย” ชายแก่สีหน้าร้อนใจราวกับจะร้องไห้ออกมา “เถ้ายันต์วิเศษในมือท่านยังมีพลังหลงเหลืออยู่ ต้องเป็นยันต์ชั้นสูงเป็นแน่ ไม่มีใครยอมมอบของมีค่าเช่นนี้ให้คนอื่นหรอก อีกทั้งนอกจากคนในเสวียนเหมิน ใครเลือกจะขึ้นมาที่เขาขุยซานในสภาพอากาศแบบนี้กัน” 

 

 

“ฉันโดนยันต์วิเศษส่งมาที่นี่ ยังไม่รู้เลยว่าจะกลับไปยังไง” 

 

 

“หรือจะเป็นยันต์ระยะทาง?” ชายแก่ทำหน้าตะลึง ยังคงถามอย่างมีความหวัง “เจ้า…เจ้าไม่ใช่คนในเสวียนเหมินจริงหรือ” 

 

 

“ไม่ใช่!” เธอส่ายหน้า 

 

 

ชายแก่ทรุดตัวลงในทันที คนที่ยังกระโดดโลดเต้นเมื่อกี้แห้งเหี่ยวไปในพริบตา 

 

 

“เห้อ! นี่คงเป็นชะตาฟ้าลิขิต” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินกลับไปยังต้นไม้ด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก พลางเดินพลางโบกมือให้เธอ “ช่างเถอะๆ เจ้าไปเถอะแม่สาวน้อย!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวหันหลังเดินไปยังทางเล็กๆ ด้านซ้ายมืออย่างไม่รีรอแม้แต่น้อย 

 

 

“จริงสิ แม่สาวน้อย!” ชายแก่จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งลงจากเขาตอนนี้จะดีกว่า” เขาชี้ไปยังหมอกดำรอบๆ “เห็นหมอกดำเหล่านี้ไหม นี่เป็นสัญญาณว่าจะเกิดพายุบนเขาขุยซาน ไม่ใช่ว่าข้าจะขู่เจ้านะ แต่พายุที่พัดบนเขาแห่งนี้คมราวกับมีด ต้นไม้ที่อายุเป็นร้อยปียังถูดพัดล้มได้ ถ้าจะให้ดีเจ้าหาที่หลบลมก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะตายได้” 

 

 

พูดจบก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นได้ ชี้ไปยังทางเดินด้านขวา “จริงสิ ทางนั้นมีอารามแห่งหนึ่ง พายุพัดไปไม่ถึงที่นั่น หลบไปอยู่ตรงนั้นปลอดภัยที่สุด” พูดถึงตรงนี้สีหน้าเขายิ่งเศร้าสร้อยกว่าเดิม ก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า “เดิมนั่นเป็นอารามของข้า แต่เสียดายที่ข้าเผลอกินหญ้าพิษเข้าไป ไม่นานก็คงจะตาย ยังไงก็กลับไปไม่ได้แล้ว สู้ข้าจบชีวิตตัวเองเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องทรมาน” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวชะงักเท้าที่กำลังเดิน หยุดอยู่อย่างนั้นสักพัก มือที่วางอยู่ข้างกายกำแน่น ทันใดนั้นเธอก็หันหลังเดินกลับมา 

 

 

“เจ้ากลับมาทำไม” ชายแก่ขมวดคิ้ว พร้อมโบกมือเอ่ย “รีบไปๆ อีกประเดี๋ยวพายุมาเจ้าก็…” 

 

 

“นานแค่ไหนแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวพูดขัด 

 

 

“อะไร” ชายแก่อึ้งไปสักพัก เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอถาม 

 

 

“ท่านกินหญ้าพิษเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว” 

 

 

“น่าจะเป็นเวลาหนึ่งเค่อแล้ว” ชายแก่ตอบ 

 

 

“ปวดท้องไหม มีอาการท้องเสีย หรืออาเจียนหรือเปล่า” เธอยังคงถามอย่างจริงจัง 

 

 

“จะว่าไปก็ไม่มี” เขาส่ายหน้า “แค่อยากอาเจียนเล็กน้อย เจ้าถามทำไม เจ้าไม่ใช่…” 

 

 

“น่าจะยังทัน!” อวิ๋นเจี่ยวเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้มาหนึ่งกิ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาชายแก่ และกดให้เขานั่งลงที่ก้อนหินด้านข้าง เธอยกกิ่งไม้ในมือขึ้น “อ้าปาก!” 

 

 

“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร” 

 

 

“ช่วยท่าน!” 

 

 

“อะไรนะ!” 

 

 

ชายแก่ยังไม่ทันที่จะเข้าใจ อวิ๋นเจี่ยวก็ยัดกิ่งไม้เข้าปากของเขาเสียแล้ว 

 

 

ทันใดนั้น เขารู้สึกคันคอและเกิดความอยากอาเจียนขึ้นมา กระเพาะปั่นป่วนเป็นระยะๆ จากนั้นเขาอ้าปากและอาเจียนออกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงนั้นกระจายไปทั่วในทันตา 

 

 

ชายแก่ใช้มือยันที่ขาทั้งคู่อาเจียนนานถึงสิบนาที เขาอาเจียนจนไม่มีอะไรจะออกมาแล้วถึงจะหยุด พิงร่างกายที่หมดแรงไปกับต้นไม้ พร้อมหอบหายใจอย่างหนัก ทั้งโกรธทั้งร้อนใจจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแม้แต่นิด “เจ้า…เจ้า…” จะเนรคุณคนที่ช่วยชีวิตก็ไม่ถึงขั้นต้องทรมานเขาอย่างนี้ไหม 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจเขา แต่กลับมองไปยังสิ่งที่เขาอาเจียนออกมา พร้อมพูดขัด “หญ้าพิษที่ท่านว่า คือเห็ด?” 

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ชายแก่อึ้งไปเล็กน้อย แล้วมองไปยังกองที่ตัวเองได้อาเจียนออกมาตามสายตาของเธอ อาจจะเป็นเพราะอายุมากแล้ว ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียดมากนัก ในนั้นยังคงสามารถมองเห็นสภาพเดิมของสิ่งที่กินเข้าไปได้อย่างเลือนราง และนั่นก็คือเห็ดพิษที่เขาเผลอกินเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจในสิงที่เธอทำ ใบหน้าฉายแววดีใจอย่างท่วมท้น “นี่…ข้าอาเจียนออกมาแล้ว งั้นแสดงว่าข้ารอดแล้วใช่ไหม” 

 

 

“ยังไม่แน่!” อวิ๋นเจี่ยวทำลายความหวังของเขาอย่างไร้เยื่อใย พร้อมเอ่ยต่อ “อารามของท่านมีเกลือไหม” 

 

 

“มีๆๆ !” ชายแก่พยักหน้าอย่างแรง ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้สักที ที่แท้เขาก็เจอหมอนี่เอง ในความโชคร้าย เขาก็ยังมีความโชคดี “อารามอยู่ทางนั้น เจ้าตามข้ามา” 

 

 

พูดจบก็ประคองกางเกงของตนเองพร้อมเดินไปทางซ้าย อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองไปยังสายคาดเอวที่พัดปลิวไปตามลมบนกิ่งไม้ ก่อนที่จะเดินตามชายแก่ไป 

 

 

… 

 

 

ไป๋อวี้รู้สึกราวกับตัวเองเก็บสมบัติได้ หญิงสาวที่นามว่าอวิ๋นเจี่ยวนี้ช่างเป็นคนที่วิเศษจริงๆ ไม่เพียงแต่มีวิชาทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ขนาดเขาเผลอกินเห็ดพิษเข้าไปยังสามารถช่วยชีวิตเขากลับมาได้ นางยังมีฝีมืออันล้ำเลิศที่ทำได้ทุกอย่างอีกด้วย 

 

 

ชุดนักพรตขาด นางปะได้ 

 

 

ตำราคัมภีร์เต๋า นางอ่านได้ 

 

 

เก้าอี้โต๊ะในอาราม นางซ่อมได้ 

 

 

หลังคาอารามน้ำรั่ว นางซ่อมได้ 

 

 

อาหารเลิศรส นางทำได้… 

 

 

โดยรวมแล้วก็คือ ตั้งแต่ซ่อมหลังคาไปยังปะเสื้อผ้า ศิลปะทั้งสี่ ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่นางไม่รู้ 

 

 

ที่สำคัญ! ฝีมือด้านการทำอาหารของนางเป็นที่ตะลึงตาอย่างมาก อาหารที่นางทำออกมาเพียบพร้อมไปด้วยรูป รส และกลิ่น ถ้าไม่ติดว่าข้างนอกพายุกำลังพัด ไม่แน่ว่ากลิ่นหอมของอาหารคงล่องลอยออกไปไกลถึงหลายลี้ ขนาดเขาเองยังคิดว่าอาหารที่กินไปครึ่งค่อนชีวิตที่ผ่านมาช่างเสียเปล่ายิ่งนัก นั่นมันอาหารหมูชัดๆ ! 

 

 

ไป๋อวี้ยังคงสงสัยเป็นอย่างมาก หญิงสาวที่ดูอ่อนหวานเช่นนี้ ทำไมถึงทำอะไรแบบนี้ได้ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวคิดอย่างตั้งใจ และเธอก็ได้ใช้ใบหน้าที่มีแต่ความเคร่งขรึม ตอบกลับอย่างจริงจังว่า “เพราะว่า…หมาโสด มีศักยภาพที่ไม่จำกัด!” มีแค่คุณคิดไม่ถึง แต่ไม่มีอะไรที่หมาๆ ทำไม่ได้ 

 

 

ไป๋อวี้ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับหมาอย่างไร แต่ดูจากใบหน้าที่แสดงสีหน้าสบายๆ ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เขาก็รู้สึกปลาบปลื้มในทันที 

 

 

ดูสิ นี่เป็นเด็กที่ช่างอ่อนน้อมถ่อมตนอะไรเยี่ยงนี้! ดังนั้นไป๋อวี้จึงได้ทำการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ เขาจะทำเพื่อความรุ่งเรืองของสำนัก เพื่อเป็นการสืบทอดลัทธิเต๋า เพื่ออนาคตของเสวียนเหมิน ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ เขาจะต้องรั้งให้นางอยู่ที่นี่ให้ได้ 

 

 

เพียงแค่นางตั้งใจฝึกฝน เขาเชื่อว่าในอนาคตนางต้องเป็นศิษย์ที่ดีที่สุดในเสวียนเหมินอย่างแน่นอน นางจะเป็นหน้าเป็นตาให้สำนักชิงหยางของพวกเขา! 

 

 

อืม ไม่ใช่เพราะว่ากลัวจะไม่ได้กินอาหารที่อร่อยแบบนี้อีกแน่นอน 

 

 

ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสที่พายุข้างนอกกำลังพัดอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีเจ็ดแปดวันไม่หยุด ไป๋อวี้เริ่มปลูกฝังความรู้เกี่ยวกับเสวียนเหมินให้เธอโดยทางอ้อม รวมถึงเรื่องราวอันรุ่งเรืองของเสวียนเหมิน ทำให้เธอได้เห็นว่าการเป็นศิษย์ในเสวียนเหมินเป็นเรื่องที่โชคดีและน่าภูมิใจแค่ไหน 

 

 

แต่อีกฝ่ายก็ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น จากไม่มีความสนใจ จนต่อมารับฟังอย่างสงบจิตสงบใจ จนสุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืนพร้อมถอนหายใจยาว ก่อนที่พูดกับเขาว่า 

 

 

“ออกไป!” 

 

 

ช่างเถอะ หญิงสาวคนนี้ดีทุกด้าน ยกเว้นแต่เพียงนิสัยที่ออกจะเย็นชาไปหน่อย วันๆ ไม่มีแม้กระทั้งสีหน้า 

 

 

ไม่เป็นไร เขายังมีเวลา! เขาเชื่อว่าขอแค่ล้างสมอง…ไม่ โน้มน้าวอย่างไม่ย่อท้อ อีกไม่นานอวิ๋นเจี่ยวจะต้องเข้าใจว่าหมอผี…เอ้ย ศิษย์แห่งเสวียนเหมินอย่างพวกเขาเป็นการมีอยู่ที่น่าภูมิใจขนาดไหน