สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวก็ถูกชายแก่ไป๋อวี้ล้างสมองไปเป็นเวลาเจ็ดวันเต็มๆ ส่วนพายุที่พัดบนเขาก็พัดอย่างไม่หยุดหย่อนไปเจ็ดวันเต็มเช่นกัน 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเพิ่งเคยเห็นพายุที่แปลกประหลาดอย่างนี้ ทอดสายตามองไปในป่าเห็นเพียงแต่ความมืดมิดราวกับเป็นเวลากลางคืน ได้ยินแต่เพียงเสียงของลมพายุที่พัดผ่าน ตามมาด้วยเสียงล้มลงของอะไรบางอย่าง ในความมืดนั้นยังคงสามารถมองเห็นเงารางๆ ของต้นไม่ที่ล้มลงราวกับถูกของมีคมบางอย่าง ตัดขาดเป็นสองท่อน 

 

 

ที่พัดนี่ลมที่ไหนกัน นี่มันมีดชัดๆ 

 

 

เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ความหวังอันน้อยนิดภายในใจของอวิ๋นเจี่ยวก็ได้พัดหายไปพร้อมกับพายุอย่างสิ้นเชิง เธอมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกที่เธออยู่มีสภาพอากาศเลวร้ายอย่างนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอได้ข้ามมิติมายังอีกโลกหนึ่งจริงๆ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าชาติที่แล้วเธอต้องติดหนี้ยายแก่คนนั้นเยอะมากแน่ๆ คำสาปแช่งนี่มันเห็นผลเร็วอะไรขนาดนี้ 

 

 

“เจ้าหนู วันนี้มีความคิดที่จะเข้าร่วมสำนักชิงหยางของข้าหรือยัง” ชายแก่ยิ้มตาหยี แต่รอยยิ้มที่เค้นออกมานั้นราวกับพ่อค้าค้ามนุษย์ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนที่จะหยิบตำราที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านแทน 

 

 

ก็ไม่รู้ว่าชายแก่นี่เป็นอะไรตั้งแต่วันนั้นที่ลากเขากลับมาอาราม ตอนนั้นเธอไม่มียาอยู่ในมือ ถึงใช้วิธีเบื้องต้นในการเร่งอาเจียนเพื่อให้เขาขับพิษออกมา เดิมคิดว่าอายุมากขนาดนี้แล้ว ร่างกายเขาอาจจะรับไม่ไหว คงต้องพักฟื้นสักหลายวัน 

 

 

แต่ชายแก่นี่วันก่อนหน้าอาเจียนท้องเสียอย่างเอาเป็นเอาตายหมดแรงไปทั้งวัน วันที่สองดันกระโดดโลดเต้นมีชีวิตชีวาราวกับไม่ใช่ชายแก่ที่อายุใกล้จะหกสิบ 

 

 

“อย่าเป็นอย่างนี้สิ เจ้าหนู” พอเห็นเธอไม่ตอบ ชายแก่ก็เริ่มกิจกรรมการโน้มนาวอันทำเป็นกิจวัตร  

 

 

“ข้าจะบอกเจ้าให้ สำนักชิงหยางของข้าไม่ใช่เป็นเพียงอารามเต๋าธรรมดานะ แต่เป็นเสวียนเหมินอย่างแท้จริง และเป็นที่เลื่องลือในยุทธภพอีกด้วย ไม่เหมือนกับพวกหมอผีที่เที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋นแม้แต่น้อย” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวปลายตามองเขา และเอ่ยตอบ “อ่อ” 

 

 

“เจ้าต้องเชื่อนะ!” ชายแก่เอ่ยด้วยความจริงจัง  

 

 

“สำนักชิงหยางของข้าตั้งอยู่บนเขาขุยซายแห่งนี้เป็นเวลานับพันปีแล้ว หากไม่ใช่ว่ามีวิชาจริงๆ จะอยู่อย่างมั่นคงเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร” เขาตบอกตนเองพร้อมพูดด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ  

 

 

“เจ้าเคยได้ยินคำบอกเล่านี้หรือไม่ ‘เสวียนเหมินดั้งเดิม ชิงหยางที่หนึ่ง’ นี่หมายถึงสำนักชิงหยางแห่งนี้ คิดย้อนไปถึงช่วงยุคบรรพบุรุษ สำนักทั้งหลายในเสวียนเหมินล้วนยึดสำนักชิงหยางเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการจับผีขับไล่สิ่งชั่วร้ายหรือการปราบมารกำจัดปีศาจ ไม่เคยมีใครเทียบเทียมได้” 

 

 

“อ่อ” 

 

 

“จริงๆ นะ!” ชายแก่เอื้อมมือมาหยิบตำราในมือเธอออกพร้อมเอ่ย  

 

 

“เจ้าหนู เจ้าเชื่อข้า สำนักชิงหยางของพวกข้าเป็นสำนักที่ยอดเยี่ยมและมีอนาคตอย่างเป็นที่สุด” 

 

 

“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวหันหน้าไปมองเขาพร้อมเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า  

 

 

“อารามกว้างขนาดพันตารางเมตร แต่เหลือท่านอยู่คนดียว มีอนาคตจริงๆ” 

 

 

ชายแก่สำลักไปทีหนึ่ง สายตากรอกไปมาอย่างล่องลอย แต่ก็ยังกัดฟันเอ่ยต่อ  

 

 

“นั่น…นั่นเป็นเพราะว่าสำนักของเรา…เข้มงวดในการรับศิษย์ ใช่! เข้มงวด คนทั่วไปเราไม่รับ เราจะรับแต่คนที่มีพรวสรรค์เท่านั้น เช่นคนอย่างท่าน คนมีพรสวรรค์แต่ไม่ได้เปิดตาทิพย์?” อวิ๋นเจี่ยวเอียงคอเป็นเชิงถาม 

 

 

“…” 

 

 

ฉึบ! หน้าอกราวกับถูกปักด้วยมีด 

 

 

อย่าโจมตีจุดอ่อนของคนอื่นแบบนี้สิ 

 

 

(;´༎ຶД༎ຶ`) 

 

 

ฮือๆ…รู้อย่างนี้เขาจะไม่บอกนางเรื่องที่ยังไม่เปิดตาทิพย์ตั้งแต่แรก 

 

 

ไม่เปิดตาทิพย์แล้วไง! ถึงแม้จะไม่ได้เปิดตาทิพย์ แต่เขาก็ยังสามารถดูโหงวเฮ้งวาดยันต์ได้อยู่ดี 

 

 

เขาก็แค่…ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น มันต้องเปิดในสักวันเป็นแน่ 

 

 

“เจ้าหนู เจ้าเชื่อข้า เข้าร่วมสำนักชิงหยางของพวกเรา เจ้าไม่เสียหายแน่นอน” ชายแก่ลูบอกเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจตัวเอง แต่ก็ยังไม่ย่อท้อโน้มน้าวเธอต่อ  

 

 

“เจ้าไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือ เจ้าดูสิว่าอารามของพวกเราใหญ่ขนาดไหน ขอแค่เพียงเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าจะอยู่ตรงไหนก็ได้ อีกทั้งยังมีคัมภีร์เต๋าอีกมากมาย ขอเพียงแค่เจ้ายอมอยู่ ข้าจะ…” 

 

 

“ตกลง” 

 

 

“จริงๆ นะ อาจารย์ปู่ของข้าเป็นถึง…เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ” เมื่อกี้เขาหูฝาดหรือ 

 

 

“เจ้าหนูเจ้า… เจ้าตอบตกลงหรือ” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวปลายตามองเขาเล็กน้อย กำลังจะพยักหน้า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก พร้อมกันนั้นยังได้ยินเสียงอันร้อนรนตามมาด้วย 

 

 

“ท่านนักพรตไป๋! ท่านเซียนไป๋อยู่หรือไม่ ได้โปรดช่วยลูกข้าที ท่านนักพรตไป๋…ท่านเซียนไป๋!” 

 

 

“มีงานเข้าแล้ว!” ชายแก่ตาสว่างขึ้นมาในทันใด โยนตำราในมือทิ้งแล้วเดินออกไปนอกห้อง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะตะโกนบอกเธอว่า “เจ้าหนู เจ้าตอบตกลงแล้ว ห้ามกลับคำนะ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเห็น อะไรเรียกว่าเสวียนเหมินอะไรเรียกว่าวิชาแห่งเต๋า!” พูดจบก็ชี้ไปยังหน้าประตูแล้วพูดว่า “เจ้าไปช่วยข้าเปิดประตูก่อน ข้าเปลี่ยนชุดเสร็จจะรีบตามไป” 

 

 

พูดจบก็ไม่รอเธอตอบ หันกลับเข้าห้องของตนไปในพริบตา 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวคิ้วขมวดเล็กน้อย เธอไม่ได้สนใจวิชาเต๋าหรือเสวียนเหมินอะไรเท่าไหร่ แต่เธอแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตาของเธอ 

 

 

ไม่ใช่มีคำพูดหนึ่งที่ว่า ตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดทิ้งจนเหลือความเป็นไปได้สุดท้าย ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เหลวไหลแค่ไหน ก็เป็นไปได้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง 

 

 

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เธออาจจะ…มองเห็นผี! 

 

 

ชายแก่ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้ การอยู่ที่นี่อาจจะหาวิธีรักษาก็เป็นได้ อีกทั้งหลังจากมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่เคยเห็นเงาแปลกประหลาดพวกนั้นอีกเลย 

 

 

ที่สำคัญเธอก็ไม่มีที่ไปจริงๆ 

 

 

… 

 

 

หน้าอารามมีคนอยู่สองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง หญิงสาวสวมชุดเก่าที่เต็มไปด้วยรอยปะ รูปร่าง ผอมแห้ง หลังค่อมลงเล็กน้อย ใบหน้านั้นแดงเถือกราวกับว่าเดินเร็วจนหายใจไม่ทัน สีหน้าแสดงออกถึงความร้อนใจ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังพยุงเธอ ดูแล้วน่าจะเป็นคู่แม่ลูก 

 

 

“ท่านคือ…” พอเห็นอวิ๋นเจี่ยวออกมา หญิงสาวผู้เป็นแม่ดูตะลึงไปสักพัก ก่อนที่จะมองเธอด้วยสายตาพินิจในดวงตานั้นมีอารมณ์ที่บอกไม่ถูกแวบผ่านไป สายตานั้นราวกับไม่ได้กำลังมองคน แต่เป็นการมองสิ่งของ อีกทั้งยังถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวราวกับต้องการจะหลบอะไรสักอย่าง ในแววตานั้นเหมือนกับ…ดูถูก? 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกไม่พอใจอย่างไร้สาเหตุ “พวกท่านมาหาใคร” 

 

 

“พวกข้ามาหาท่านนักพรตไป๋ ท่านอยู่หรือไม่ เจ้าหลบไป ข้ามีเรื่องเร่งด่วน” หญิงสาวคนนั้นไม่สนใจเธอ แต่กลับมองเข้าไปภายในอาราม ราวกับอยากจะบุกเข้าไปหาเอง 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว คิดจะห้ามหญิงสาวผู้เป็นแม่ แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปราม เสียงทุ้มของชายแก่ก็ดังขึ้นจากข้างหลัง  

 

 

“ผู้ใดส่งเสียงดังที่หน้าอาราม” ทั้งสามคนหันหน้าไปยังต้นเสียงพร้อมกัน 

 

 

“ท่านเซียนไป๋” หญิงสาวผู้เป็นแม่ทำสีหน้าดีใจ มองไปยังข้างในอย่างตื่นเต้น 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวกลับมีท่าทีตะลึงงัน มุมปากกระตุก คนที่เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตขาวสะอาดนั้นกำลังเดินมาทางที่พวกเธออยู่อย่างช้าๆ แขนเสื้อและชายกระโปรงปลิวไหวเมื่อลมพัดผ่าน ราวกับกำลังจะกลายเป็นเทพ ลอยขึ้นไปบนฟ้า ในมือของชายแก่ถือแส้ขนหางจามรี สายตาฉายแววเย็นชาลึกล้ำ ไม่เหลือร่องรอยความ หน้าด้านของตอนที่ขอร้องให้เธออยู่ ราวกับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ละทางโลกจริงๆ เหลือเพียงแค่ไม่ได้เขียนคำว่านักพรตบำเพ็ญเซียนไว้บนหน้าเท่านั้น 

 

 

ราวกับคนละคนในป่าที่มือหนึ่งถือกางเกง มือหนึ่งถือสายคาดเอวกำลังจะจบชีวิตของตนเองที่เธอเจอในตอนแรก ราวกับคนละคนจริงๆ ! 

 

 

ที่แท้ก็กลับห้องไปเปลี่ยนอุปกรณ์เองหรอกเหรอ