ตอนที่ 5 ออกไปดูโลกภายนอก

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

“ในที่สุดก็ได้เจอท่านแล้ว!” หญิงสาวผู้เป็นแม่ตาสว่าง ถูมือทั้งสองข้างไปมาอย่างตื่นเต้น ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วยกมือไหว้ “ข้าขอคารวะท่านนักพรตไป๋ ท่านเซียนไป๋!” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ทำความเคารพตามนาง 

 

 

“อืม” ชายแก่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าแสดงถึงความสูงส่งยากเกินจะเอื้อมถึง “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่” 

 

 

“ท่านเซียนไป๋…” หญิงสาวผู้เป็นแม่นึกถึงเรื่องที่มาที่นี่ก็ยิ่งร้อนรน “พวกข้าเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลหลี่ด้านล่างเขา ขอให้ท่านเซียนได้โปรดช่วยลูกข้าที เขา…เขาจะทนไม่ไหวแล้ว” พูดไปพลางน้ำตาไหลไปพลาง 

 

 

“เกิดเรื่องใดขึ้น ไยถึงขอให้ข้าช่วยเขา” ชายแก่ถามต่อ 

 

 

“เขา…เขาถูกผีเข้า!” หญิงสาวร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหล “เมื่อเจ็ดวันก่อน ลูกข้าได้ล้มป่วยลง ตอนแรกเพียงแค่มีอาการปวดหัว หายใจไม่ทัน แต่อาการนับวันยิ่งหนักขึ้น ตอนนี้เขาพูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้แล้ว อีกทั้งบนตัวยัง…ยังมีรอยจ้ำ…จ้ำเลือดสีดำ!” 

 

 

“รอยจ้ำเลือด?” ชายแก่ตะลึง คลำหนวดขาวของตนเบาๆ พักหนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ว่า “แปลกตามที่เจ้าว่าจริงๆ แต่ข้าไม่ได้เห็นกับตา ไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด บังเอิญอารามข้ายังมีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการ คงจะไม่สะดวก…” 

 

 

“ท่านเซียน!” หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงไปทันที ร้องไห้ไปเอ่ยขอร้องไป “ลูกข้าต้องโดนสิ่งชั่วร้ายตามรังควานเป็นแน่ ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า ในบริเวณรอบๆ ร้อยลี้นี้ มีแค่ท่านที่สามารถช่วยชีวิตลูกข้าได้ ได้โปรดช่วยลูกข้าทีเถอะ” 

 

 

ชายหนุ่มด้านข้างนางคุกเข่าตามลงไป “ใช่แล้ว ท่านเซียน ท่านได้โปรดช่วยชีวิตน้องรองข้าทีเถอะ พวกข้ายินดีที่จะบริจาคค่าธูปเทียนสามสิบ…ไม่! สี่สิบตำลึง” พูดจบก็กำถุงในมือแน่ ก่อนจะกัดฟันแล้วยื่นออกไป 

 

 

“พวกเจ้า…” ชายแก่ทำสีหน้าลำบากใจ แต่นัยน์ตากลับแวววาวขึ้นมาทันใด ลูบหนวดของตัวเองแล้วพยักหน้า “เห้อ! ช่างเถอะๆ ข้าจะไปกับพวกเจ้าสักรอบแล้วกัน!” พูดจบก็รับถุงในมือของอีกฝ่ายมา 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” นี่นางกำลังดูถ่ายทอดสดกลลวงมิจฉาชีพเหรอเนี่ย ทันใดนั้นนางคิดถึงยอดเงินในบัญชีที่เป็นศูนย์ของตนเอง รีดไถเป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานของคนแก่เหรอ 

 

 

“ขอบคุณท่านเซียน ขอบคุณท่านเซียน!” แต่คนที่คุกเข่าสองคนดันมีสีหน้าซาบซึ้งดีใจ 

 

 

“พวกเจ้าสองคนรออยู่ตรงนี้ก่อน เจ้าหนู ตามข้ากลับอารามจัดเตรียมเครื่องมือ เตรียมตัวลงเขากำจัดสิ่งชั่วร้าย!” พูดจบชายแก่ก็ลากนางกลับเข้าอาราม 

 

 

“…” เขาจะไปจริงเหรอ! ถ้าถึงเวลานั้นรักษาไม่หาย ต้องโดนตีตายแน่ๆ 

 

 

ชายแก่เริ่มค้นลังรื้อตู้ พลางค้นพลางยัดยันต์ใส่มือนางหนึ่งปึก “มา เจ้าหนู ถือยันต์ไว้ดีๆ ” 

 

 

“ท่านจะไปจริงเหรอ?” อวิ๋นเจี่ยวมองผ้ายันต์ในมือตัวเอง 

 

 

“แน่นอนสิ” เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับ พร้อมตบอกตัวเองแรงๆ ก่อนจะเอ่ย “วางใจเถอะ ในรอบๆ สิบลี้นี้ ไม่มีใครกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้เก่งเท่าข้าแล้ว” 

 

 

“…” ในรอบสิบลี้นี้ก็มีแค่ท่านคนเดียวที่เป็นนักพรตมั้ง 

 

 

ชายแก่เก็บของเสร็จก็ลากนางออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ราวกับอยากจะรีบแสดงวิชาอันยิ่งใหญ่ลึกล้ำให้นางดูอย่างนั้น 

 

 

“ท่านเซียน เชิญทางนี้!” แม่ลูกสองคนนั้นเห็นพวกเขาเดินออกมาก็รีบเดินเข้ามารับ ก่อนที่จะเดินนำทาง 

 

 

ลมพายุที่เคยพัดอยู่รอบๆ หยุดลงอย่างสนิท เพียงแต่ต้นไม้ในป่านั้นโดนพัดล้มลงเป็นแถบ อีกทั้งลักษณะนั้นราวกับไม่ใช่ถูกลมพัดล้มลง เพราะดูจากรอยตัดอย่างเป็นระเบียบนั้นแล้ว ต้นไม้เหล่านั้นราวกับถูกของมีคมฟันให้ล้มลงไปมากกว่า เห็นดังนั้นจึงทำให้นางมีความเข้าใจในลมที่พัดมากยิ่งขึ้น ที่พัดนั่นมันมีดจริงๆ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกโชคดีขึ้นมาที่ตอนนั้นได้เจอชายแก่ ถึงได้หลบอยู่ในอาราม ไม่อย่างนั้นนางคงเหมือนต้นไม้พวกนี้ ได้นอนแน่นิ่งอยู่ที่นี่อย่างถาวรเป็นแน่ อารามถึงแม้จะเก่าแต่ไม่รู้ทำไมลมถึงพัดไปไม่ถึงที่นั่น 

 

 

ชายแก่เคยพูดไว้ว่าภูเขาแห่งนี้ชื่อว่าเขาขุยซาน ส่วนแม่ลูกสองคนนั้นก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ด้านล่างเขา แต่เขาขุยซานกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก กว่าจะเดินลงจากเขาได้ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมง อาจจะเป็นเพราะเป็นห่วงอาการป่วยของลูกชาย ทั้งสองคนเดินอย่างรีบร้อน 

 

 

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่วายจะหันหลังกลับมามองนางบ่อยครั้ง ราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ ในสายตาเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์ยิ่งกว่าในตอนแรก อีกทั้งยังเจือปนไปด้วยความตะลึง ราวกับไม่เข้าใจที่ชายแก่พานางมาด้วย 

 

 

แม้กระทั่งชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็เช่นกัน แต่ในสายตาของเขากลับมีความหมายอื่นเพิ่มเติม 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวอารมณ์ยิ่งไม่ดีขึ้นไปมากกว่าเดิม รู้สึกคิดถึงมีดผ่าตัดของตัวเองขึ้นมา 

 

 

“ท่านเซียน ใกล้จะถึงแล้ว” พอเห็นใกล้จะถึงด้านล่างเขาแล้ว หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “จริงสิ ไม่ทราบว่าแม่หญิงท่านนี้คือ…” 

 

 

ชายแก่กลับไม่สังเกตถึงสายตาที่แปลกประหลาดของพวกเขา ตอบกลับว่า “นี่เป็นศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาของอาราม แซ่อวิ๋น” 

 

 

“อะไรนะ!” หญิงสาวตะลึงตาโต สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ สักพักถึงได้หัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นนักพรตอีกท่านนี่เอง” พูดจบก็รีบเก็บสายตาพินิจพิเคราะห์นั้นและไม่หันหลังกลับมามองอีก 

 

 

ทั้งสี่คนเดินทางเป็นเวลาสองชั่วโมง ถึงจะถึงหมู่บ้านตระกูลหลี่ที่แม่ลูกสองคนนั้นว่า คนในหมู่บ้านมีไม่เยอะ มีเพียงสิบกว่าหลังคาเรือนเท่านั้น บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ห่างกันสองสามลี้ถึงจะมีบ้านหนึ่งหลัง 

 

 

หญิงสาวผู้เป็นแม่และลูกชายคนโตอาศัยอยู่บริเวณตีนเขาพอดี เป็นบ้านดินที่ไม่ใหญ่มาก มีสวนอยู่ด้านหน้า ในสวนนั้นวางของใช้ไว้มากมาย ราวกับไม่ได้เก็บเป็นเวลานาน ของต่างๆ ถูกวางอย่างระเกะระกะไว้อย่างนั้น 

 

 

อาจจะเพราะเป็นห่วงลูกชาย ทั้งสองคนพาไป๋อวี้และอวิ๋นเจี่ยวเดินไปยังห้องทางด้านขวาทันที “ท่านเซียน ลูกชายคนรองของข้าอยู่ในนั้น” 

 

 

“อืม” ชายแก่พยักหน้า เดินตามไปอย่างไม่รีรอ 

 

 

ภายในห้องมืดสลัว ถึงแม้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่กลับไม่มีแสงส่องเข้าไปถึงเท่าไหร่ พวกเขาเห็นเพียงเงาลางๆ ของคนที่นอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง รูปร่างผอมแห้ง ได้ยินแต่เพียงเสียงหายใจรัวเร็วราวกับหายใจไม่ทัน ทั้งห้องมีแต่เสียงหายใจของคนที่นอนอยู่บนเตียง เสียงที่ออกมานั้นราวกับเครื่องสูบลมที่พังไปแล้ว 

 

 

“ลูก!” หญิงสาวผู้เป็นแม่ร้องอย่างตกใจ ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปทั้งน้ำตา “ข้าเชิญท่านเซียนมาแล้ว เจ้ารอดแล้ว รอดแล้ว!” 

 

 

ชายแก่ก็ไม่วายที่จะเร่งฝีเท่าเดินเข้าไป อยากจะดูอาการของอีกฝ่ายอย่างละเอียด 

 

 

แต่อวิ๋นเจี่ยวที่เพิ่งก้าวขาเข้าไปในห้องนั้นกลับกระตุกที่มุมปากไปทีหนึ่ง 

 

 

แม่เอ้ย! 

 

 

… 

 

 

“ท่านเซียน ท่านช่วยดูลูกชายข้าที เขาเป็นอะไรกันแน่” พอเข้าไปในห้องหญิงสาวผู้เป็นแม่ก็เร่งเร้าขึ้นอย่างร้อนใจ แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้เตียงมากเกินไป ราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง 

 

 

ชายแก่เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว มองไปยังชายหนุ่มที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง อาจจะเป็นเพราะป่วยเป็นเวลานาน ชายหนุ่มตอนนี้รูปร่างผอมจนเหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แก้มยุบบุ๋มลงไป สีหน้าหมองคล้ำ สภาพค่อนข้างแย่ 

 

 

ชายแก่มองเพียงชั่วครู่ก็ละสายตาออก หันไปสำรวจยังรอบห้อง จากนั้นปัดหนวดขาวราวกับหิมะของตัวเองเบาๆ การกระทำนั้นยิ่งทำให้เขาดูเหมือนเทพบนสวรรค์มากขึ้นไปอีก ชายแก่เงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “ที่แห่งนี้มีพลังงานหยินมาก ดูท่าจะมีสิ่งชั่วร้ายอยู่จริงๆ” 

 

 

“ข้าว่าแล้วต้องมีสิ่งชั่วร้าย!” หญิงสาวผู้เป็นแม่สบตากับลูกชายคนโต ใบหน้าแสดงออกซึ่งความดีใจ เดินขึ้นหน้าถามอย่างรีบร้อนว่า “ท่านเซียนมีวิธีจัดการหรือไม่” 

 

 

ชายแก่ขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าหนักใจ ก่อนที่จะเอ่ย “ข้าจะลองทำพิธีก่อน เพียงแต่การขับไล่สิ่งชั่วร้ายเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง พวกเจ้าแม่ลูกไม่มีพลังที่จะปกป้องตนเองได้ เพื่อให้ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งสองหลบออกไปข้างนอกก่อนจะดีกว่า อย่าเข้าใกล้ที่นี่เกินไป” 

 

 

แม่ลูกสองคนนั้นได้ยินดังนี้ หันกลับไปมองคนที่อยู่บนเตียงทีหนึ่ง ไม่ได้ลังเลนานก็พยักหน้ารับและถอยออกไป อีกทั้งยังปิดประตูให้ด้วย 

 

 

พอเห็นสองคนนั้นออกไป ชายแก่ก็เปลี่ยนท่าทีไปทันที พลางหยิบของในกระเป๋าข้างตัวพลางยัดของอย่างหนึ่งใส่มืออวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู ถือไว้! เดี๋ยวข้าจะท่องคาถา แล้วเจ้าเขย่า ยิ่งเสียงดังยิ่งดี ให้สองคนด้านนอกได้ยินก็พอ” พูดเองเออเองจบก็หยิบตำราออกมาหนึ่งเล่ม แล้วก็ท่องคาถาตามตำรานั้นอย่างเสียงดัง 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวอึ้งไปสักพัก ก้มลงมองของในมือ เห็นแต่เพียงกระดิ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ เหมือนกับของสามอันสิบบาทที่ขายแบกับดินแบบเมื่อก่อน 

 

 

“เขย่าสิ!” เห็นนางยืนนิ่งเป็นเวลานาน ชายแก่พลักนางเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ใช้เวลาไม่นาน พิธีไล่ผีสี่สิบตำลึง เขย่าแค่หนึ่งเค่อก็พอ สองคนช่วยกันชั่วครู่ก็เสร็จแล้ว” 

 

 

“…” 

 

 

เพราะฉะนั้น…เขาลากนางมาที่นี่ เพื่อเป็นคนสั่นกระดิ่งเนี่ยนะ? 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก หายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองคนข้างหน้า ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “แบบนี้…ไล่ผีได้จริงเหรอ” 

 

 

“แน่นอนสิ! แต่ก่อนข้าก็ทำแบบนี้แหละ” 

 

 

“ท่านแน่ใจ?”