เล่ม 1 ตอนที่ 4 เตะครั้งเดียวลอยกระเด็น

สลับชะตา ชายามือสังหาร

หลี่เฉิงมองดูร้านขายสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าเหยียดหยามพลางเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าว่านะ หนังหน้าเจ้าหนาถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยังคิดจะซื้อสัตว์อสูรวิเศษส่งไปให้มู่หรงอาน หวังจะให้เขาดีกับเจ้าสักหน่อยอย่างนั้นน่ะหรือ เจ้าฝันไปเถิด! เจ้านี่ช่างไม่ดูสารรูปตัวเองเสียบ้างเลย คนเบี่ยงเบนคนหนึ่ง ถึงกับกล้าคิดฝันว่าคุณชายอันดับหนึ่งเขาจะเหมือนกันกับเจ้าหรืออย่างไร คนไร้ค่าเช่นเจ้าควรจะเชือดคอตัวเองตายเพื่อขอบคุณฟ้าดินเสีย! เจ้ามีชีวิตอยู่ไปก็เปลืองอาหารเปล่าๆ นั่นแหละ! ถ้าหากข้าเป็นเจ้าก็คงจะไปตายตั้งนานแล้ว!”

 

“พล่ามพอแล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหลี่เฉิงอย่างเย็นชา “คราวก่อนเจ้าร่วมมือกับพวกเขาทุบตีข้า คนที่ทุบตีข้ามากที่สุดก็คงเป็นเจ้านี่แหละ วันนี้ข้าได้มาพบเจ้าก็นับว่าเจ้าโชคร้ายเอง!”

 

“ฮ่าๆๆๆ!” คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้หลี่เฉิงขบขันนัก จึงหัวเราะเสียงดังหลายครั้ง “ฟังจากวาจาสามหาวของเจ้าแล้ว เจ้าคิดจะชำระแค้นกับข้าหรืออย่างไร ฮ่าๆๆ ข้าคงมิได้ฟังผิดไปกระมัง คนไร้ค่าเช่นเจ้า ยังคิดจะประมือกับข้าอีกหรือ! ในเมื่อวันนั้นมิได้ตีเจ้าจนตาย เช่นนั้นวันนี้ก็ให้ข้าจัดการเจ้าเสีย เจ้าจะได้ไม่ทำให้ชายชาตรีอย่างพวกเราต้องขายหน้าอีก!”

 

พูดจบแล้วหลี่เฉิงก็เริ่มรวบรวมปราณวิญญาณภายในร่างกาย ก่อรูปร่างเป็นทรงกลมสีแดงสว่างกลุ่มหนึ่งบนฝ่ามือ

 

ถึงแม้ว่าถนนเส้นที่ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเดินเที่ยวมานั้นจะคึกคักเป็นอย่างยิ่ง แต่ตรอกที่เลี้ยวเข้ามานั้นกลับเงียบสงัด ไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว หากฆ่าซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้งเสียที่นี่ก็คงไม่มีใครพบเห็น ดังนั้นหลี่เฉิงจึงเลือกที่จะลงมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

เขาไม่ชอบใจชายที่ทำให้บุรุษอื่นขายหน้าผู้นี้มานานแล้ว เหตุใดคนเช่นเขาจึงต้องมีสถานะเช่นนั้นด้วย โลกนี้ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูลูกไฟที่รวมตัวกันอยู่บนฝ่ามือของหลี่เฉิงก็รู้ได้ว่านี่ก็คือพลังของปรมาจารย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าพลังของเขาจะไม่ได้สูงส่งมาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายเธอจะต้านทานได้เลย ดังนั้นจึงบุกโจมตีเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนที่หลี่เฉิงจะรวบรวมลูกไฟได้สำเร็จ มือขวาเงื้อมีดฟันตรงไปยังลำคอของเขา

 

หลี่เฉิงนึกไม่ถึงว่าไม่พบกันแค่วันเดียว ซือหม่าโยวเย่ว์จะเปลี่ยนกลายเป็นคนละคนเช่นนี้ได้ พอเห็นว่าตนจะสังหาร นอกจากจะไม่หลบหนี ยังพุ่งเข้ามาโจมตีตนตรงๆ การเคลื่อนไหวของเขาเหมือนกับกระต่ายจอมเจ้าเล่ห์ มาถึงตรงหน้าตนอย่างรวดเร็ว กระแสลมจากมีดที่เคลื่อนไหวด้วยฝ่ามือทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง

 

ในขณะที่กำลังจะโดนซือหม่าโยวเย่ว์ฟัน หลี่เฉิงก็ขว้างลูกไฟสีแดงบนฝ่ามือที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ ส่วนตนเองถอยร่นไปด้านหลังหลายก้าวเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของซือหม่าโยวเย่ว์

 

ถึงแม้ว่าลูกไฟลูกนี้จะยังสร้างไม่สมบูรณ์ แต่ยังมีพลังโจมตีมหาศาลอยู่ดี ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงพลังที่รวมอยู่ในลูกไฟ คิดว่าไม่อาจปะทะด้วยตรงๆ ได้ จึงรีบเบี่ยงหลบไปทางขวา แต่เพราะระยะทางใกล้เกินไป และลูกไฟก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเธอจะหลบเลี่ยงการปะทะกับลูกไฟตรงๆ แล้ว แต่ก็ยังถูกพลังที่เฉียดผ่านหัวไหล่เผาไหม้แขนซ้ายจนบาดเจ็บอยู่ดี

 

“ตึง…” ลูกไฟหล่นลงไปที่พื้นพื้นเผาไหม้ดินจนกลายเป็นหลุมเล็กๆ

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหลุมที่ถูกเผาแล้วก็ตกใจกับความร้ายกาจของพลังวิญญาณนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งในโลกเดิมของเธอ แต่เมื่อเทียบกันกับพลังเช่นนี้แล้วก็เหมือนกับแม่มดน้อยพบพญาแม่มดเลยทีเดียว!

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพลังเช่นนี้ออกมาจากร่างกายมนุษย์อีกด้วย!

 

“โอ๊ย…”

 

ความเจ็บปวดบนท่อนแขนดึงให้เธอต้องร้องอุทานแล้วก้มหน้าลงมอง ถึงแม้ว่าจะถูกขอบลูกไฟถากผ่านเบาๆ แต่เสื้อผ้าของเธอก็ยังถูกเผาไหม้ถึงขนาดที่ทั่วทั้งแขนถูกแผดเผาจนบาดเจ็บไปหมด

 

“ฮ่าๆ คราวนี้คงรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของข้าแล้วสินะ!” หลี่เฉิงคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหลบหลีกไปได้ แต่ก็เห็นว่านางตื่นตระหนกกับผลลัพธ์ของพลังวิญญาณที่ตนสร้างขึ้นมาจึงเกิดความลำพองใจขึ้น “คนไร้ค่าอย่างเจ้าไม่มีทางได้ครอบครองพลังเช่นนี้ไปตลอดกาล! มิสู้ข้าช่วยสงเคราะห์เจ้าสักขั้นตอนหนึ่ง ให้เจ้าไปเกิดใหม่เร็วขึ้นสักหน่อย บางทีชาติหน้าเจ้าอาจจะบำเพ็ญได้ก็ได้นะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหลี่เฉิงวางแผนจะรวบรวมพลังอีกครั้ง มีหรือจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง จึงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนว่าท่อนแขนจะเจ็บปวดเพียงใด มีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว เธอไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสได้รวบรวมพลังออกมาอีก!

 

หลี่เฉิงคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับบาดเจ็บแล้วจะยังวิ่งได้รวดเร็วกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก เขาเพิ่งจะรวบรวมพลังวิญญาณได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มาถึงตรงหน้าเขาเสียแล้ว ไม่พูดมากความก็ยกเท้าขึ้นเตะที่ท้องของเขา ทำให้เขากระเด็นไปไกลทีเดียว แล้วจึงร่วงลงกระแทกพื้น

 

“พรวด…” เลือดสดคำหนึ่งกระอักออกมาจากปากของหลี่เฉิง เขามองดูคราบเลือดบนพื้นอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถึงกับถูกคนไร้ค่าคนหนึ่งโจมตีจนเลือดตกยางออกเชียวหรือ! “คนไร้ค่าอย่างเจ้ากล้ามาโจมตีข้าเชียวหรือ! แค่กๆ…”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่พูดไม่จา เธอมาถึงข้างกายหลี่เฉิงก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนแล้วเตะเข้าครั้งหนึ่ง หลี่เฉิงยังไม่ทันยืนให้มั่นก็ถูกเตะกระเด็นลงไปที่พื้นอีกครั้ง

 

สิ่งที่ปรมาจารย์วิญญาณเชี่ยวชาญก็คือรวบรวมพลังวิญญาณออกมา ทว่าร่างกายไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนทั่วไป เมื่อถูกซือหม่าโยวเย่ว์เตะไปสองครั้ง หลี่เฉิงก็เจ็บปวดเสียจนลุกไม่ขึ้น ได้แต่ตะเกียกตะกายร้องโอดโอยอยู่บนพื้น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาพลางหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิได้ชอบเตะข้าหรืออย่างไร พอถูกผู้อื่นเตะแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างเล่า”

 

เธอในชาติก่อนคุ้นเคยกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง รู้ดีว่าเตะตรงไหนแล้วจะทำให้ทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จึงยกเท้าถีบเขาเข้าให้อีกครั้งหนึ่ง

 

“เจ้าคนชั่วช้า รอให้ข้าหายดีก่อนเถิด ข้าจะต้องสังหารเจ้าทิ้งอย่างแน่นอน!” ความเจ็บปวดบนร่างกายทำให้หลี่เฉิงสูญเสียเหตุผล จึงอ้าปากตะโกนด่าเสียงดัง

 

“เจ้าเตือนข้าขึ้นมาพอดีเลย การไม่ถอนรากถอนโคน พอสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดโชยก็จะงอกขึ้นมาใหม่อีก ข้าควรจะตัดโอกาสแก้แค้นของเจ้าทิ้งเสียดีหรือไม่!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เตะเขาซ้ำอีกหลายครั้งเหมือนกับที่เขาเตะเจ้าของร่างเดิมในตอนนั้น เธอเตะไปบนร่างเขาอย่างรุนแรง เตะจนกระทั่งเขาหมดสติไป

 

นึกถึงที่เขาบอกเมื่อครู่ว่าพอหายดีแล้วจะมาแก้แค้นตน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กลัวเขาตามล้างแค้น แต่ก็ไม่อยากจะหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาพูดคำหนึ่งก็ด่าตนว่าคนไร้ค่าคำหนึ่งหรืออย่างไร เช่นนั้นก็ทำให้เขากลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียสิ!

 

เธอมองเห็นก้อนหินที่มุมกำแพงแล้วก็แย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ

 

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นเพียงแค่ผู้ลงมือ แต่ว่าเจ้าก็หมายเอาชีวิตนาง ดังนั้นข้าก็มิอาจปล่อยเจ้าไปได้หรอกนะ! ในเมื่อเจ้าดูแคลนคนไร้ค่ามากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ให้เจ้าได้ลิ้มรสการเป็นคนไร้ค่าดูสักหน่อยดีไหมเล่า ข้าช่างมีเมตตาเหลือเกิน เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ!”

 

“อ๊ากกก…” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจดังออกมาจากในตรอก ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อดที่จะหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่งมิได้

 

เธอโยนก้อนหินโชกเลือดในมือทิ้งไปแล้วปัดมือไปมาพลางเอ่ยว่า “เจ้าต้องการชีวิตนาง ข้าทำลายเส้นลมปราณของเจ้า ก็นับได้ว่าแก้แค้นแทนนางแล้ว หลังจากที่เจ้าตื่นขึ้นมาก็ลองลิ้มรสชาติการถูกผู้อื่นเรียกว่าคนไร้ค่าดูบ้างแล้วกัน! โอ๊ย… ช่างเจ็บปวดจริงๆ”

 

พอพูดจบเธอก็กุมแขนออกมาจากตรอกแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

หลังจากที่เธอจากไปแล้ว ตรงสุดตรอกก็มีเงาร่างคนสองร่างปรากฏขึ้น คนหนึ่งสวมชุดสีม่วงตลอดร่าง  มีใบหน้าอันชั่วร้าย ร่างกายสูงเพรียว อารมณ์บนใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในดวงตากลับฉายแววสนใจระยิบระยับ

 

ส่วนอีกคนหนึ่งมีเรือนผมสีแดงเพลิงทั่วทั้งศีรษะ อาภรณ์ทั้งร่างราวกับเปลวเพลิงลุกโชติช่วง มองดูแล้วราวกับมิใช่มนุษย์จริงๆ

 

สัตว์อสูรจำแลง!

 

“คิดไม่ถึงว่าผ่านมาทางนี้แล้วจะได้เห็นละครฉากนี้เข้า เด็กสาวที่ไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณ ถึงกับทำให้ปรมาจารย์วิญญาณผู้หนึ่งกลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียได้! ช่างร้ายกาจโหดเหี้ยมเสียจริง!” กิเลนเพลิงเอ่ยชม

 

อูหลิงอวี่มองดูคนที่อยู่บนพื้น เมื่อนึกถึงว่าเด็กสาวคนนั้นทำให้คนกลายเป็นคนไร้ค่าได้แบบตาไม่กะพริบแล้วจึงแย้มยิ้มร้ายกาจพลางเอ่ยว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ”

 

ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะสวมแหวนมนตร์เพื่อซ่อนเร้นเพศของตน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสองก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย พวกเขามองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเธอเป็นหญิง

 

“เจ้านายขอรับ ท่านเป็นถึงผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษ อย่าทำเช่นนี้สิขอรับ!” กิเลนเพลิงมองดูรอยยิ้มเมื่อครู่ของอูหลิงอวี่ที่ราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับซือหม่าโยวเย่ว์ แล้วก็เอ่ยตักเตือน

 

อูหลิงอวี่เหลือบมองกิเลนเพลิงปราดหนึ่งแล้วก็กลับไปมีท่าทีศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพเช่นเดิม จากนั้นก็หายตัวไปจากตรอกพร้อมกับกิเลนเพลิงราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นที่นี่เลยอย่างไรอย่างนั้น

 

………………………