เล่ม 1 ตอนที่ 3 พบศัตรูคู่แค้น

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“เย่ว์เอ๋อร์เอ๋ย เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลยนะ รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วข้าจะให้บรรดาพี่ชายของเจ้าพาเจ้าไปแก้แค้น ใครกล้าต้านทาน ก็ให้พวกเขาจับตัวเอาไว้แล้วให้เจ้าทุบตีจนหนำใจ!” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบมาตลอดจึงคิดว่านางยังโกรธอยู่ จึงได้แต่พูดชี้แนะอยู่ข้างๆ

ทว่าท่านปู่คิดว่าการพูดชี้แนะอย่างนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ นี่ไม่ได้ยุยงให้เธอไปก่อปัญหาหรืออย่างไร! ทว่าหลังจากคนที่เป็นเด็กกำพร้าในชาติก่อนอย่างเธอได้ยินคำพูดของซือหม่าเลี่ยแล้ว ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

นี่คือความรู้สึกของคนในครอบครัวสินะ!

หลังจากกินยาวิเศษลงไปไม่กี่นาที ความเจ็บปวดบนร่างกายก็หายไป เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาการบาดเจ็บบนร่างกายก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งจะมีประสบการณ์กับเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ในใจจึงรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์

“ท่านปู่ ของสิ่งนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้เธอเปี่ยมพลังและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“ฮ่าๆ ไม่เลวนี่” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปากก็พยักหน้าชื่นชม จากนั้นก็ทอดถอนใจอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “เฮ้อ น่าเสียดายที่คนบ้านเราล้วนไม่อาจหลอมยาได้ มิฉะนั้นตอนเจ้าบาดเจ็บในครั้งนี้ ข้าก็ไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้เพื่อให้ได้ยาวิเศษเม็ดนี้มาหรอก”

“บ้านเราไม่มียาวิเศษหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม ดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงจวนแม่ทัพเชียวนะ หลอมยาวิเศษไม่ได้ก็ไม่มีติดบ้านบ้างเลยหรือไร

“ยาวิเศษที่บ้านเราเก็บสะสมไว้ล้วนเป็นขั้นหนึ่งแทบทั้งหมด ยาวิเศษขั้นสองที่มีอยู่บ้างเล็กน้อยก็ไม่ได้เอาไว้รักษาแผล ไม่อาจทำให้เจ้าดีขึ้นมาได้โดยเร็ว ดังนั้นข้าจึงได้ไปพบใต้เท้าศิลาเพื่อร้องขอยาวิเศษ เฮ้อ ต้องตำหนิปู่เองที่ยามปกติมีนิสัยมุทะลุเกินไป จึงมีความสัมพันธ์ไม่ใคร่ดีนักกับนักหลอมยาของเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้หรอก” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยตำหนิตนเอง

“ท่านปู่อย่าได้น้อยใจไปเลย นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก เป็นเพราะนักหลอมยาพวกนั้นเย่อหยิ่งจองหองเทียมฟ้า ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้า ข้าเองก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากมีวันหนึ่งที่ข้ากลายเป็นนักหลอมยา ข้าจะฟาดพวกเขาให้หน้าหงายเป็นแน่!”

“ฮ่าๆ ดี ปู่จะรอให้เจ้าไปนำทางพวกเขานะ!” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยพลางหัวเราะเสียงดังลั่น

คนทั้งสองต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาคอย พากันลืมไปแล้วว่าเงื่อนไขก่อนที่จะกลายเป็นนักหลอมยาได้นั้นคือต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณก่อน! เพราะตอนผนึกยาจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณที่นักหลอมยาใส่เข้าไปในเตา ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางผนึกยาได้ ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์นั้นไม่ได้เป็นแม้แต่ปรมาจารย์วิญญาณด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นนักหลอมยาเลย

เพราะผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ของยาวิเศษทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์หายดีอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวา พอเช้าวันที่สองก็ออกไปเดินเล่นตามลำพังได้แล้ว

ถึงแม้ว่าในสมองจะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ แต่ว่าเธอก็ยังนึกอยากจะเห็นกับตาตนเองว่าโลกแห่งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

“โลกใบนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน!” หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนสองสาย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หยุดลงหน้าประตูร้านค้าแห่งหนึ่งพลางมองดูสรรพสัตว์นานาชนิดที่วางเรียงรายอยู่ด้านใน เมื่อมองเห็นสัตว์ที่พูดได้ เธอก็อดที่จะถอนหายใจมิได้

“ไอ้หยา… นี่มิใช่คุณชายห้าหรอกหรือ! คุณชายห้าเชิญเข้ามาเร็วเขอรับ วันนี้ต้องการสินค้าอันใดหรือ พวกเรามีสัตว์จำแลงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ฝูงหนึ่ง ท่านอยากชมดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ในร้านมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่หน้าประตูแล้วรีบออกมาต้อนรับ ดูท่าทางจะคุ้นเคยกับเจ้าของร่างเดิมเป็นอย่างดี

ซือหม่าโยวเย่ว์ค้นหาดูในความทรงจำครู่หนึ่ง เจ้าของร่างเดิมสนิทสนมกับร้านนี้จริงๆ เสียด้วย เพราะว่านางมักจะซื้อสัตว์อสูรวิเศษไปให้บรรดาพี่ชายเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ นับได้ว่าเป็นวิธีหนึ่งในการเอาอกเอาใจพวกเขา

เพราะว่ามาอุดหนุนที่นี่อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับทั้งเจ้าของและเสี่ยวเอ้อร์ร้านนี้เป็นอย่างมาก

“คุณชายห้า ท่านดูสิ นี่คือสัตว์อสูรวิเศษฝูงใหม่ที่เพิ่งเข้ามาของพวกเรา จิ้งจอกเพลิง สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นห้า ยังมีตัวนี้ด้วย หมาป่าพายุ สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นหก เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวเลยใช่ไหมเล่าขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์นำทางซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาภายในร้าน มาตรงหน้ากรงสองกรง แล้วชี้ไปยังหมาป่าตัวหนึ่งในกรงพลางเอ่ยแนะนำ

“อืม ดูไม่เลวเลยจริงๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหมาป่าพายุที่อยู่ในกรง ถึงแม้ว่าสองตาจะไร้แวว แต่เส้นขนบนร่างก็สว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง มองดูแล้วรู้ว่าคุณภาพไม่เลวเลยทีเดียว “แต่ว่าวันนี้ข้ามิได้พกเงินออกมาด้วย ไม่ได้คิดจะซื้อ แล้วข้าก็ยังทำพันธสัญญามิได้อีกด้วย จะซื้อสัตว์อสูรวิเศษไปทำไมกัน”

ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพนั้นเป็นคนไร้ค่า ย่อมทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษไม่ได้อยู่แล้ว ทุกครั้งที่ซื้อก็นำไปให้คนอื่นทั้งสิ้น แต่เพราะต้องการทำกำไร เสี่ยวเอ้อร์จึงมิได้สนใจว่านางจะเอาไปทำอะไร ขอเพียงแค่ดูดเงินจากนางมาก็ใช้ได้แล้ว

“คุณชายห้าอยากจะติดเงินร้านเราไว้ก่อนก็ได้นะขอรับ ถ้าหากคุณชายห้าพอใจ ท่านก็นำสัตว์อสูรวิเศษนี่ไปก่อน พอกลับไปแล้วค่อยให้คนส่งเงินมาก็ได้นี่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูด “เฮ้อ เสียดายที่คราวก่อนคุณชายมู่หรงอานบอกไว้ว่าอยากได้หมาป่าพายุสักตัวหนึ่ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่มีของ หากคุณชายห้าพบคุณชายมู่หรงอานเมื่อใดก็ช่วยบอกเขาทีนะขอรับว่าเจ้าหมาป่าพายุนี่มาแล้ว แต่ช่วยรีบมาให้เร็วหน่อย เพราะเพียงไม่นานก็น่าจะไม่มีของแล้วล่ะขอรับ”

หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ต้องพูดว่าเธอต้องการสัตว์อสูรวิเศษตัวนี้อย่างแน่นอน ขอเพียงได้เอาใจมู่หรงอาน ซื้อสัตว์อสูรวิเศษที่เขาต้องการให้ สิ้นเปลืองเงินสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า

แต่ว่าเธอในตอนนี้ไม่ใช่เธอคนเดิมอีกแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเอ้อร์แล้วก็พยักหน้ารับ “ได้สิ คราวหน้าถ้าข้าพบเขาข้าจะบอกเขาให้อย่างแน่นอน”

พูดจบแล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกไปจากร้านขายสัตว์อสูรวิเศษ

“…”

เสี่ยวเอ้อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ออกไปจากร้านแล้ว เขาแตะหน้าผากตนเองพลางเอ่ยว่า “ก็มิได้เป็นไข้เสียหน่อย เหตุใดจึงเกิดภาพหลอนได้เล่า คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้ได้ยินว่าเป็นสิ่งที่มู่หรงอานชมชอบ ไม่เพียงแต่ไม่ซื้อเท่านั้น แต่ยังเดินจากไปอย่างเฉยเมยอีกด้วย หากนี่มิใช่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ก็เป็นตัวข้าเห็นภาพหลอนแล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินอยู่บนถนนใหญ่ นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเสี่ยวเอ้อร์แล้วก็ทอดถอนใจ เรื่องที่เจ้าของร่างเดิมผู้นี้ชมชอบมู่หรงอานเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้กันทั่วจริงๆ แม้กระทั่งจะขายของก็ยังรู้จักใช้เรื่องนี้มาเป็นจุดขาย

เมื่อนึกถึงหมาป่าพายุที่ได้เห็นในกรงเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่ทอดถอนใจในความมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้เท่านั้น ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนมากนัก แต่เพราะมู่หรงอาน จึงทำให้นางมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์อสูรวิเศษอยู่บ้าง

โลกแห่งนี้มีสัตว์พูดได้ที่เรียกว่าสัตว์อสูรวิเศษ ซึ่งสัตว์อสูรวิเศษก็ฝึกฝนได้เช่นกัน คล้ายกับอสูรในชาติก่อน และสัตว์อสูรวิเศษยังมีระดับที่สอดคล้องกัน โดยสัตว์อสูรวิเศษนั้นเป็นระดับต่ำสุด ถัดมาคือสัตว์อสูรทิพย์และสัตว์อสูรเทพ

สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำนั้นเพียงแค่เปิดเชาวน์ปัญญา ฟังคำพูดของมนุษย์รู้เรื่องและตอบสนองตามได้เท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรทิพย์นั้นสำรอกคำพูดของมนุษย์ได้ด้วย ช่างมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ปรมาจารย์วิญญาณทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้ หลังจากทำพันธสัญญาแล้ว ปรมาจารย์วิญญาณกับสัตว์อสูรวิเศษจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เพราะสัตว์อสูรวิเศษมีสัญชาตญาณป่าเถื่อน ดังนั้นหากทำพันธสัญญาเฉยๆ อาจถูกสัตว์อสูรวิเศษทำร้ายเอาได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีนักฝึกสัตว์อสูรถือกำเนิดขึ้นมา

นักฝึกสัตว์อสูรใช้ทักษะความสามารถในการเลี้ยงให้เชื่อง ทำให้สัญชาตญาณป่าเถื่อนของสัตว์อสูรวิเศษถูกขจัดออกไป กลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญากับปรมาจารย์วิญญาณได้ เพราะหลังจากสัตว์อสูรวิเศษทำพันธสัญญาเรียบร้อยแล้วก็จะกลายเป็นตัวช่วยอันแข็งแกร่งของปรมาจารย์วิญญาณ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านักฝึกสัตว์อสูรมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หมาป่าแสนเชื่องที่เธอเห็นในกรงเมื่อครู่คือหมาป่าพายุที่ถูกฝึกมาแล้ว ช่วงระยะเวลาหลังจากถูกฝึกจนถึงก่อนที่จะทำพันธสัญญานั้นพวกมันจะสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีสัญชาตญาณป่าเถื่อน และไม่อาจโจมตีใครได้ จนกระทั่งทำพันธสัญญากับปรมาจารย์วิญญาณแล้วความดุร้ายของมันจึงจะถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

ระยะเวลาที่ออกมาค่อนข้างนานแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงคิดจะกลับไปยังจวนแม่ทัพ เพราะว่ากำลังค้นหาความทรงจำเกี่ยวกับนักฝึกสัตว์อสูรอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังถนนตรงหน้า ขณะที่กำลังเลี้ยวจึงได้ชนเข้ากับคนที่เดินตรงมา

“ใครกันที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเช่นนี้! อยากตายสินะ!” คนที่ถูกชนลูบบริเวณที่ตนถูกชนพลางด่าทอ เมื่อเห็นว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ อีกฝ่ายก็ยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าคนไร้ค่าผู้นี้นี่เอง เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ตาย ดูท่าทางวันนั้นคงจะลงมือเบาไปสินะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เถูกชนจนร่างกายโงนเงน เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมอง กลิ่นอายบนร่างเยียบเย็นขึ้นมาในทันใด

คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ทุบตีตนในวันนั้นนั่น ในเมื่อลั่นวาจาเอาไว้ว่าจะแก้แค้นแทนเจ้าของร่างเดิม เช่นนั้นก็เริ่มจากคนผู้นี้ก็แล้วกัน

……………………