ซือหม่าโยวเย่ว์เอนกายอยู่บนเตียง คำว่าอับจนคำพูดก็ยังไม่อาจใช้อธิบายความรู้สึกของเธอได้เลย
“เฮ้อ…”
หลังจากถอนหายใจครั้งที่ยี่สิบแปดแล้ว ในที่สุดเธอก็ยอมรับตัวตนและร่างกายอันไร้ค่านี้ มือสังหารตัวแม่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างเธอ นอกจากจะฝึกฝนตัวเองไม่ได้ แล้วยังต้องกลัวว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบใหม่ไม่ได้อีกหรือ
เพียงแค่นึกถึงลักษณะนิสัยของเจ้าของร่างเดิมของตนและเหตุผลที่ตายไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้ว
จะว่าไปแล้ว การตายของเจ้าของร่างเดิมนั้นก็นับได้ว่าน่าอนาถ ทั้งๆ ที่นางถูกส่งตัวไปให้มู่หรงอานซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเขมือบ แต่กลับถูกเข้าใจผิดว่าอยากจะไปสร้างปัญหาให้เขา จนถูกบ่าวรับใช้ของเขาทุบตีอย่างทารุณยกหนึ่ง ด่าทอใหญ่โตว่านางไม่เพียงแต่เป็นคนไร้ค่าเท่านั้น แต่ยังเป็นพวกจิตวิปริตอีกด้วย
ส่วนคุณชายอันดับหนึ่งที่ว่ากันว่าแสนอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้นเพียงแค่มองดูนางถูกคนทุบตีอยู่ข้างๆ ทั้งยังเอาแต่หัวร่อต่อกระซิกกับสาวงามข้างกายอีกด้วย
เจ้าของร่างเดิมถูกคนกลุ่มหนึ่งทุบตีจนเหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น เมื่อถูกแบกกลับจวนแม่ทัพก็เห็นซือหม่าเลี่ย ท่านปู่ของตนเอ่ยประโยคนั้นว่าจะแก้แค้นให้ หลังจากนั้นพอหมดสติไปไม่นานก็สิ้นลมเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะบอกกับตนว่าต้องการให้ช่วยแก้แค้นแทนนาง แต่ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ใครใช้ให้อยู่ดีๆ ไปเกาะแกะผู้อื่นกัน ไม่ใช่ว่าไปเกาะแกะเสียจนเขารำคาญสุดขีดหรอกหรือ ดังนั้นพอนางไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง ไม่ถูกเขาทุบตีเอาสิถึงจะแปลก!
“แต่มู่หรงอานผู้นั้นถึงขนาดมองดูเธอถูกทุบตีจนตายได้หน้าตาเฉย ส่วนคนที่ทุบตีเธอพวกนั้นก็ตั้งใจตีให้ถึงตาย หึ เธอวางใจได้เลย ฉันจะล้างแค้นคราวนี้ให้เธอเอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพึมพำ “แต่ร่างกายฝึกฝนไม่ได้จริงๆ หรือ คนพวกนั้นล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ของวิทยาลัย ถ้าฝึกฝนไม่ได้แล้วจริงๆ การแก้แค้นก็คงจะยุ่งยากแล้ว แต่ตอนนี้ฉันก็หมดหนทางตรวจดูร่างกายของเธอด้วยสิ บ้าเอ๊ย แผลบนตัวนี่อีกนานแค่ไหนถึงจะหายนะ!”
ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์บ่นอุบอยู่ครู่หนึ่งจึงผล็อยหลับไป แต่คราวนี้เธอหลับไม่สนิทสักเท่าไร หัวคิ้วขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา เหงื่อเยียบเย็นหลั่งไหลออกมาไม่หยุด
“ซีเหมินโยวเย่ว์ ต่อให้เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ของโลกทิพย์แล้วอย่างไรเล่า วันนี้ก็ยังต้องตายในเงื้อมมือข้าอยู่ดี วันนี้ตระกูลซีเหมินของพวกเจ้าจะได้ไปรวมตัวกันในนรกแล้ว!”
“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด นี่คือตะเกียงกักวิญญาณ วัตถุเทพขั้นสูง เพียงแค่สูบวิญญาณของเจ้าเข้ามาไว้ในนี้ เจ้าจะมิอาจไปเกิดใหม่ได้ตลอดกาล ต่อให้เจ้าอยากให้วิญญาณแหลกสลายก็ทำมิได้! มิใช่ว่าเจ้าชอบข่มข้าอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ วันนี้เจ้าก็เสพสุขกับรสชาติของการกักวิญญาณนี่ไปก็แล้วกัน! ฮ่าๆๆๆ…”
เสียงบาดแหลมของผู้หญิงดังขึ้นมาในทันใด หญิงสาวที่ถือตะเกียงดวงหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในความฝันของซือหม่าโยวเย่ว์
“วิญญาณขาดหายไปส่วนหนึ่งอย่างนั้นหรือ เช่นนี้หากไปเกิดใหม่ก็จะจดจำเรื่องราวในชาตินี้มิได้แล้ว พลังยุทธ์ก็มิอาจฟื้นฟูขึ้นมาได้ จะซ่อมแซมวิญญาณของตนเองแล้วสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้วล่ะ!” น้ำเสียงที่มิอาจแยกแยะชายหญิงได้อีกเสียงหนึ่งกระจายไปทั่วหมอกหนาทึบ
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ใครใช้ให้เธอเก่งกาจขนาดนี้กัน วันนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่ เธอก็ไปร้องไห้กับพญายมเถอะ! นี่คือระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุดที่องค์กรพัฒนาขึ้นมา เธอตายด้วยสิ่งนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของเธอแล้ว! ซือหม่าโยวเย่ว์ เธอตายไปซะเถอะ…”
“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าตายไปเสียเถิด…”
“ว้ายยย…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ผุดลุกจากเตียงขึ้นนั่งทันที พลางอ้าปากกว้างเพื่อหอบหายใจ ชุดนอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปอยผมทั้งสองฝั่งแนบติดแก้ม ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเพราะเศร้าใจหรือเพราะเดือดดาล
“คุณชาย เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ” สาวใช้คนหนึ่งเคาะประตูถามขึ้นจากด้านนอก
ซือหม่าโยวเย่ว์พยายามทำให้ตนเองสงบลงแล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ” คนที่อยู่ข้างนอกรับคำเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นนอกประตูก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ซือหม่าโยวเย่ว์ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ฝืนทนต่อความเจ็บปวด ก้าวลงจากเตียงไปรินน้ำให้ตนเองหนึ่งถ้วย มือสั่นเทาทำให้กาน้ำชาสั่นไหวไปด้วย จนกระทั่งดื่มน้ำเย็นไปสามถ้วยแล้วจึงค่อยนิ่งขึ้นบ้าง
นึกย้อนกลับไปถึงความฝันเมื่อครู่ ทำไมจึงมีสองชื่อปรากฏขึ้นมาได้กันเล่า
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ซีเหมินโยวเย่ว์…” เธอพึมพำสองชื่อนี้ออกมา “ซีเหมินโยวเย่ว์ นี่คือใครกันนะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาแล้วในใจของเธอพลันเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบสายหนึ่งขึ้นมา…
หลังจากกลับขึ้นไปบนเตียงแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เบิกตาโตจ้องมองมุ้งกันยุงที่มีกลิ่นอายโบร่ำโบราณ สิ่งที่สมองนึกย้อนไปถึงล้วนเป็นภาพอันเลือนรางของความฝันเมื่อครู่ทั้งสิ้น รวมถึงน้ำเสียงที่เอ่ยวาจาแปลกหู หญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นเป็นใครกัน แล้วซีเหมินโยวเย่ว์ที่เธอพูดถึงคือใคร
ในขณะนี้เอง ข้างก็มีเสียงของสาวใช้ดังขึ้น
“ท่านแม่ทัพ”
“คุณชายห้าฟื้นหรือยัง” น้ำเสียงแก่ชราเล็กน้อยเอ่ยถาม
“เรียนท่านแม่ทัพ คุณชายเพิ่งจะหวีดร้องขึ้นมาเมื่อครู่ แต่พอข้าน้อยเข้าไปไถ่ถาม คุณชายกลับบอกว่าไม่มีอะไร ต่อมาภายในห้องก็ไม่มีเสียงอันใดอีกแล้ว เป็นไปได้ว่าจะหลับไปอีกแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
“เอาละ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเถิด”
“เจ้าค่ะ”
จากนั้นก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ตอนที่ประตูเปิดออกซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ามุ่งหน้าเข้ามาทางตนช้าๆ หลังจากนั้นก็หยุดลงข้างเตียง
“พอที เลิกแกล้งทำได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางมองคนที่นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียง
ความแตกเสียแล้ว!
ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตา มองดูคนที่อยู่ข้างเตียงโดยไม่พูดอะไร
นี่คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรตงเฉิน ท่านปู่ของตนนั่นเอง เขาสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งร่าง ไรผมเป็นสีดอกเลาเล็กน้อย เหมือนกันกับในความทรงจำ แต่สองตาที่มองดูตนกลับแฝงไว้ด้วยความรักใคร่ทะนุถนอมและความเจ็บปวดใจอันไร้ขีดจำกัด
“เจ็บปวดมากใช่หรือไม่” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ไม่พูดไม่จาจึงนั่งลงข้างเตียงแล้วเอ่ยถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เจ็บมากจริงๆ จนเธอรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างของเธอแทบแยกออกจากกันอยู่แล้ว
ซือหม่าเลี่ยหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาราวกับเล่นมายากล จนซือหม่าโยวเย่ว์ที่มองอยู่ตกตะลึง ถึงแม้เธอจะรู้ว่าที่โลกแห่งนี้มีสิ่งของอย่างมิติเก็บวัตถุอยู่ด้วย แต่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองแล้วก็ยังตื่นตาตื่นใจมากอยู่ดี นี่มันยอดเยี่ยมกว่ากระเป๋าในชาติที่แล้วมากมายเหลือเกิน!
ขวดหยกในมือของซือหม่าเลี่ยเป็นสิ่งที่เขาหยิบออกมาจากแหวนเก็บวัตถุ
“นี่คือยาวิเศษขั้นสองที่ข้าไปหามาจากปรมาจารย์ศิลา ทำให้ร่างกายเจ้าฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว มาสิ กินเสียเจ้าจะได้หายเจ็บปวด” ซือหม่าเลี่ยเทยาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดแล้วใส่เข้าไปในปากของซือหม่าโยวเย่ว์
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลืนยาวิเศษลงไปแล้ว รสชาติฝาดขมชนิดหนึ่งก็แผ่ซ่านไปทั่วปากของเธอ เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ซือหม่าเลี่ยก็ป้อนน้ำตาลให้เธอก้อนหนึ่ง
“ปรมาจารย์ศิลาบอกว่ายาวิเศษชนิดนี้ออกจะขมอยู่สักหน่อย แต่ว่านี่คือยาวิเศษขั้นสอง เห็นผลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเจ้าก็ทนเอาหน่อยเถิดนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่ามีสิ่งของที่มหัศจรรย์อย่างยาวิเศษอยู่ด้วย ก็เหมือนกับยาเม็ดของทางฝรั่งในชาติก่อนนั่นเอง แต่เมื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์กันแล้วยาเม็ดเหล่านี้ดีกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า นอกจากนี้ยังมีมากมายหลายชนิด ใช้ประโยชน์ได้สารพัด อย่างเช่นรักษาอาการบาดเจ็บอย่างที่เธอกินอยู่ตอนนี้ แล้วยังมีพวกที่ช่วยให้ดวงวิญญาณฟื้นฟูพลังวิญญาณ ช่วยให้ปรมาจารย์วิญญาณฟื้นฟูพลังวิญญาณ ช่วยให้ปรมาจารย์กระบี่ฟื้นฟูพลังกาย เป็นต้น
ยาวิเศษยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ สามขั้น ขั้นหนึ่งถึงสามถูกเรียกว่าเป็นยาวิเศษระดับต้น ขั้นที่สี่ถึงหกคือยาวิเศษระดับกลาง และขั้นที่เจ็ดถึงเก้าคือยาวิเศษระดับสูง ในทางเดียวกัน นักหลอมยาก็แบ่งเป็นระดับต่างๆ ตามตัวยาที่พวกเขาหลอมได้ เช่นนักหลอมยาระดับต้น นักหลอมยาระดับกลาง นักหลอมยาระดับสูงเช่นกัน
เมื่อระดับขั้นของยาวิเศษเพิ่มขึ้น ประสิทธิผลของยาก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย นอกจากนี้ต่อให้เป็นยาวิเศษขั้นเดียวกัน แต่มีระดับสูง ระดับกลาง ระดับต่ำ ความแตกต่างของระดับขั้น ยิ่งระดับสูง ผลของยาก็ยิ่งดี ราคาขายก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
โอ๊ย พูดไปเจ้าของร่างเก่านางก็ไม่ได้เข้าใจอะไรในโลกมากนัก เพราะจิตใจมัวแต่ฝักใฝ่แต่เรื่องอันหาสาระไม่ได้ พอเห็นคนหล่อก็ลืมเลือนทุกอย่างชนิดไม่รู้เหนือใต้ จะมานึกถึงสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน แล้วยังเป็นเพราะว่านางไม่อาจฝึกฝนได้ ดังนั้นนางจึงไปเข้าชั้นเรียนที่วิทยาลัยได้แค่สองครั้งก็ไม่ไปอีกเลย ซือหม่าเลี่ยก็ตามใจนางเหลือเกิน นางไม่อยากไป พวกเขาก็ไม่บังคับเลย จนทำให้นางกลายเป็นคนไม่รู้หนังสือโดยสมบูรณ์!
…………………