ตอนที่ 102.2 รัศมีขาวทะยานจากพื้นดิน

เฉินผิงอันเห็นว่างูทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธในทันทีจึงโล่งใจ พูดต่อไปว่า “ถึงแม้ข้าจะเข้าใจเรื่องการฝึกตนน้อยมาก แต่แน่ใจอย่างยิ่งว่าปราณวิญญาณในภูเขาฉีตุนแห่งนี้ต้องเทียบกับภูเขาที่อยู่ในบ้านเกิดข้าไม่ติดแน่นอน พวกเจ้าฝึกตนอยู่ในถิ่นของข้าหนึ่งร้อยปี ไม่แน่ว่าอาจเทียบเท่ากับฝึกตนอยู่ที่นี่หลายร้อยปี อีกอย่างตอนที่เดินทางมา อาเหลียงก็บอกกับข้าเรื่องเกี่ยวกับเจียว ปลา งูกลายร่างเป็นมังกรเดินลงแม่น้ำ บอกว่าเส้นทางน้ำสายนี้อันตรายอย่างมาก เทพภูเขาและเทพแม่น้ำจำนวนมากจะจงใจสร้างความลำบากใจและขัดขวางพวกเจ้า ดังนั้นข้าเชื่อว่าหากพวกเจ้าสามารถผูกความสัมพันธ์อันดีกับช่างหร่วน หรือขุนนางในท้องถิ่นของต้าหลีไว้แต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าในกาลข้างหน้าเส้นทางสายนั้นจะราบรื่นมากกว่าเดิมเยอะมาก”

คำพูดเหล่านี้ ท่อนแรกเฉินผิงอันเป็นคนคิดขึ้นมาเอง แต่ท่อนหลังกลับเป็นอุบายแยบยลในถุงไหมที่อาเหลียงจงใจป่าวประกาศความลับสวรรค์ด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มีผู้เฒ่าที่สอนข้าเผาเครื่องปั้นคนหนึ่งเคยบอกว่า ไม่แน่เสมอไปที่ภูตผีบนภูเขาหรือปีศาจในแม่น้ำจะเลวร้ายยิ่งกว่าคน หลังจากที่พบพวกเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าประโยคนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แต่อาเหลียงเป็นคนกำราบพวกเจ้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ถ้าเช่นนั้นในเมื่ออาเหลียงยินดีปล่อยพวกเจ้าไป ข้าก็ไม่อาจพูดอะไรได้ หากข้ามีความสามารถอย่างอาเหลียง พวกเจ้ากล้าหาเรื่องข้า กล้ากินคนต่อหน้าข้าส่งเดช…”

เฉินผิงอันยกมีดผ่าฟืนหักท่อนเล่มนั้นขึ้น จ้องงูขาวเขม็ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะไม่ใช่แค่ปีกหายไปครึ่งหนึ่ง อาหารมื้อดึกของพวกเราเมื่อคืนวานก็คงเป็นเนื้องูตุ๋นหม้อใหญ่”

เมื่อสูญเสียปีกไปข้างหนึ่ง ตบะของงูขาวก็เสียหายอย่างสาหัส เดิมทีมันก็เจ็บปวดหัวใจสุดขีดอยู่แล้ว ตอนนี้มาถูกเด็กหนุ่มสาดเกลือลงบนบาดแผล สัตว์เดรัจฉานที่สันดานเลือดเย็นจึงเหมือนคนที่ถูกสะกิดรอยแผลเป็น พลันเดือดดาลอย่างหนัก ชูศีรษะขึ้นสูง ร่างพลันเกร็งเครียด เตรียมจะกระโจนเข้าสังหารเด็กหนุ่มที่ขัดหูขัดตาน่ารังเกียจตรงหน้าผู้นี้

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน

งูดำขยับตัวตาม ไม่ได้จะช่วยงูขาวจัดการกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ แต่หันไปอ้าปากกว้างใส่งูขาว ฉกกัดเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย แล้วสลัดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทำให้ลำตัวครึ่งหนึ่งของงูขาว “ร่างบอบบาง” กระแทกลงบนพื้นแล้วกระเด้งกระดอนอย่างรุนแรง

เทพเจ้าที่หนุ่มตกใจสะดุ้งโหยง เตรียมจะลงมือทำให้งูขาวงูดำสงบสติอารมณ์ เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มโดนลูกหลง แล้วตัวเองก็ไม่ต้องถูกสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นลากลงน้ำไปด้วย แต่กลับเห็นชายฉกรรจ์สวมงอบส่ายศีรษะ พูดเบาๆ ว่า “อย่าเข้าไปยุ่ง”

เทพเจ้าที่หนุ่มสงสัยเล็กน้อย อดมองชายฉกรรจ์อีกทีไม่ได้ แต่เห็นเพียงว่าเขายังคงเอนหลังพิงต้นไผ่เขียว ปลายเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น ท่วงท่าเกียจคร้าน มือทั้งคู่กอดอก สีหน้าเรียบเฉย

งูสองตัวที่เป็นสัตว์ประเภทเดียวกันตั้งท่าคุมเชิงกันอย่างดุร้าย

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่ได้ขยับออกห่างจากหินก้อนเดิม เพียงแต่กำมีดผ่าฝืนแน่น

ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยกันอย่างไร แต่ในที่สุดงูขาวก็ค่อยๆ สงบลง แต่สายตาของมันที่มองมายังเด็กหนุ่มกลับยังคงดุร้ายผิดปกติดังเดิม

เฉินผิงอันเองก็จ้องตากับงูขาวตรงๆ เช่นนี้ “ตอนนี้มีคนนับพันนับหมื่นบุกเบิกภูเขาสร้างเส้นทาง หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปฝึกตนในภูเขาแล้ว ห้ามฆ่าคนเพื่อให้ท้องอิ่มอีก แน่นอนว่าหากเกิดจากการป้องกันตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นมีผู้ฝึกตนขึ้นเขาไปสังหารพวกเจ้า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากพวกเจ้าทำลายกฎเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าเช่นนั้นช่างหร่วนก็จะเป็นคนลงมือ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่หากรับปากว่าจะขึ้นไปอยู่บนภูเขาแล้ว หลังจากนี้พวกเจ้าทำอะไรก็ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับข้าแน่นอน”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นคำพูดไม่น่าฟังข้าจึงต้องเอามาพูดก่อน”

งูดำยังคงนิ่งสงบอยู่ในท่าเดิม

แต่งูขาวเหมือนจะยังไม่อาจระงับความโกรธเอาไว้ได้ ถึงแม้จะยอมหยุดกระทำการวู่วามนำมาสู่ความแตกหัก แต่ต่อให้ความล่อลวงใจบนมหามรรคาจะมารออยู่ตรงหน้า แต่งูขาวก็ยังคงใช้ท้องเสียดสีพื้นอย่างเชื่องช้า แผ่ปราณแห่งความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดออกมาจากทั่วร่าง

ในป่าไผ่ห่างออกไป ไม่รู้ว่าอาเหลียงนั่งลงไปบนไผ่ต้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ไผ่เขียวต้นนี้มีความยืดหยุ่นดีเยี่ยม ถูกเขากดทับจนกลายเป็นเหมือนสะพานโค้งก็ยังไม่หัก

เทพเจ้าที่ที่อยากจะพุ่งไปใช้สองมือประคองไผ่เขียวปรายตามองเด็กหนุ่มกับงูทั้งสองตัวที่คุมเชิงกันเหมือนคลื่นใต้น้ำ อธิบายว่า “แม้งูดำจะมีสันดานที่ดุร้ายอำมหิตมากกว่า แต่สติปัญญากลับมากกว่า ซ้ำยังรู้จักที่จะดูสถานการณ์ รู้ว่าตอนไหนควรรุกตอนไหนควรถอย งูขาวตัวนั้นเวลาปกติเหมือนไม่มีความคิดจะทำร้ายคนมากนัก แต่เวลาที่พูดคุยกันเข้าจริงๆ กลับยุ่งยากกว่ามาก เพราะทำอะไรตามสัญชาตญาณดิบมากกว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่มันอยู่บนกระดานหมากล้อมในเวลานั้น เพราะงูขาวเป็นเพียงแค่หมากว่างตัวหนึ่ง แต่งูดำกลับอยู่ในตำแหน่งสำคัญในการสังหารมังกรใหญ่ ดังนั้นตลอดหลายปีที่พวกมันยึดครองภูเขาฉีตุนเป็นราชานี้ งูขาวจึงชอบเลื้อยท่องเที่ยวไปทั่วทิศ มรสุมที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการออกเดินทางและความเคลื่อนไหวของมันทั้งสิ้น กลับกันคืองูดำจะมุ่งมั่นบำเพ็ญตนมากกว่า ทุกวันจะต้องมุมานะดูดกลืนแก่นพลังของฟ้าดิน เพราะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ และมีใจทะเยอทะยานแสวงหาความก้าวหน้า”

อาเหลียงอืมรับหนึ่งที

เทพเจ้าที่หนุ่มลังเลอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวว่า “คำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ผิด ต่างก็เต็มไปด้วยเหตุผล เพียงแต่ว่าเขายังคงไม่เข้าใจนิสัยของงูคู่นั้น สำหรับพวกมันที่เหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว นิสัยที่แท้จริงและเจตนาเดิมก็คือหินปูมหามรรคา นอกจากนี้แล้วงูส่วนใหญ่ที่มีสติปัญญาทั่วไปเริ่มรู้จักการเสียหน้าแล้ว ในเมื่ออยู่บนภูเขาฉีตุนวางอำนาจเสวยสุขมาจนชินแล้วจะรู้สึกว่าการไปอยู่บนภูเขาที่เด็กหนุ่มพูดถึงเหมือนการไปอยู่ใต้อำนาจของคนอื่น โดยเฉพาะการที่เด็กหนุ่มยกอริยะท่านหนึ่งมาข่ม ทั้งยังป่าวประกาศว่าถ้ากล้ากินคนก็จะฆ่าพวกมัน ก็ยิ่งทำให้งูทั้งสองรู้สึกว่าพลังอำนาจของเด็กหนุ่มอยู่เหนือกว่า ผูกมิตรด้วยได้ยาก จึงยากที่จะไม่เดือดดาล เพราะอย่างไรซะหากพยักหน้าตอบรับเมื่อไหร่ก็ต้องเข้าสู่วงโคจรของ ‘เพื่อนบ้านใกล้เคียง’ เป็นเวลาหลายร้อยปี ก็ต้องเป็นกังวลว่าตัวเองจะเจอเข้ากับคนไม่ดี…”

อาเหลียงตัดบทเขาที่กำลังพูดจ้อเป็นต่อยหอย “เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนวิธีมาขอร้องแทนเพื่อนบ้านของเจ้า ในเมื่อพูดไปแล้วว่าข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก เจ้าจะกลัวอะไร? สืบสาวกันถึงแก่นแล้ว การที่งูทั้งสองตัวไม่ยอมก้มหัวให้แต่โดยดีก็เพราะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตที่สองของวิถีวรยุทธ์นั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะมานั่งในตำแหน่งเท่าเทียมกันแล้วพูดคุยปรึกษากับพวกมัน ดังนั้นต่อให้ข้อเสนอของเด็กหนุ่มจะมีเหตุผลแค่ไหน พวกมันก็ยังไม่อยากจะยอมรับอยู่ดี หากเปลี่ยนมาเป็นข้า เจ้ารู้สึกว่างูสองตัวนี้จะเป็นอย่างไร?”

เทพเจ้าที่หนุ่มยิ้มประจบ “ท่านเซียนใหญ่มองเรื่องมองคน ประดุจแสงเทียนในคืนมืดมิด”

อาเหลียงเอ่ยเสียงเรียบ “ตอบคำถามของข้า”

เทพเจ้าที่หนุ่มพลันปิดปากเงียบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว หลังจากใคร่ครวญคำพูดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบอย่างจริงจังว่า “พวกมันจะย้ายบ้านทันทีโดยไม่พูดไม่ถามสักคำ! แม้แต่ใจเคียดแค้นก็ยังไม่กล้ามี!”

อาเหลียงมองไปทางนั้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ พยักหน้ารับ “ดีมาก เจ้ารักษาป่าไผ่แห่งนี้ไว้ได้ครึ่งผืน”

ป่าไผ่รอบกายคนทั้งสองมีเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะดังมา

ไผ่เขียวประมาณครึ่งหนึ่งเหมือนถูกคนใช้ดาบตัดผ่ากลางลำ ก่อนจะร่วงระนาวลงบนพื้น

เทพเจ้าที่หนุ่มคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว “ท่านเซียนใหญ่โปรดระงับโทสะ”

อาเหลียงคร้านจะสนใจเจ้าหมอนี่ เพียงพูดเนิบช้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ดูเอาเถอะ ต่อให้ลงมือรุนแรงทำให้คนตกใจไปแล้ว แต่เพราะพูดง่ายเกินไป นิสัยดีเกินไปจึงถูกเทพเจ้าที่เล็กๆ คนหนึ่งปั่นหัวเหมือนคนโง่ เพราะฉะนั้นถึงได้พูดกันไงว่า เป็นคนดีน่ะมันยาก”

เทพเจ้าที่หนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

อาเหลียงพลันหัวเราะระรื่น “ลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ คุกเข่าอย่างนี้ดูไม่ได้เอาเสียเลย ข้าจะเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าเจ้าเด็กหนุ่มจอมโลภผู้นั้นจะยอมทำการค้าที่เสียเปรียบไปยันตระกูลของยายตัวเองเลยหรือไม่ เจ้าเดิมพันว่าเขายอม ข้าเดิมพันว่าเขาไม่ยอม หากเจ้าเดิมพันชนะก็จะรักษาป่าไผ่อีกครึ่งที่เหลือเอาไว้ได้ แต่ถ้าแพ้ เจ้าไม่ใช่จะเพิ่งได้ร่างเทพเจ้าที่คืนมาหรอกหรือ? ข้าจะทำให้เจ้ากลับไปเป็นร่างเดิมก็แล้วกัน”

บัดนี้เทพเจ้าที่หนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนถึงกับมีใจคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว เขาพึมพำถามเบาๆ ว่า “ขอถามท่านเซียนใหญ่ โอกาสที่ข้าน้อยจะชนะมีเท่าไหร่?”

อาเหลียงยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว

ใบหน้าของเทพเจ้าที่หนุ่มไร้สีเลือด โอกาสชนะหนึ่งในสิบส่วน

ชายฉกรรจ์สวมงอบจึงยิ้มกว้าง “หนึ่งในร้อยต่างหาก”

จากนั้นอาเหลียงก็มองไปที่เด็กหนุ่มแล้วตะโกนเสียงดัง “เฉินผิงอัน จงเรียกร้องให้เต็มที่ ไม่ว่าเงื่อนไขจะเกินควรอย่างไรก็ช่าง มีข้าอาเหลียงจับตาดูอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปกระตุ้นให้สัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นโมโห หากเกิดการวิวาทขึ้นจริงๆ ก็ดีเลย จะได้เอางูสองตัวนี้มาฝึกปรือฝีมือ วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าคุมสถานการณ์เอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะต้องลงมือแน่ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่เพิ่งจะประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้มาจากจูเหอยอดฝีมือขอบเขตห้าหรอกหรือ หลังจากประมือกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีการบรรลุบางอย่างได้ ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน ไม่แน่ว่าอาจจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็เป็ฯได้”

เทพเจ้าที่หนุ่มอึ้งงันเป็นไก่ไม้

อาเหลียงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ขอโทษที ตอนนี้แม้แต่โอกาสชนะเสี้ยวเดียวนั้นเจ้าก็ไม่มีแล้ว”

เทพเจ้าที่หนุ่มหมดอาลัยตายอยาก กลับกลายเป็นว่าเกิดความกล้าหาญเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่งจึงหันมาพูดพร้อมยิ้มเจื่อน “ผู้อาวุโสอาเหลียง ของเดิมพันของท่านไม่ค่อยดีเลยจริงๆ”

ชายฉกรรจ์สวมงอบพูดประโยคประหลาดคำหนึ่ง “เสียเวลาไปๆ มาๆ ก็เพื่อสถานการณ์ที่ต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าอาเหลียงน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรือไง?”

เทพเจ้าที่หนุ่มขบคิดคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียด ตอนที่มองไปยังชายหนุ่มนามว่าเฉินผิงอันอีกครั้งก็ทั้งอิจฉา และเวทนา

ครู่หนึ่งต่อมา

แสงรัศมีขาวจากปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่มากพอจะเขย่าคลอนขุนเขาก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

เทพเจ้าที่หนุ่มตกใจจนเข่าอ่อนลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น

เงาร่างของชายฉกรรจ์สวมงอบหายวับจากบนลำต้นไผ่เขียวที่เป็นดั่งสะพานโค้ง แล้วมาปรากฎตัวอยู่กลางอากาศสูงของเขาฉีตุนในชั่วพริบตา ดาบไม้ไผ่ฝักเขียวที่เหน็บไว้ตรงเอวถูกชักออกอย่างรวดเร็ว ฟาดฟันให้แสงรัศมีสีขาวขาดท่อน ไม่ทะยานขึ้นสู่อากาศสูงอีกต่อไป

ครู่หนึ่งต่อมา อาเหลียงก็กลับมานั่งบนลำต้นไผ่ที่ยังได้ดีดกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง แล้วโยนดาบไม้ไผ่ที่วัสดุธรรมดาเล่มนั้นทิ้งไป แม้ดาบจะยังไม่หัก แต่ตัวด้ามจับกลับเละเทะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

งูดำหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปยังป่าลึกของเขาฉีตุน

ห่างไปจากด้านหน้าเด็กหนุ่มไม่ไกล งูขาวที่จู่ๆ ก็กระโจนเข้ามาสังหารเขาอย่างไม่มีวี่แวว เวลานี้ได้สูญเสียหัวทั้งหัวไปแล้ว เผยให้เห็นเพียงลำคอที่เลือดสาดไหลทะลัก สภาพน่าพรั่นพรึงจนแทบทนมองไม่ได้

เฉินผิงอันแสยะปากสีหน้าเรียบเฉย

สายตาของเขาไม่ต่างจากตอนที่สังหารไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองในตรอกเล็ก

อาเหลียงกลั้นยิ้ม ปลดน้ำเต้าขนาดเล็กตรงเอวลงมากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แล้วหัวเราะเสียงแผ่ว “น่าสนใจไม่น้อยเลยแหะ”

——