บทที่ 103.1 เรือนไผ่ โดย ProjectZyphon

ไผ่เขียวต้นนั้นพลันดีดผลุงขึ้นตั้งตรง ที่แท้อาเหลียงกระโดดลงไปยืนบนพื้น ยื่นมือไปดึงตัวเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนให้ยืนขึ้น จุ๊ปากพูดกลั้วหัวเราะ “แม้ว่าการเดิมพันของข้าจะแย่ แต่โชคของเจ้ากลับดีมาก”

เทพเจ้าที่หนุ่มสีหน้าซีดขาว ขมวดคิ้วไม่คลาย แม้จะยังหวาดผวาไม่เลิก แต่ก็ถือว่ารักษาป่าไผ่ที่เหลืออีกแค่ครึ่งเดียวเอาไว้ได้ ทว่าเมื่อเขามองเห็นหัวของงูขาวขาดกระเด็นหล่นอยู่ไม่ไกล ความรู้สึกนับร้อยก็ประดังประเดเข้าหาเทพเจ้าที่หนุ่ม เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายร้อยปี แม้ว่าจะไม่มีมิตรภาพอันดีต่อกัน อีกทั้งยังมีปัญหากันไม่เคยขาดระยะ แต่โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่าพอจะอยู่ร่วมกันได้ อย่างน้อยก็ไม่เคยคิดฆ่าแกงเอาชีวิตกันมาก่อน วันนี้เดิมทีงูทั้งสองตัวควรจะเหยียบลงบนมหามรรคากว้างใหญ่แห่งการฝึกตนแล้ว แต่ในเวลาเช่นนี้ดันมาถูกคนใช้ปราณกระบี่อันเฉียบคมตัดหัวเสียขาดกระจุย พลังความสะท้านสะเทือนที่มอบให้เขาจึงมากพอจะจินตนาการได้

เทพเจ้าที่หนุ่มถอนหายใจหนึ่งครั้ง กุมมือคารวะอย่างห่อเหี่ยว เอ่ยเสียงเบา “ก็เหมือนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสรู้ คนต่ำต้อยที่เป็นดั่งพ่อค้าหน้าเลือดเห็นเพียงผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างข้านี้ มีนิสัยต่ำช้าหากสามวันไม่โดนตี ต่อไปคงขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา แต่วันนี้ได้รับการสั่งสอนจนเต็มอิ่มแล้ว หวังว่าผู้อาวุโสอาเหลียงจะสงสารข้าน้อย ข้าตกใจจนขวัญหายกระเจิดกระเจิงแล้วจริงๆ ไม่เหลือความกล้าหาญอีกแล้ว อันดับต่อไปไม่ว่าผู้อาวุโสอาเหลียงจะสั่งอย่างไร ข้าน้อยจะต้องทำตามอย่างแน่นอน”

อาเหลียงไม่ได้แสร้งขู่ให้กลัว เขาก้มหน้าลงมอบฝักดาบไม้ไผ่เขียวที่ว่างเปล่าแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “เจ้าเลือกไม้ไผ่ดีๆ มาสักท่อนหนึ่ง ข้าต้องการเปลี่ยนดาบไม้ไผ่เล่มใหม่ ถือว่าเป็นของขวัญที่เพื่อนเจ้ามอบให้ อีกอย่างก็คือไม้ไผ่มากมายขนาดนี้ร่วงมากองอยู่บนพื้นเป็นพะเนิน ปล่อยให้เสียเปล่าย่อมไม่ดี”

มุมปากของเว่ยป้อเทพเจ้าที่กระตุก ได้แต่นินทาอยู่ในใจ ผู้อาวุโสอาเหลียง แบบเจ้านี่มันเรียกว่าจิตสำนึกอันดีงามสูญสิ้นหมดแล้ว อาเหลียง เหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงามกะปู่เจ้าน่ะสิ

อาเหลียงลูบคลำปลายคาง “เพื่อนของข้าคนนั้นทำการค้าที่ขาดทุน ซึ่งเป็นการช่วยให้เขารักษาป่าไผ่อีกครึ่งหนึ่งไว้ได้ในทางอ้อม เป็นคนต้องมีคุณธรรม มีพระคุณต้องตอบแทนพระคุณ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เว่ยป้อยิ้มเฝื่อน “ควรต้องเป็นเช่นนี้ เป็นหลักการฟ้าดินที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย”

เฉินผิงอันถือมีดผ่าฝืนครึ่งท่อนวิ่งไปหยุดข้างกายศพของงูขาว ตัดปีกอีกข้างหนึ่งของมันออกมา ปีกนี้ใสโปร่งแวววาว ยาวเท่าแขนคน ยามที่มือสัมผัสให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำดุจหิมะ เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องก็มีประกายแสงกะพริบพริบพราวปรากฎขึ้นเป็นระลอก ก่อนหน้านี้ตอนที่พูดคุยกัน อาเหลียงบอกว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดบนร่างงูขาวตัวนี้ นอกจากดีงูก็คือปีกที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังมีแต่ราคา ไม่มีตลาด ชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างหนังงู เส้นเอ็นหรือกระดูกที่แม้จะหายากมีค่า แต่เมื่อเทียบกับระดับความล้ำค่าของสองอย่างแรกแล้ว กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันผูกดาบผ่าฝืนไว้ตรงเอวแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปทางป่าไผ่ ผลกลับเห็นว่าเทพเจ้าที่หนุ่มกำลังค้อมตัวกึ่งคุกเข่า มือทั้งคู่ดึงไผ่เขียวต้นหนึ่งออกมาจากพื้นดิน ปล้องไม้ไผ่สีเขียวมรกตที่อยู่ใต้ดินตัดสลับกันเป็นกอ เพียงแค่กระตุกเส้นเดียวก็ลามโดนทั้งหมด เมื่อไผ่เขียวถูกดึงออกมาจากดินโคลน ดินที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจึงถูกปล้องไม้ไผ่สลัดให้กระเด็นขึ้นมาด้วย

หลังจากเห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ “ฆ่าคนชิงทรัพย์สวมเข็ดขัดทองคำ” เทพเจ้าที่หนุ่มที่เหงื่อออกเต็มใบหน้าก็กลืนน้ำลายเอือกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็เอาไผ่เขียวที่โอบไว้ในอ้อมอกวางกลับลงไปในดินเบาๆ ก้มหน้ามองไปรอบด้าน สุดท้ายเลือกปล้องไม้ไผ่สีเขียวเข้มขนาดหนาเท่าแขนเด็กท่อนหนึ่งมา ถอนหายใจก่อนเงยหน้ามองเฉินผิงอัน ถามด้วยรอยยิ้มฝืนใจเต็มที “ขอข้ายืมมืดผ่าฟืนเล่มนั้นหน่อยได้ไหม?”

เฉินผิงอันเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมีดผ่าฝืนที่เหลือเพียงครึ่งส่งให้เทพเจ้าที่หนุ่ม ฝ่ายหลังคว้าด้ามจับมีดผ่าฟืนเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากฟันไม้ไผ่ปล้องนั้นแล้วก็ยื่นส่งให้อาเหลียง อาเหลียงส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “เจ้าทำให้เหมือนกับดาบไม้ไผ่เล่มเดิมของข้า ตอนจะออกจากพื้นที่ของเขาฉีตุนค่อยมอบให้ข้าพร้อมกับลาขาวตัวนั้น”

เว่ยป้อไม่กล้าไม่ตอบรับ ตอนที่ส่งมีดผ่าฟืนคืนให้กับเฉินผิงอันยังเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ช่างเป็นใบมีดที่คมกริบยิ่ง”

เฉินผิงอันรับมีดผ่าฟืนมา คิดดูแล้วก็พูดว่า “หากเจ้าต้องการ ข้าก็มอบให้เจ้าได้ จะอย่างไรซะมีดผ่าฟืนครึ่งเล่มนี้ก็ไม่เหมาะให้ใช้ถางเส้นทางอีกแล้ว ข้าเอาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก”

เว่ยป้อยิ้มแห้ง “วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น”

อาเหลียงหัวเราะร่า “อยากได้ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะรับไปเปล่าๆ ถ้าอย่างนั้นซื้อก็ได้นี่ ทำการค้าด้วยความสัตย์ซื่อยุติธรรม ไม่หลอกหลวงเด็กและคนชรา ถูกไหม?”

เว่ยป้อทำหน้า “กระจ่างแจ้ง” พอลุกขึ้นยืนก็ปัดดินบนมือออก พูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “หากเป็นคนที่ขึ้นเขาบ่อยๆ จะรู้ว่าถ้าป่าไผ่แห่งหนึ่งแน่นหนาเกินไป กลับจะไม่ส่งผลดีต่อการเติบโตของต้นไผ่ ควรมีระยะห่างที่เหมาะสม ป่าไผ่ถึงจะเติบได้อย่างแข็งแรง ดังนั้นจำเป็นต้องตัดบางส่วนทิ้ง อีกทั้งส่วนที่มีค่าอย่างแท้จริงของป่าไผ่แห่งนี้อยู่ที่ปล้องไม้ไผ่ที่เชื่อมโยงอยู่กับรากฐานของภูเขาใต้ดิน ไม่ได้อยู่ที่ลำต้นด้านบน เมื่อครู่จึงฉวยโอกาสนี้ขอยืมดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสอาเหลียงมาตัดต้นไผ่ที่เกินความจำเป็นบางส่วนออก เดิมทีคิดว่าจะเอามาสร้างเป็นเรือนต้นไผ่เล็กๆ สักหลัง เพื่อใช้เป็นที่นั่งพักชื่นชมทัศนียภาพยามว่าง

เทพเจ้าที่หนุ่มยิ่งพูดยิ่งคล่อง “ตอนนี้ดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสอาเหลียงถูกข้าฟันจนพังไปแล้ว พูดแล้วก็ละอายใจ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ข้าก็เกิดใจอยากครอบครองมีดผ่าฝืนครึ่งท่อนในมือเจ้ามาโดยตลอด ถ้าไม่อย่างนั้นดาบไม้ไผ่ข้าก็ยังทำ เรือนไผ่ก็ยังคงสร้าง ดาบไม้ไผ่คงคืนให้แก่อาเหลียงได้โดยเร็ว เพียงแต่ว่าเรือนไผ่เล็กคงต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะทำเสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นงูดำเดินทางไปที่ภูเขาลั่วพั่วของอำเภอหลงเฉวียน ข้าก็จะติดตามไปด้วย ทั้งป้องกันไม่ให้มันไปก่อเรื่องอะไรทางเหนือ ขณะเดียวกันก็สามารถให้มันแบกไม้ไผ่พวกนี้ไปด้วยได้ พอข้าไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็จะหาสถานที่ที่ภูเขาสวยน้ำใส ทัศนียภาพงดงามสร้างเรือนไม้ไผ่ให้เจ้า”

เฉินผิงอันมองไปทางอาเหลียง ชายฉกรรจ์สวมงอบจึงอธิบายยิ้มๆ “ในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มีไผ่เซียนที่สำคัญที่สุดอยู่สิบต้น ไผ่มีคุณธรรมสิบประการ (ต้นไผ่คือสัญลักษณ์ของวิญญูชน) ซึ่งสอดคล้องตรงกับไผ่เซียนทั้งสิบต้นพอดี บรรพบุรุษของป่าไผ่ผืนนี้คือลูกหลานของ ‘ไผ่กล้าหาญ’ หนึ่งในนั้น พวกลูกหลานที่อยู่ในป่าไผ่แห่งนี้จึงได้พึ่งใบบุญไปด้วย หากนำไปสร้างเป็นเรือนไผ่แห่งหนึ่งแล้วนั่งฝึกตนอยู่ในนั้นเป็นประจำตลอดทั้งปี สำหรับผู้ฝึกยุทธ์หรือนักพรตสำนักการทหารแล้วก็ล้วนถือว่าได้รับผลประโยชน์มหาศาลทั้งสิ้น”

เว่ยป้อรีบพูดคล้อยตาม “ใช่ ป่าไผ่แห่งนี้ล้วนเป็นลูกหลานของไผ่เซียนกล้าหาญต้นนั้น ในหนังสือประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ‘ขวัญทหารฮึกเหิม ดุจผ่าลำไม่ไผ่ หลายปล้องผ่านไป หลายปัญหาแก้ตกไปตามกัน’ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายนี้โดยไม่ได้นัดหมาย คือเหตุผลที่ว่าทำไมการฝึกตนอยู่ในเรือนไผ่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณได้อย่างยอดเยี่ยม”

เฉินผิงอันกำลังจะพูด แต่อาเหลียงกลับก้าวยาวๆ ปรี่ขึ้นหน้าไปโอบไหล่เด็กหนุ่มแล้วพาเดินออกไปนอกป่าไผ่ “คำเชื้อเชิญยากจะปฏิเสธ แขกย่อมปฏิบัติตามเจ้าบ้านสะดวก ไปเถอะๆ”

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ยังไม่ได้คืนดาบผ่าฝืนให้เขาเลยนะ”

อาเหลียงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมอบให้เขาพร้อมกับดาบอีกท่อนที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่”

หลังจากนั้นชายฉกรรจ์สวมงอบก็ไม่ลืมหันกลับไปพูดเตือน “ดีที่ยังไม่ก่อรูปก่อร่างของงูขาวตัวนั้นไม่เอาแล้ว เลือดสดไหลนองขนาดนั้นน่าตกใจเกินไป เอาไปมอบให้งูดำกินพร้อมกับเนื้อของมันด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีปีกคู่นั้นก็ยังคงสามารถทำให้มันเพิ่มตบะได้อีกสองสามร้อยปี นี่ถือเป็นความจริงใจของพวกเราแล้ว จำไว้ว่าหลังจากมันไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็บอกให้มันจงตั้งใจฝึกตนแต่โดยดี”

สุดท้ายอาเหลียงชี้นิ้วผ่านความว่างเปล่าไปที่เทพเจ้าที่หนุ่มที่วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว “พึงสังวรตัวเองให้ดี”

เทพเจ้าที่หนุ่มยืนอยู่ริมป่าไผ่ มองเงาร่างของคนสองคนที่เดินจากไป สายภูเขาลมพัดโชยผ่านต้นไม้สีเขียวและพุ่มดอกไม้สีแดง พัดพาเอากลิ่นหอมสะอาดของต้นไม้ดอกไม้ที่ทำให้จิตใจปลอดโปร่งลอยมา ชายหนุ่มหน้าตางดงามดุจสตรี ในมือถือไม้เท้าไผ่เขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าที่บนภูเขา อาภรณ์ขาวปลิวไสว ชายแขนเสื้อสะบัดตามลม ความตื่นตะลึง หวาดกลัว ร้อนใจและพรั่นผวาก่อนหน้านี้ถูกลมเย็นพัดพาจนหายเกลี้ยง แทนที่มาด้วยความเคร่งขรึมจริงจังที่สอดคล้องกับสถานะขององค์เทพแห่งพื้นที่หนึ่ง

เขากวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบา “คำที่ว่าโชคและภัยมักจะมาพร้อมกันก็คืออย่างนี้นี่เอง ขอบคุณการชี้แนะอย่างไร้เมตตาจากผู้อาวุโสอาเหลียงที่ช่วยให้ข้าคลายปมในใจ บุกทลายมารร้ายที่ขวางกั้น”

เทพเจ้าที่หนุ่มหลับตาลง มุมปากยกยิ้มอบอุ่น เอ่ยพึมพำว่า “นับแต่โบราณกาลมาภูเขาที่มีชื่อเสียงมีอริยะ อริยะไม่มาแล้วอย่างไร ข้าสามารถชำระใจให้บริสุทธ์ดุจอริยะได้”

รอจนลืมตาขึ้นมา ใบหูของชายหน้าต่อหล่อเหลาก็มีต่างหูสีทองอ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ต่างหูทรงกลมประณีตแกว่งไกวเบาๆ ไปตามลม ขับให้เทพเจ้าที่หนุ่มมองดูคล้ายเทพแห่งขุนเขาที่แท้จริง

——