ภาคที่ 1 บทที่ 4 เหล่าคนเหล็กรวมตัว (ตอนปลาย)

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 4 เหล่าคนเหล็กรวมตัว (ตอนปลาย)

“แปะ แปะ แปะ ๆ”

ทั้งสองคนตบมือให้อย่างสุดหัวใจ พวกเขารู้สึกราวกับพบเจอผ้าขี้ริ้วห่อทองห่อเพชรในขณะที่มองไปยังซูเย่

“ไม่คิดเลยว่านอกจากนักร้องสุดเทพสองคนแล้ว วงเรายังมีมือกีตาร์สุดเทพอีกด้วย นี่มันขุมทรัพย์ทางศิลปะชัดๆ “

จินฟานยกย่องอย่างจริงใจ

ซูชือพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ในขณะที่ความรู้สึกอันน่าตื่นเต้นนี้ยังอยู่ ทำให้เกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมา ดวงตาของซูชือดูเปล่งประกายในขณะที่กล่าวออกมา “ฉันนึกอะไรออกแล้ว! ทำไมเราสามคนไม่ลองไปเล่นดนตรีที่จัตุรัสกลางดูล่ะ? ซ้อมความเข้ามือกันไง!”

หลังจากที่จินฟานได้ยินแบบนั้น ก็ดวงตาลุกวาวไม่ต่างกัน “ไอเดียบรรเจิด!”

“เสี่ยวเย่ นายพอจะเล่นได้กี่เพลง?”

ทั้งสองรีบมองไปยังซูเย่

ซูเย่พูดด้วยเสียงราบเรียบ “ก็พอเล่นได้หลายเพลงอยู่”

ซูชือไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะเขียนรายชื่อเพลงเป็นโหล ๆ ที่พวกเขาฟังมาตลอดช่วงเที่ยง ก่อนจะส่งลิสต์ในกระดาษพร้อมปากกาให้กับซูเย่แล้วถามว่า “คิดว่าไง มีเพลงไหนที่เล่นได้บ้าง?”

ซูเย่รับมาทั้งกระดาษและปากกา ก่อนจะอ่านรายชื่อเพลงบนกระดาษ

เขาไม่ได้เขียนหรือทำสัญลักษณ์ใด ๆ ลงไปและส่งกระดาษคืน

“ได้หมด “

“จริงอะ?”

จินฟานและซูชือถึงกับตะลึงนิ่งไปครู่หนึ่ง นี่คือเซ็ตเพลงที่พวกเขาปรึกษาพูดคุยกันตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา เพื่อหาเพลงที่ทุกคนสามารถเล่นได้และเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอะไรขนาดนี้ที่พวกเขาสามารถเล่นกันได้ทุกเพลงโดยไม่ต้องตัดเพลงไหนออก?

พวกเราเป็นกลุ่มนักดนตรีฟ้าประทานจริง ๆ เหรอเนี่ย?

“พูด ๆ ไปแล้วเหมือนหลงตัวเองเลยแฮะ แต่นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยเราก็เล่นได้มากกว่าหนึ่งในสามของเพลย์ลิสต์ที่คิดไว้ แค่นั้นก็พอแล้ว”

ซูชือปรบมือขณะที่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งสองคนรีบลงมือทันทีโดยเริ่มจากไปยืมอุปกรณ์เครื่องเสียงและไมโครโฟนจากห้องกิจกรรมนักศึกษา

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หนึ่งหนุ่มถือกีตาร์ หนึ่งหนุ่มถือขาตั้งไมค์โครโฟน และอีกหนึ่งหนุ่มลากเครื่องเสียงไปยังจัตุรัสส่วนกลาง

จัตุรัสกลางคือจุดรวมพลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นจุดศูนย์กลางที่รายล้อมไปด้วยสถานศึกษาต่าง ๆ

ในทุก ๆ คืนจะมีนักศึกษามากมายมาที่นี่ เพื่อสร้างความบันเทิงและพูดคุยเกี่ยวกับความรัก

เมื่อซูเย่เดินทางมาถึงจัตุรัสกลาง เขาสังเกตได้ถึงนักเรียนหลากหลายกลุ่มที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นไอความเยาว์วัยของหนุ่มสาวที่มีใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง

จัตุรัสนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผู้คนที่มาเล่นสเก็ตบอร์ด โรลเลอร์สเก็ต บางกลุ่มก็กำลังเต้นสตรีทแดนซ์ บางกลุ่มก็กำลังโชว์การแสดงกระบองสองท่อน

หรือเรียกได้ว่าผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด

“แน่ใจเหรอว่าเราจะร้องเพลงกันที่นี่?”

จินฟานและซูเย่ถึงกับตะลึงกับผู้คนมากมายจนเริ่มรู้สึกอายนิด ๆ พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องมาพบกับผู้คนมากมายขนาดนี้ แถมยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่นี่เสียด้วย

“คนเยอะก็หมายถึงเงินเยอะ!”

ซูชือลูกคุณหนูรุ่นที่สองของตระกูลผู้ร่ำรวยกล่าวขึ้นพร้อมดวงตาที่เปร่งประกาย

“ถ้ามาที่นี่ก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แล้วพวกเราสามคนจะต้องดังระเบิดแน่ ๆ”

จินฟานพยายามเสริมทัพอย่างเต็มที่

“เหมือนจะมีคนที่คิดเหมือนกันนะ”

ซูเย่ชี้ไปยังส่วนกลางของจัตุรัส

ทั้งสองคนมองไปตามทิศทางที่นิ้วของซูเย่ชี้

เด็กสาวคนหนึ่งในชุดฮั่นฝู(ชุดจีนโบราณ) ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมสีขาวบาง ๆ เธอกำลังเล่นพิณผีผาและร้องเพลงใต้อนุสาวรีย์หินในจัตุรัสที่มีข้อความว่า “เล่าเรียนเพื่ออนาคตของประเทศ”

มีผู้คนยืนมุงอยู่มากมาย

ได้ยินเสียงขับร้องที่แสนไพเราะดังมาแต่ไกล

“ดอกไม้งามไหลผ่านตามสายน้ำ ลมแผ่วเบาโชยพัดพริ้วไสว หัวใจล่องลอยตามลมไป โอ้ ดวงใจฉันได้กลับคืน… “

หลังจากที่ได้ยินบทเพลงของเด็กสาว จินฟานและซูเย่มองหน้ากันก่อนจะหิ้วขาตั้งไมโครโฟนและลำโพงเดินไปในทิศทางตรงข้ามกับเด็กสาวคนนั้นอย่างไม่ลังเล

“อยู่ห่าง ๆ กันไว้ดีกว่า เธอคนนั้นร้องเพลงดีเกินไปหน่อย ถ้าเราอยู่ใกล้ ๆ เราจะหมองเอาได้”

ซูเย่ยิ้มในขณะที่เดินตามทั้งสองหน่อต่อไป

เมื่อพวกเขามาถึงส่วนที่คนเบาบางกว่า ทั้งสองคนก็เริ่มติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างขมักเขม่นในขณะที่ซูเย่จัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเปิดสวิตช์ไมโครโฟน

ซูชือถอดเสื้อแจ็คแก็ตออกด้วยมาดเคร่งขรึม และวางไว้บนพื้นตรงหน้าของเขา

ซูเย่ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

จินฟานเองก็อธิบายด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมเช่นกันว่า “เพื่อจิตวิญญาณแห่งการร้องเพลงสตรีทไงล่ะ!”

ซูเย่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ยกนิ้วโป้งให้กับเพื่อนทั้งสองในทันที

ถ้าทำแล้วสบายใจ…..ก็เอาเถอะ

ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มทั้งสามเองก็จัดเตรียมตัวเองเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

คู่รักบางคู่เดินผ่านไปมาต่างมองดูพวกเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่หยุดยืนดูหรือฟังแต่อย่างใด

จินฟานมองดูคู่รักที่เดินผ่านมาและผ่านไป ก่อนจะพูดกับซูเย่ด้วยความเศร้าใจตามประสาชายโสดว่า “เราต้องหาเพลงที่เหมาะ ๆ กับบรรยากาศซะก่อน คิดว่าเพลง ‘เหมาะกันแล้ว’ เป็นไงบ้าง”

“อย่าไปสนใจเลยน่า มันก็เหมือนคนในคณะวิทยาศาสตร์คบกับคณะวิศวกรรม ซึ่งสุดท้ายแล้วก็คงต้องเลิกกันไปหลังเรียนจบอยู่ดี”

ซูชือมองจินฟานแบบแดกดันก่อนจะหันไปพูดกับซูเย่

“ฉันว่าเพลง ‘คนสองคนไม่เท่ากับสองเรา’ ก็ดีเหมือนกันนะ”

ซูเย่ยิ้มและพูดออกมาอย่างเรียบง่าย “ไม่ดีเท่าการ ‘แยกทาง’ อย่างมีความสุขหรอก”

ฟังดูเจ๋งไปเลย!

จินฟานและซูชือมองซูเย่ด้วยสายตาชื่นชมอย่างสุดหัวใจ นายนี่มันสุดยอดกว่าพวกเราเสียอีก

ซูเย่พยายามไม่สนใจท่าทางอาการของพวกเขาก่อนจะค้นหาเพลงที่มีคะแนนสูงจากราชวังแห่งความทรงจำและเริ่มเล่นเพลง ๆ หนึ่ง

“สายลมสามสิบลี้แห่งฤดูใบไม้ผลิ?”

เมื่อได้ยินเสียงอินโทรของเพลง ทั้งสองคนหันไปมองซูเย่อย่างประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่มีเพลงเป็นโหลอยู่ในเพลย์ลิสต์

แต่ทำไมถึงเลือกเพลงนี้ล่ะ?

“จะหาเงินก็ต้องดูสถานการณ์ด้วยนี่”

ซูเย่ชี้ไปยังเสื้อที่กองอยู่ที่พื้น

จินฟานและซูชือมองเสื้อที่อยู่บนพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทั้งเป็นคู่ เป็นกลุ่ม และอยู่คนเดียว

ทั้งสองคนมองซูเย่ด้วยสายตาที่ชื่นชมและเทิดทูนยิ่งกว่าเดิม พวกเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าเป้าหมายของการมาเล่นดนตรีครั้งนี้คืออะไร

พวกเขาจัดแจงท่ายืนของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะฟังทำนองเสียงเพลงที่บรรเลงโดยซูเย่ เมื่ออินโทรกีตาร์เล่นมาถึงท่อนแรก ทั้งสองคนก็เริ่มร้องเพลง

จินฟาน: “ฉันอยู่บนถนนหนทาง ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดถึงเธอที่อยู่ไกลกว่า สายลมของฤดูใบไม้ผลิที่ห่างไปสามสิบลี้”

ซูชือ: “สายลมที่พัดมา มันพัดมาถึงเธอ สายฝนตกโปรยลงมา ฉันบอกได้เลยว่าสุราเลิศรสใด ๆ ก็ไม่อาจเทียบเธอได้”