ซ่งฝูเซิงทอดถอนหายใจ เดาได้ว่าภรรยาคงคิดถึงท่านพ่อตาแม่ยายอีกแล้ว เขาเดินไปแตะไหล่ภรรยาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน “พอแล้ว วันนี้ข้าทำกับข้าวเอง อย่าไปคิดมากว่าวัตถุดิบอาหารมีน้อยเลย”
เขาพูดจบก็ถกแขนเสื้อนั่งลงบนเก้าอี้ทรงเตี้ยเพื่อที่จะจุดไฟ ให้ภรรยาและลูกออกไปนั่งรอกินข้าวด้านนอก
เมื่อเอ่ยถึงวัตถุดิบอาหาร ซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิงที่น้ำตาคลอก็ถึงกับสบตากัน พวกนางนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไปอย่างหนึ่ง
เฉียนเพ่ยอิงรีบปาดน้ำตา แม่และลูกเอ่ยปากถามขึ้นมาแทบจะพร้อมๆ กัน “ท่านเอาช็อกโกแลตมาจากไหน?”
ซ่งฝูเซิงตอบอย่างช้าๆ “ใช่ซิ พวกเจ้าทำไมเพิ่งมาถาม ตอนนั้นข้าตกใจจนหน้าซีดไปหมดแล้ว”
…
มีพื้นที่พิเศษอยู่
พื้นพิเศษ เป็นส่วนหนึ่งของบ้านในยุคปัจจุบัน
พ่อซ่งเพียงแต่ใช้หัวแม่มือขวากดลงตรงจุดไฝแดงกลางฝ่ามือ ในสมองก็จะขึ้นภาพบ้านในโลกยุคปัจจุบัน
หากอยากจะนำของที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศออกมา จะต้องหยิบจากพื้นที่พิเศษนี้เท่านั้น ที่สำคัญสายตาจะต้องมองเห็นสิ่งนั้นก่อน ต้องรู้ว่าสิ่งของนั้นอยู่ที่ไหน สามารถใช้ความคิดค้นหาได้
แล้วของจากยุคโบราณนี้ สามารถเอาไปเก็บไว้ในพื้นที่พิเศษได้หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ได้
แล้วสิ่งของในยุคปัจจุบัน สามารถนำมาในยุคโบราณได้หรือไม่? ได้ แต่ต้องให้พ่อซ่งสงบสติอารมณ์และคิดถึงว่าเขาต้องการสิ่งนี้
แต่ตอนที่เขาอยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนสิ่งของนั้น ตัวเขาในยุคอดีตจะหยุดนิ่ง เหมือนถูกวิญญาณเข้าสิงร่าง ถูกสะกดจุด ลูกนัยน์ตาไม่สามารถกรอกไปมาได้ เพราะความคิดของเขากำลังล่องลอยอยู่ในพื้นที่พิเศษ จึงไม่สามารถพูดและเคลื่อนไหวได้
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ในพื้นที่พิเศษจะคงสภาพเช่นเดิมไว้เสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีระบบไฟฟ้า น้ำปะปา อินเทอร์เน็ต ใช้โทรศัพท์และดูโทรทัศน์ไม่ได้ เป็นเพียงบ้านที่มีแสงสว่าง
อาจกล่าวได้ว่า ก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะหลุดมายังยุคโบราณ สภาพห้องตอนนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
ยกตัวอย่าง ก่อนจากมา แตงกวาตรงระเบียงด้านเหนือเริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว ต่อไปก็จะยังคงสภาพเหี่ยวเฉาอยู่อย่างนั้น ตอนที่จากมา ในห้องครัวยังล้างลูกพลับอยู่ในกะละมัง หากจะนำลูกพลับนั้นมายังยุคอดีต ตอนนำออกมาก็จะมีหยดน้ำติดมาด้วย ส่วนของที่แช่แข็งในตู้เย็น ก่อนนำออกมา เนื้อสัตว์แช่แข็งมีสภาพเช่นไร ก็จะยังคงรักษาสภาพอุณหภูมิเช่นนั้นไว้เช่นเดิม
เช่นเดียวกับครอบครัวพวกเขาสามคน ที่ย้อนเวลามายุคโบราณ…
เฉียนเพ่ยอิงถึงกับอึ้ง สองมือกุมนมเปรี้ยวที่นางสั่งให้พ่อของลูกนำออกมา
จิตใจของนางล่องลอย เปิดฝานมเปรี้ยวออกก่อนใช้ลิ้นสัมผัสรสชาติ
เมื่อรสชาติของนมเปรี้ยวกระจายไปทั่วบริเวณริมฝีปาก เฉียนเพ่ยอิงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
นางคิดว่าเมื่อก่อนคงใช้ชีวิตอัตคัดจนเกินไป ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้จึงไม่มีอะไรที่นางจะรับไม่ได้
หูได้ยินเสียงบุตรสาวเร่งพ่อของนาง “ท่านเอาไฟแช็คออกมาด้วยนะ หากท่านไม่อยู่บ้าน ข้ากับท่านแม่ก็คงไม่สามารถทำอาหารได้ ถ้าจะใช้ก้อนหินก่อไฟ เราสองคนต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะคุ้นเคย”
พ่อของลูกได้กล่าวเสริม “ถูกต้อง พวกเจ้ากินอะไรต้องศึกษาไว้บ้างเวลาข้าไม่อยู่บ้าน สิ่งสำคัญคือ พวกเจ้าไม่รู้จักใคร ไม่สามารถเดินไปข้างนอกตามสะดวกได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม คงต้องรอให้คุ้นเคยเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที…
…ลูกสาว ถ้าเช่นนั้นข้าทอดหมาฮวาให้พวกเจ้าแล้วกัน ข้าจะทอดไว้เยอะหน่อย เผื่อข้าไม่อยู่บ้าน เจ้ากับแม่ของเจ้าจะได้กินหมาฮวารองท้องไปก่อน เดี๋ยวข้าจะทำโจ๊กเนื้อไม่ติดมัน หมูตุ๋น มะเขือม่วงราดซอสด้วย ถือว่าเป็นกับข้าวของพวกเรามื้อนี้ในยุคโบราณ รอข้าทำให้เจ้าก่อนนะ”
แต่บุตรสาวที่รู้จักการดำเนินชีวิต รีบจับแขนพ่อของนาง ตาโตเบิกกว้าง “ไม่ได้นะ ถ้าจะให้ดีก็ควรใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในตอนนี้สิ ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าของที่อยู่ในบ้านนั้น ถ้าถูกใช้ไปก็จะหมด ของด้านนอกก็ส่งเข้าไปไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ตั้งแต่นี้ต่อไปห้ามแตะต้องของในบ้านนั้น จำได้หรือไม่?”
นางยังไม่วางใจ ยังคงจ้องมองซ่งฝูเซิงพร้อมกับเน้นย้ำอีกครั้ง “ท่านนำพวกน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูกับสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ชั่วคราวออกมาได้ ส่วนของอื่นๆ ท่านควรต้องหาเงินในยุคโบราณมาซื้อ”
เฉียนเพ่ยอิงเอ่ยต่อ “ใช่ ฟังลูกสาวเราพูดเถอะ เจ้าทำได้?”
และส่งยิ้มให้กับซ่งฝูหลิง “ข้าคิดว่าพ่อของเจ้าคงทนไม่ไหว เมื่อก่อนซ่งฝูเซิงตัวจริงยังสอนหนังสือได้เงินไม่มากเท่าไหร่ นี่มาถึงพ่อของเจ้า ถ้าต้องสอนหนังสือคงโดนจับได้ว่าเขาไม่ใช่ครูจริงๆ เพราะไม่มีความรู้ความสามารถอะไร ปีนั้นเขาสอบขึ้นมัธยมศึกษาชั้นต้นยังไม่ผ่านเลย ตอนเข้ามัธยมปลายก็ยังต้องอาศัยเส้นสายช่วย”
“เอ๊ะ เพ่ยอิง เจ้านี่ นับวนจะยิ่งไม่มีน้ำใจ พูดจาเหลวไหลต่อหน้าลูก ข้าสอบเข้ามัธยมต้นไม่ผ่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เฉียนเพ่ยอิงหัวเราะออกมา
มิน่าเล่า เหล่าซ่งถึงร้อนใจ เรื่องนี้ในยุคปัจจุบันถูกปิดบังมายี่สิบกว่าปีแล้ว
เพิ่งรู้ว่าพ่อของลูกสาว เมื่อก่อนชอบชื่นชมยกยอตนเอง เขาพูดว่าลูกสาว คือ ซ่งฝูหลิงสามารถสอบเข้าเรียนปริญญาโทได้นั้นเพราะฉลาดเหมือนเขา แต่ที่การศึกษาเขาน้อยเพราะเจอพ่อแม่ไม่ดีและเกิดมาไม่ทันยุคสมัยที่ดี มิเช่นนั้นคงได้เรียนถึงปริญญาเอกแล้ว
ฟังดูสิ เขาชมตัวเอง ถ้าหากการชมตัวเองมากเท่าไหร่แล้วต้องเสียภาษีมากเท่านั้น สงสัยตอนนี้ที่บ้านคงยากจนไปแล้ว
“ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะกังวลว่าจะใช้ชีวิตลำบาก พวกเราก็ยังไม่คุ้นเคยกับยุคสมัยนี้ เราสองคนไม่มีความทรงจำและยังฉุดรั้งเจ้าไว้อีก เลยพูดเตือนเจ้าแค่สองประโยค”
ซ่งฝูหลิงคิดว่าพ่อของนางคงจะอับอายจนโมโหและพูดว่า “ไม่ต้องให้เจ้ามาเตือน เจ้ารอดูก็แล้วกัน!” แต่ผิดคาด เขากลับไม่ได้พูดอะไร
พ่อซ่งนิ่งเงียบตักข้าวสารลงหม้อ นวดแป้งอย่างสงบ ดูจากเบื้องหลังเหมือนไม่มีชีวิตชีวา
ซ่งฝูหลิงเข้าไปปลอบใจ “พ่อ ข้าเชื่อท่าน ท่านต้องทำได้”
ซ่งฝูเซิงสะบัดเส้นหมี่ที่อยู่ในมือ พูดน้ำเสียงเบา “ไม่ใช่เรื่องนั้น ข้ากังวลเรื่องอื่น มีเรื่องที่น่ากลัวกว่าเรื่องพื้นที่พิเศษ”
“อ๊าห์?” ซ่งฝูหลิงนิ่งไป
“ข้าไม่ได้เอ่ยถึงว่านี่คือยุคสมัยอะไรเพราะข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…
…พวกเจ้าดูสิ เรามีซอส กระทะ มีต้นหอม ขิง กระเทียม ที่สำคัญยังมีข้าวโพด แต่ผลผลิตข้าวโพดไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่มีมันหัว มันฝรั่ง มะเขือเทศ พริก อย่างน้อยในความทรงจำของข้าเองก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยกินมาก่อน”
เฉียนเพ่ยอิงฟังไม่เข้าใจว่าสามีกำลังหมายถึงอะไร สิ่งที่พูดมาจะน่ากังวลกว่าเรื่องพื้นที่พิเศษได้อย่างไร? แต่นางก็ไม่รอช้า รีบหันหน้าไปหาบุตรสาวที่มีการศึกษาสูงสุด ถึงแม้ลูกจะเรียนสาขาปรัชญาและใช้การอะไรไม่ได้ในยุคโบราณก็ตาม
ซ่งฝูหลิงก้มหน้าครุ่นคิด “ท่านพ่อ ถ้ามีข้าวโพดแล้ว ก็น่าจะเป็นยุคราชวงศ์หมิงแล้วนะ แต่ไม่มีมันหัว มันฝรั่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ตามประวัติศาสตร์พวกมันมาช้ากว่าข้าวโพด ส่วนพริก มะเขือเทศ แทบไม่ต้องเอ่ยถึงเลย เพราะจะมาช้ากว่านั้นอีก”
“ปัญหามันอยู่ที่ ตอนนี้มันไม่ได้ถูกเรียกว่าราชวงศ์หมิง แต่เรียกว่า ‘รัชสมัยจยาโย่ว’ ในประวัติศาสตร์ไม่มียุคสมัยนี้ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“หมายความว่าอย่างไร” เฉียนเพ่ยอิงถึงกับตกใจ “ไม่มียุคสมัยนี้ พวกเราเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ในอากาศหรือ แต่พวกเราเป็นคนจริงๆ นี่นา แค่หยิกก็เจ็บแล้ว”
ทะลุมิติ พื้นที่พิเศษ ย้อนเวลามายังยุคสมัยการปกครองที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ ซ่งฝูหลิงปรับตัวยอมรับได้เร็ว เพียงแค่ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ถามต่อ “ท่านพ่อ ท่านบอกมาตรงๆ เถอะ ไม่ต้องเกรงว่าจะทำให้พวกเราตกใจ ยุคสมัยนี้เป็นอย่างไรกันแน่?”
“ข้าวิเคราะห์ดูแล้วว่าสถานการณ์ไม่สงบ อาจเกิดการจลาจลได้ แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ในยุคสมัยราชวงศ์ไหน เจ้าเคยเรียนประวัติศาสตร์มาก็อาจจะสูญเปล่า คงไม่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ ข้ารู้สึกกังวลกับเรื่องนี้นั่นแหละ”