ตอนที่ 6 เกิดเรื่อง

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ซ่งฝูเซิงรู้ว่า ถ้าพูดออกมาก็จะมีผลลัพธ์เช่นนี้ แต่สองแม่ลูกนั้นไม่ได้ใส่ใจ 

 

 

เขารับช่วงต่อจากภรรยา มองแป้งที่นวดแล้วซึ่งแบ่งออกเป็นสองฝั่งขนาดใหญ่ รีบนำแป้งด้านหนึ่งมาคลึงให้เป็นแผ่นใหญ่ ใช้มีดหั่นให้เป็นเส้นยาว แล้วเริ่มทยอยบิดทีละอันๆ เพื่อทำหมาฮวา ทำไปด้วยพูดไปด้วยว่า 

 

 

“อย่ากังวล ยังไม่ถึงขั้นนั้น เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ของข้า พวกเราควรเตรียมใจให้พร้อม ต้องเก็บตุนเงินและอาหาร” 

 

 

“เรื่องนี้เจ้าคาดเดาไปเองรึเปล่า? เจ้าเป็นแค่ถงเซิงคนหนึ่ง ข้ายังสงสัยว่าเจ้าจะพูดถูกหรือไม่” 

 

 

“ใช่สิ ท่านพ่อ ท่านคิดมากไปรึเปล่า?” ซ่งฝูหลิงพูดเสริมแม่ของนาง 

 

 

ซ่งฝูเซิงจนปัญญา 

 

 

“พวกเจ้าคิดว่าข้าอยากจะคาดเดามั่วๆ หรืออย่างไร นี่มันใช่เรื่องดีที่ไหน? แบบนี้ข้าเรียกว่าประเมินสถานการณ์ในภาพรวม… 

 

 

…เป็นที่รู้กันดีว่า หลังจากที่ข้าแต่งงานมาสองสามปีนั้นเพราะเจ้าของร่างเดิมไม่ได้เข้าสอบคัดเลือก… 

 

 

…แต่ห้าปีที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่ว่าข้าสอบไม่ได้ แต่เป็นเพราะไม่ได้เข้าสอบ ทางการเองก็ไม่ได้จัดให้มีการสอบอีกแล้ว ข้าจะไปสอบที่ไหนได้” 

 

 

เห็นภรรยาและบุตรสาวยังคงจ้องมองเขาเหมือนไม่ได้รับการตอบสนอง เขาจึงเอ่ยต่อ 

 

 

“พวกเจ้าลองคิดดู หากบ้านเมืองไม่วุ่นวาย การสอบจะหยุดลงเช่นนี้หรือ นี่ก็หยุดมาถึงห้าปีได้แล้ว… 

 

 

…ได้ยินมาว่าฮ่องเต้มีพระชันษามากแล้ว ใช้นิ้วมือนับดูก็น่าจะประมาณหกสิบ เจ็ดสิบปี ท่านยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท ซึ่งข้าคาดว่าคงจะแต่งตั้งไม่ได้แล้วด้วย… 

 

 

…ดูจากซีรีย์ ‘คังซี’ ที่ฉายอยู่ ก็จะเห็นว่าราชบุตรหลายคนมีความหวาดระแวงกันเองมากขนาดไหน แต่ละคนก็ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอย่างเอาเป็นเอาตาย… 

 

 

…พวกเจ้าต้องรู้ว่า สถานการณ์แก่งแย่งชิงดีกันนั้น ยังมีจักรพรรดิคังซีคอยควบคุมอยู่ ยุคสมัยคังซีเรียกได้ว่าเป็นยุครุ่งเรือง… 

 

 

…ส่วนพวกเรา ใช้ชีวิตในรัชสมัยจยาโย่ว ประชาชนมีความเป็นอยู่แบบธรรมดา ราชสำนักยังถูกบุตรชายของเขาทั้งห้าคน แบ่งเป็นห้าพื้นที่ใหญ่ ตอนนี้ท่านอ๋องทั้งห้า ต่างก็ดูแลพื้นที่ของตนเอง… 

 

 

…เข้าใจแล้วรึยัง หากบอกว่าลงมือ ก็ต้องลงมือทันที แต่ถ้ามีการประกาศสงครามเมื่อไหร่ อะไรก็เกิดขึ้นได้… 

 

 

…ที่ไม่พูดเรื่องอื่นๆ แน่นอนว่าข้าก็ไม่รู้เรื่องอื่นเหมือนกัน อำเภอที่พวกเราอยู่ห่างไกลมาก ข้าได้ยินเพื่อนเคยกล่าวถึงท่านอ๋องอู๋ ที่เจียงหนานกับองค์ชายสี่ที่ครองดินแดนฟูเจี้ยนในแถบก่วงตง ที่ในสองสามปีมานี้ต่างแก่งแย่งพื้นที่จนรบรากันมาสองครั้งแล้ว… 

 

 

…เป็นเรื่องดีที่พวกเราอยู่ในเขตเหอหนาน พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยท่านอ๋องฉี เขาเป็นโอรสองค์ที่สองของฮ่องเต้ ไม่ชอบความวุ่นวาย พวกเราเป็นราษฎรของเขาจึงอยู่ดีกินดีมาหลายปี… 

 

 

…แต่สิ่งที่น่ายินดีก็ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจ ข้าไม่คาดหวังอะไรกับเขา” 

 

 

“เพราะอะไร” เฉียนเพ่ยอิงขมวดคิ้ว ในความคิดของนาง การใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของบุคคลที่เรียบง่าย ย่อมดีกว่าอยู่ภายใต้บุคคลที่ชอบการทำศึกสงครามมิใช่รึ 

 

 

“เมียข้า ก็เพราะเขามีอำนาจน้อยนะสิ! ตอนนี้เขาอยู่ในเขตเมืองเดียวกันกับพ่อของเจ้า จวนท่านอ๋องตั้งอยู่ที่นั่น… 

 

 

…ไม่ใช่เพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับเมืองเหอหนาน ถึงได้พำนักอยู่ที่นั่น แต่เป็นเพราะเขาปกครองดูแลพื้นที่น้อย นอกจากเหอหนาน หว่างตงเจีย เขาก็ยังปกครองดินแดนเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของเขตอันฮุย… 

 

 

…หลังจากนั้น ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว เพราะถ้าไปทางตะวันออกของพื้นที่หลู่โจว ก็ไม่ได้นับว่าอยู่ในเขตการปกครองของเขา… 

 

 

…พวกเราใช้ชีวิตที่เรียบง่ายจนเกินไป มองอย่างไรก็ยังรู้สึกน่ากังวลอยู่ดี ไม่เชื่อเจ้าลองสอบถามลูกสาวเจ้าดูว่าข้าประเมินสถานการณ์โดยรวมผิดไปไหม? ถ้าพวกเราอยากอยู่อย่างสงบ ไม่ช้าก็เร็วคงต้องได้ย้ายบ้าน” 

 

 

ซ่งฝูหลิงพยักหน้า อธิบายแบบง่ายๆ ให้แม่ของนางฟัง 

 

 

“ท่านพ่อพูดไว้ไม่ผิด ไม่เช่นนั้น การรยอมอยู่ภายใต้การปกครองหรือทำสงครามเพื่อสร้างอำนาจให้มีมากขึ้น เพียงแค่ดูแลพื้นที่ด้านเดียวแล้วยังน่าหวาดกลัว ไม่ช้าก็เร็ว คงต้องถูกคนอื่นมาชิงเอาไปหมด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เราอยู่กันตอนนี้… 

 

 

…ท่านแม่ ตอนอยู่ยุคในปัจจุบัน ท่านคงเคยได้ยินชื่อสถานี ‘เจิ้งโจว’ ที่นั่นเป็นรถไฟสถานีเดียวที่สามารถเดินทางไปถึงได้ทั่วทุกมณฑลภายในประเทศ สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่สัญจรที่สำคัญ” 

 

 

เมื่อซ่งฝูหลิงพูดประโยคนี้จบ เหมือนจะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ของนาง พลันก็มีเสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนดังมาจากด้านนอก 

 

 

ทั้งสามคนได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น หน้าก็ถอดสี 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนไปมากที่สุด นางยกมือกุมที่ตรงหัวใจ “เหล่าซ่ง รีบหน่อย เจ้าออกไปดูหน่อย ว่าเป็นใครกัน? ทำไมเคาะประตูดังขนาดนี้” 

 

 

พูดจบก็พบว่าบุตรสาวทำท่าจะเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับสามี นางรีบดึงแขนซ่งฝูหลิงไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งไป พวกเราไม่รู้จักใคร เดี๋ยวพูดอะไรผิดพลาดไปจะมีพิรุธ พวกคนโบราณน่ากลัวมาก และยังเป็นยุคสมัยที่พวกเราไม่รู้จัก ยังฆ่าคนเป็นผักปลา” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านสงบสติอารมณ์หน่อย อย่าระแวงจนเกินไป พวกเรายังต้องออกนอกบ้าน ท่านพ่อให้เรียกว่าอะไร พวกเราก็เรียกตามนั้น ไม่มีใครมาจับคนหรือฆ่าคนส่งเดชหรอก” 

 

 

มีเหตุผล เฉียนเพ่ยอิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สองที ก่อนจะออกไปพร้อมกับบุตรสาว 

 

 

หลังจากที่เรื่องราวปรากฏตรงหน้า ตั้งแต่ประตูเปิดในตอนนั้น ทั้งสามคนที่เพิ่งทะลุมิติมา ดูเหมือนจะยังไม่พร้อมที่จะทำใจ พวกเขาถึงกับต้องสูดลมหายใจลึกๆ 

 

 

ด้านนอก มีชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ด สิบแปดปียืนอยู่ ร่างกายของเขาด้านหนึ่งเต็มไปด้วยเลือด ในอ้อมกอดมีเด็กชายอายุประมาณสี่ ห้าขวบคนหนึ่ง ใบหน้าของเด็กชายเปรอะเปื้อน ด้านหลังยังสะพายห่อผ้าเล็กๆ ไว้ด้วย 

 

 

ชายผู้บาดเจ็บเห็นซ่งฝูเซิงและคนในครอบครัว ไม่พูดจาแม้แต่สักประโยค ก้มหน้าคุกเข่าลง หลังจากนั้นใช้มือขวาที่เปื้อนเลือดควักจดหมายที่แนบไว้ที่อกยื่นส่งให้ 

 

 

ซ่งฝูเซิงรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี รับจดหมายมาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอันดังกึกก้อง “คุกเข่าทำไม ลุกขึ้นมาพูดสิ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น?” 

 

 

ยังดีที่เหล่าหนิวตามมาด้วย พ่อซ่งได้เคยเอ่ยถึงแล้วว่า ท่านตาจ้างให้เหล่าหนิวอยู่ดูแลร้านค้า 

 

 

ก่อนหน้านั้นที่เขาไม่ได้ออกมาให้เห็นหน้าตั้งแต่แรก เป็นเพราะเขาต้องวิ่งไปนำลามาผูกไว้กับรถ 

 

 

ตอนนี้เหล่าหนิวร้อนรนจนตาแดง “นายท่าน อย่ามัวแต่ถามเลย ท่านถามเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาชื่อซื่อจ้วง เป็นคนใบ้ ตอนนั้นท่านเฉียนซื้อคนรับใช้มาเพื่อให้ติดตามรับใช้คุณชายคนเล็ก ท่านรีบเปิดจดหมายอ่านเถอะ ท่านเฉียนที่อยู่ตรงโน้นคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว คงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไม่เช่นนั้นคุณชายน้อยคงไม่ถูกซื่อจ้วงอุ้มมาแบบนี้” 

 

 

“ได้ ข้าจะรีบอ่าน” ซ่งฝูเซิงเปิดจดหมายไป อีกด้านก็ไม่ลืมที่จะชี้ไปยังเด็กผู้ชายที่อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม แอบเตือนสติภรรยากับบุตรสาวที่ไม่มีความทรงจำเรื่องเหล่านี้ “พวกเจ้ารีบอุ้มหมี่โซ่วเข้าไปในห้อง หาอะไรให้เขากินหน่อยและถามหลานชายด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น” 

 

 

หลังจากซ่งฝูเซิงพูด เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงก็หันไปมองเด็กผู้ชายที่อยู่ในอ้อมกอดของซื่อจ้วงพร้อมกัน 

 

 

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ปรากฏตัว ใบหน้าดำคล้ำ มองรูปหน้าไม่ชัด เห็นได้แต่ดวงตากลมโตขาวดำชัดเจน แววตามีความตื่นตระหนก 

 

 

เขาดูเหมือนจะคอแห้งจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเฉียนเพ่ยอิง ทำปากเรียกอย่างไร้เสียง “ท่านป้า” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงไม่เข้าใจว่านี่คือความรู้สึกอะไร 

 

 

ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว นอกจากลูกสาวแล้ว บรรดาญาติรุ่นน้องอื่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจและก็ไม่เคยเป็นป้าใครมาก่อน 

 

 

ตอนนี้มีความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนนางไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของร่างกายนี้ได้ ทำให้นางถึงกับหลั่งน้ำตาและจิตใจปวดร้าว 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงเดินหน้าไปอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมกอด รู้สึกได้ว่าเด็กน้อยเกร็งตัว นางจึงลูบหลังเด็กและพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “หมี่โซ่ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวนะ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงรู้สึกตัวได้เร็ว “ท่านแม่ พาน้องชายเข้าห้องเถอะ จะได้สำรวจดูบนร่างกายเขาว่ามีบาดแผลหรือไม่ ท่านพ่อ ท่านก็รีบไปโรงหมอพาท่านหมอมา ท่านดูซื่อจ้วงท่านนี้สิ เลือดยังไหลอยู่เลยนะ” 

 

 

เหล่าหนิวกลัวว่าจะรบกวนเวลาซ่งฝูเซิงอ่านจดหมาย รีบรับคำสั่ง “คุณหนูน้อย ข้าจะไปเอง ซื่อจ้วงนำรถลากเทียมลามา พอดีข้าจะใช้รถลากเทียมลาบรรทุกคน จะได้เดินทางเร็ว” พูดจบก็ไม่รอคำตอบ รีบวิ่งออกไปทันที 

 

 

ซ่งฝูหลิงที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง ‘คุณหนูน้อย’ ยังไม่มีเวลาใส่ใจคำเรียกใหม่นี้มากนัก เพราะซื่อจ้วงเสียเลือดไปมาก เขายืนขึ้น ตัวโคลงเคลง ทำให้นางตกใจมากถึงกับยื่นมือออกไปเพื่อที่จะพยุง ปรากฏว่าเพียงแค่นางยื่นมืออกไปก็ทำให้ซื่อจ้วงตกใจไม่น้อย เขาเลี่ยงหลบจนร่างไปกระแทกกับขอบประตู 

 

 

ไม่ทันที่นางจะรู้สึกเก้อเขินไปกว่านี้ พ่อของนางก็ช่วยนางไว้ได้ก่อน ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน 

 

 

ซ่งฝูเซิงดูจดหมายจบ ขาแทบจะอ่อนแรง ความรีบร้อนทำให้ตนเองเดินสะดุดไปหลายก้าว เกือบจะทรงตัวไม่อยู่จนต้องฟุบลงบนพื้นเรือน 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงกำจดหมายไว้แน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดออกมา “เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”