ตอนที่ 7 ลูกรัก ข้ากลัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ซ่งฝูเซิงพยุงซื่อจ้วงเข้าไปยังห้องรับรองด้านหลังเรือน ชี้ไปที่อ่างล้างหน้าและชี้ไปยังถังน้ำที่อยู่ในห้อง 

 

 

ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำที่ตากแดดไว้ เพื่อไม่ให้น้ำที่เพิ่งถูกตักขึ้นมาจากบ่อเย็นจนเกินไป ปกติจะเก็บไว้ใช้สำหรับชำระล้าง 

 

 

“เจ้าชำระร่างกายเสียก่อน แล้วนอนพักผ่อนสักครู่ นอนหลับได้แค่ไหนก็แค่นั้น สองวันนี้คงไม่ได้หลับได้นอน รีบหาโอกาสพักผ่อนเสีย เพราะสักพักก็ต้องรีบออกเดินทาง เกรงว่าร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว… 

 

 

…รอเหล่าหนิวมาค่อยให้ท่านหมอทำแผลให้เจ้า หากมีเรื่องอะไร เจ้าก็ตะโกนเรียกข้าได้ที่หน้าเรือน” 

 

 

ซ่งฝูเซิงสั่งจบก็รีบหันมาดึงแขนของบุตรสาวเพื่อพากันเดินออกไป 

 

 

ซ่งฝูหลิงอยากจะเอ่ยปากเตือนพ่อของนางว่าซื่อจ้วงเป็นใบ้ จะตะโกนเรียกคนอยู่หน้าเรือนได้อย่างไร? 

 

 

แต่ท่านพ่อของนางพูดเร็วมาก ในอารมณ์แบบนี้ นางจึงไม่ได้พูดออกมา 

 

 

นางใช้มือข้างหนึ่งถือกระโปรงที่เกะกะรุงรัง วิ่งตามฝีเท้าของซ่งฝูเซิง เล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ ในใจก็ครุ่นคิดคำพูดนั้นของท่านพ่อที่ว่า ‘สักพักจะต้องรีบออกเดินทาง’ มันหมายถึงอะไรกัน 

 

 

ซ่งฝูเซิงดึงลูกสาวเข้ามาในห้อง เขายื่นศีรษะไปมองรอบๆ อีกครั้ง คาดว่าจะไม่ปลอดภัย เขาจึงให้ซ่งฝูหลิงไอเสียงดังในห้อง ส่วนตัวเขาลองยืนฟังอยู่ด้านนอกประตูว่าห้องนี้เก็บเสียงได้หรือไม่ 

 

 

ซ่งฝูหลิง “…” 

 

 

ในบ้านมีแค่พวกเขาสามคน ด้านนอกมีซื่อจ้วงและน้องชาย เฉียนหมี่โซ่ว ที่เพิ่งรู้จัก ซื่อจ้วงอยู่ด้านหลังเรือน หมี่โซ่วกับท่านแม่อยู่ที่ห้องครัวด้านนอก เหล่าหนิวไปตามท่านหมอแล้ว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบถึงยี่สิบนาทีจึงจะกลับมา 

 

 

ท่านพ่อระแวงใครกันนะ หรือว่าท่านร้อนรนจนเกินไป 

 

 

ซ่งฝูหลิงขยับริมฝีปาก มือจับขอบประตูไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา “ท่านพ่อ ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครเห็นหรอก ท่านเป็นแบบนี้ทำให้ข้ากังวลใจนะ” 

 

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” 

 

 

ซ่งฝูหลิง “…” 

 

 

ซ่งฝูเซิง เมื่อได้เปิดหัวข้อพูด ก็เหมือนจะเปิดประตูแห่งความหวาดกลัวที่มีอยู่ภายในใจ 

 

 

เขาเดินวนไปมาโดยรอบและสบถด่าไปด้วย 

 

 

“ซวยจริงๆ เลย ไม่ให้เวลาให้ข้าได้หายใจ พวกเราเพิ่งจะมาถึงสถานที่แห่งนี้แท้ๆ ด้านหลังก็ทำสงครามกันแล้ว ก่อนหน้านั้นข้าบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยสงบนัก หลังจากนั้นท่านตากับน้าของเจ้าก็ถูกผลักตกตึกเป็นตัวประกอบไปแล้ว! ท่านอ๋องฉีนี่สิ ไร้ความสามารถ ไม่มี ไม่มีแล้ว เมืองคงต้องแตกแล้ว!” 

 

 

“ไม่มีอะไร พวกเขา ไม่? ห๊า?” ซ่งฝูหลิงฟังจนรู้สึกว่าตนเองซื่อบื้อ ตั้งสติไม่ค่อยได้ ตอนอยู่ยุคปัจจุบัน ไม่ ไม่ใช่ยุคปัจจุบันแล้วสิ ต้องเอ่ยถึงยุคปัจจุบันให้น้อยที่สุด 

 

 

ซ่งฝูเซิงเห็นหน้าบุตรสาวขาวซีด เขาก็กำหมัดแน่น กัดฟันสั่งตนเองให้มีสติ ต้องพร้อมที่จะรับมือ 

 

 

แต่เขาก็สงบสติอารมณ์ได้ไม่ถึงห้าวินาที 

 

 

“พวกเราต้องรีบหนีแล้ว ลูกรัก ท่านตาของเจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่า ท่านอ๋องฉีสู้ไม่ไหวก็ยังฝืนสู้รบ จะไม่ยอมศิโรราบ ทหารเมืองอื่นยังมาไม่ถึงเขาก็เกณฑ์ผู้ชายในเมืองไปออกรบ แต่หมี่โซ่วเป็นเด็กน้อยตัวแค่นี้ ให้ไปด้วยก็คงไม่มีประโยชน์ ถึงได้ปล่อยตัวออกมา… 

 

 

…ตอนนี้มีประกาศให้คนในเมืองที่มีอายุตั้งแต่สิบสองถึงสี่สิบห้าปี เข้ามาเป็นทหารกองหนุน มิน่าเล่า ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ท่านนายอำเภอก็ไม่อยู่บ้าน ถ้าใช้ม้าเร็วประกาศคงจะใกล้ถึงพวกเราแล้ว” 

 

 

“ท่านไม่ใช่ถงเซิงหรือ ที่นี่พวกเขาให้เกียรติกับบัณฑิตไม่ใช่หรือ เคยได้ยินได้ฟังว่ามีข้อยกเว้นอะไร ละครในโทรทัศน์ก็บอกอย่างนี้” 

 

 

มองแววตาบุตรสาวที่มีประกายแห่งความหวัง 

 

 

“เจ้าไม่ตั้งใจดูซีรีย์เลย ถงเซิงจะมีประโยชน์อะไร ขนาดจวี่เหรินซิ่วไฉก็ยังต้องไปออกรบ ฮ่องเต้ ท่านอ๋องก็ยังสิ้นชีพเหมือนกัน คนเราต้องมีชีวิตรอดไว้ก่อน อยู่เฝ้าเมืองต่อไปก็ต้องมีคนมาสอบ ขาดข้าไปสักคนก็ไม่มีผลอะไร เฝ้าเมืองไม่ได้ หากเขามาโจมตีเมือง หากตีไม่ได้ก็คงโมโหแล้วเข้าล้อมเมือง ขาดข้าไปคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร ข้าอายุยี่สิบเก้า ข้าต้องถูกจับไปแน่นอน” 

 

 

คำว่า ‘ถูกจับ’ สองพยางค์ กลับมีความหมายมากกว่าสิบประโยค ซ่งฝูหลิงจับมือซ่งฝูเซิง พูดด้วยความร้อนรน “ถ้าเช่นนั้น ท่านจะชักช้าไปทำไมกัน มัวพูดจาเหลวไหลกับข้ามากมาย รีบสิ ต้องรีบ พวกเราไปกันเถอะ!” คำสุดท้ายเป็นการตะโกนออกมาอย่างแทบไม่มีเสียง เห็นได้ชัดเจนว่าร้อนรนขนาดไหน 

 

 

ไปที่ไหน จะกินจะดื่มอย่างไร ถ้าจะไปก็ต้องเตรียมข้าวของให้พร้อมก่อน 

 

 

ซ่งฝูเซิงสงบสติอารมณ์ขึ้นมาได้ก็สะบัดมือบุตรสาวออก นั่งลงกับพื้น 

 

 

ก่อนที่จะเข้าพื้นที่พิเศษ เขาลงนั่งขัดสมาธิ ไม่ลืมที่จะพูดเตือน “รีบช่วยพ่อคิดหน่อยว่าจำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง และช่วยเฝ้าที่ประตู อย่าให้คนอื่นล่วงรู้ความลับของพวกเรา” 

 

 

พูดจบก็ไม่รอคำตอบ เข้าสมาธิ สติล่องลอยกลับไปในบ้านยุคปัจจุบันเพื่อค้นหาของ 

 

 

ซ่งฝูหลิงนั่งมองซ่งฝูเซิงสักพัก ก็รีบเคลื่อนไหวทันที 

 

 

นางรีบวิ่งไปที่เตียงก่อน แหงนหน้าไปเห็นมุ้งที่ถูกตะขอเกี่ยวไว้ จึงรีบดึงให้ร่วงลงมา ตอนนี้ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าจะดึงมุ้งลงมาทำไม กระวนกระวายใจไปหมดจนเห็นอะไรก็หยิบฉวย 

 

 

หลังจากนั้นก็ดึงผ้าห่มทิ้งลงพื้น ดึงผ้าปูที่นอนออกมา นำมาเป็นผ้าห่อของและเริ่มเก็บสิ่งของ 

 

 

เทียนบนโต๊ะ เข็มกับด้าย ครีมบำรุงผิวหน้า สบู่ และผ้าอีกหลายผืนที่ไว้ใช้เช็ดหน้า เช็ดเท้า และอื่นๆ เก็บใส่โยนไปในห่อผ้า 

 

 

เปิดตู้เสื้อผ้า มองหาเสื้อผ้าสีเข้ม ค้นหาเสื้อและกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้าย แต่ไม่เจอกางเกง ทั้งหมดล้วนเป็นกระโปรงยาวถึงข้อเท้าแบบหม่าเมี่ยนฉวิน ซ่งฝูหลิงบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ 

 

 

ตอนที่นางกำลังค้นหารองเท้าผ้ากับรองเท้าผ้าฝ้ายอยู่นั้น ซ่งฝูเซิงที่นั่งอยู่กลางห้องก็ดึงสติกลับมาจากพื้นที่พิเศษและได้นำของล็อตแรกจากบ้านปัจจุบันกลับมาด้วย 

 

 

“ลูกรัก รีบมาดูสิ อพยพหนีตายต้องใช้อะไรได้บ้าง ยังขาดอะไรอีกไหม” 

 

 

ซ่งฝูหลิงเหลือบไปมองก็ถึงกับตกใจ ของแต่ละอย่างต้องลำบากพ่อของเธอในการค้นหา 

 

 

ซ่งฝูเซิงปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่บนหน้าผาก เอ่ยด้วยความรีบร้อน “เจ้าลองสำรวจดูก่อน เอาของที่จำเป็นต้องใช้เก็บอย่างดี ข้าไปหาดูอีกรอบก่อน อย่าลืมช่วยพ่อคิดด้วยว่าจะบอกกับแม่เจ้าว่าอย่างไร ให้นางสามารถยอมรับความจริงให้เร็วที่สุด จะได้ไม่ต้องตะโกนเอะอะโวยวาย เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็คร่ำครวญอีก” 

 

 

พูดจบ ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เพราะเขาได้หลุดเข้าไปยังพื้นที่พิเศษแล้ว 

 

 

เพราะครั้งนี้รีบเข้าไป ซ่งฝูเซิงจึงไม่ได้หลับตาเหมือนครั้งก่อน สายตาเบิกโพลงจ้องมองไปที่ขาโต๊ะ ไม่มีความเคลื่อนไหว 

 

 

ซ่งฝูหลิงนั่งยองๆ เริ่มตรวจดูสิ่งของ 

 

 

มีกระเป๋าสะพายกันน้ำหนึ่งใบ กระเป๋าสะพายยี่ห้ออาดิดาสหนึ่งใบ มีดหั่นผัก ขวาน ไสว่กุ้น ไฟฉาย ถ่านไฟขนาด 2A กล้องส่องทางไกล เชื้อเพลิงแอลกอฮอล์สำหรับจุดไฟ ก้อนแอลกอฮอร์เกือบเต็มกล่อง ตะแกรงปิ้งย่าง และหม้อญี่ปุ่นขาว-ดำ ที่คนยุคโบราณคงดูไม่ออกว่าทำมาจากอะไร ทัพพีไม้ 

 

 

น้ำมันถั่วหนึ่งถังที่ยังไม่ได้เปิดฝา ขนาดห้าลิตร 

 

 

ยังมีเกลือที่ไม่ได้เติมไอโอดีนสองถุง ซอสเต้าหู้ที่ยังไม่ได้เปิดอีกสองขวด 

 

 

น้ำตาลที่เอาออกมาโดยใช้กระดาษห่อ เทออกมาเล็กน้อย ขนาดประมาณครึ่งถุงเล็ก 

 

 

ใช่ซิ ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางและแม่กำลังลดน้ำหนัก ทำกับข้าวโดยใช้น้ำตาลน้อย นอกจากจะทำเค้กกินเองที่บ้าน แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำมานานแล้ว ดังนั้นเวลาเปิดถุงน้ำตาลมาใช้ครั้งหนึ่งจึงสามารถใช้ได้นานและไม่ได้ตุนไว้ 

 

 

ซ่งฝูหลิงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของพ่อนาง ในใจได้แต่ครุ่นคิด 

 

 

ท่านต้องเอายาสามัญประจำบ้านมาให้ได้ล่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ท่านจะนึกได้รึเปล่า จะหาได้หรือไม่ มันอยู่ในตู้ตรงโทรทัศน์นะ 

 

 

เฮ้อ ทำให้ร้อนใจ ท่านให้ข้าคอยเตือน แต่ข้าตะโกนบอกท่านไปท่านอยู่ในพื้นที่พิเศษ อย่างไรก็คงไม่ได้ยินนะสิ?