“เถียวเถียวเชียนจ่านฝานซิง อิ๋งอิ๋งอีชวนอิ๋นเหอ (พันดาราเกลื่อนฟ้าอันแสนไกล หนึ่งเส้นสายทางช้างเผือกอันสมบูรณ์) ชื่อดี! จิ่งชวน แกว่างั้นไหม?” 

 

 

หญิงชราหันหน้ามาขอความเห็นจากหลานชาย โดยมีสายตาขุ่นเป็นสัญญาณแกมเตือนอยู่กลายๆ 

 

 

ราวกับว่าขืนป๋อจิ่งชวนพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมาแม้แต่คำเดียว เธอจะตัดลิ้นเขาให้ขาดเป็นสองท่อนเสียตรงนั้น! 

 

 

เขายิ้มด้วยสายตาที่ฉาบไปด้วยความระอิดระอา ก็แต่ก็ยอมพยักหน้าเออออ 

 

 

“ครับ เป็นชื่อที่เพราะมาก!” 

 

 

“เหมาะสมกันมากด้วย!” 

 

 

หญิงชรายกคิ้วขึ้นพูดอย่างได้ใจแล้วจึงหันไปพูดกับฝานซิง 

 

 

“มาซิจ๊ะฝานซิง จะแนะนำให้รู้จักนี่หลานชายย่า ป๋อจิ่งชวน” 

 

 

เฉินฝานซิงเงยหน้ามองชายที่ยืนอยู่อีกด้านตั้งแต่แรก โดยที่คาดไม่ถึงว่าอีกคนจะเป็นเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับทอประกายลุ่มลึกราวกับแสงแวววาวจากเพชรนิลจินดา 

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็รับรู้ได้ถึงความสง่าและสูงส่ง 

 

 

ชายคนนี้แค่มองจากบุคลิกนิสัยก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา! 

 

 

ดูเหมือนว่าเธอจะเคยเจอเขามาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกว่าที่ไหน! 

 

 

ไม่แน่เธออาจจะจำผิดไปเอง คนที่ดูโดดเด่นขนาดนี้ คงยากที่จะทำให้ใครลืมเขาได้เสี้ยวนาที? 

 

 

เธอสงสัยกับคำพูดของหญิงชราที่ยังติดอยู่ในหูสักพัก เธอมองกลับไปยังชายหนุ่มอีกครั้งและอดที่จะรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ 

 

 

เถียวเถียวเชียนจ่านฝานซิง อิ๋งอิ๋งอี้ชวนอิ๋นเหอ (พันดาราเกลื่อนฟ้าอันแสนไกล หนึ่งเส้นสายทางช้างเผือกอันสมบูรณ์) 

 

 

ป๋อจิ่งชวน… 

 

 

เชียนจ่านฝานซิง อี้ชวนอิ๋นเหอ…. (พันดาราเกลื่อนฟ้า หนึ่งสายทางช้างเผือก…) 

 

 

มันดู…โอเวอร์ไปหน่อย 

 

 

ดวงตาสีหมึกฉาบไปด้วยความหลักแหลมที่ยากเกินใครจะคาดเดา ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ถึงความอึดอัดของอีกฝ่าย แสงสว่างสะท้อนเข้ากับนัยน์ตา เขายื่นมือออกไปอย่างสุภาพแล้วเอ่ยขึ้นก่อน 

 

 

“สวัสดีครับ ผมป๋อจิ่งชวน” 

 

 

“สวัสดีค่ะ ฉันเฉินฝานซิง” 

 

 

ขณะที่พูดเธอเองก็ยื่นมือออกไปเช่นกัน เธอพยายามยืดตัวขึ้นแต่ก็ต้องชะงักกลางคัน 

 

 

เพราะนั่งย่อตัวอยู่นานจนขาชาบวกกับเอวที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บมาสดๆ ร้อนๆ แค่ขยับกายเพียงนิดอาการชาก็แล่นแปลบขึ้นมา ทันทีที่ขาอ่อนแรงลง ร่างทั้งร่างเสียหลักไปข้างหลัง 

 

 

“ระวัง” 

 

 

ตากลมเบิกกว้างด้วยความตระหนกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทันใดนั้นเสียงทุ้มเย็นก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ 

 

 

พริบตาเดียวแขนแกร่งก็คว้าหมับเข้าที่เอวก่อนจะรั้งร่างเธอกลับไป 

 

 

เฉินฝานซิงปะทะเข้าในอ้อมแขนของป๋อจิ่งชวนทันที 

 

 

กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ พัดโชยเข้ามา เฉินฝานซิงยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ 

 

 

การตอบสนองอย่างฉับพลันเริ่มทำงานแขนทั้งสองข้างยื่นขึ้นเพื่อจะดันตัวเขาออก ทว่าสองขาที่เกิดอาการเสียวแปลบหลังการชาทำให้เธอซวนเซจนถลากลับเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอีกครั้ง 

 

 

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งการให้เธอคว้าไหล่แกร่งเข้ามายึดเอาไว้ 

 

 

ขณะเดียวกัน มือที่โอบรับเอวของเธออยู่ก็ได้ออกแรงยกร่างเธอขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เฉินฝานซิงกัดฟันแน่น สองครั้งสองคราที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายทำให้เธออายจนแทบพลิกแผ่นดินหนี 

 

 

“อย่างเพิ่งขยับ” 

 

 

เสียงทุ้มขัดขึ้นทำให้เฉินฝานซิงเลิกล้มความคิดที่จะออกจากตรงนี้ทันที อุณหภูมิของฝ่ามือที่รัดช่วงเอวเธอไว้อย่างแนบแน่นส่งความร้อนผ่านเนื้อผ้า 

 

 

แก้มของเธอแนบอยู่ตรงกลางอกจนสามารถได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนราวกับว่ามีใครลั่นกลองอยู่ในนั้น 

 

 

เธอใจเต้นระส่ำ จนในที่สุดใบหน้าซีดเซียวก็ขึ้นที่แดงระเรื่อ 

 

 

เธอเพิ่งเคยแนบชิดกับใครขนาดนี้เป็นครั้งแรก ถึงแม้จะคบหากับซูเหิงมาหลายปี แต่อย่างมากทั้งคู่ก็ไม่เคยทำเกินไปกว่าโอบกอดกันเบาๆ ตามมารยาท ขนาดที่แทบสัมผัสได้ไม่ถึงไออุ่นของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ 

 

 

เป็นอย่างนี้ จนเธอเองก็ชินไปเสียแล้ว 

 

 

ป๋อจิ่งชวนรู้สึกได้ถึงร่างบางในอ้อมแขนที่เขาแทบจะสามารถประคองไว้ได้ด้วยครึ่งฝ่ามือ คิ้วสวยกำลังขมวดเข้าหากันมุ่น