“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่โล่งอก น้ำเสียงก็อ่อนลงไปมาก
แม้ว่าสิงโตขาวตัวนี้จะดูดุร้ายมาก แค่นางสามารถรู้สึกได้ ดูเหมือนมันจะคุ้นเคยใกล้ชิดกับนางมาก กระทั่งจงใจระงับปราณข่มขู่กดดันของเดรัจฉานในร่างกายของมัน
เจ้าสิงโตขาวลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง แล้วเดินมาหยดอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่อย่างไร้เสียง
ร่างของมันสูงใหญ่และแข็งแรงมาก ฉู่หลิวเยว่ที่ผอมบางอยู่แล้ว เมื่อได้มายืนตรงหน้ามันก็เลยดูตัวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าถ้ามันอ้าปากก็คงกลืนกินนางได้อย่างง่ายดาย
แม้กระทั่งห้องของนางก็ดูแคบลงไปถนัดตา
เจ้าเสวียเสวี่ยกะพริบดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งปริบๆ มันก้มหัวอันใหญ่โตลงมาแล้วสะบัดไปมาที่มือของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่ามันต้องการทำสิ่งใดกันแน่
เมื่อเห็นว่านางไม่ขยับเขยื้อน เสวียเสวี่ยก็ขยับเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วช้อนสายตามองนางปริบๆ
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกหงึกๆ นี่มัน…กำลังขอให้นางสัมผัสลูบไล้หรือ
นางลองยื่นมือออกไปวางบนหัวของมันแล้วลูบเบาๆ
เมื่อมือของนางสัมผัสกับขนที่นุ่มลื่นเงางามก็รู้สึกดีมาก เห็นได้ชัดว่ามันใช้ชีวิตมาอย่างดี ถึงได้เลี้ยงออกมาสมบูรณ์ขนาดนี้
คราวนี้เจ้าเสวียเสวี่ยจึงได้หลับตาลงด้วยความพอใจ ร่างกายผ่อนคลาย แกว่งหางหนึ่งครั้ง แล้วก็ส่งเสียงคำรามต่ำด้วยความพึงพอใจ
“คร่อก…”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นี่กะว่าจะไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่
“นี่ เจ้าควรจะกลับไปหาเจ้าของมิใช่หรือ จะมาอยู่กับข้าที่นี่ได้อย่างไร”
และดูเหมือนเจ้าเสวียเสวี่ยจะไม่สนใจไยดี มันหลับตาลงแน่นิ่งไม่ขยับ ราวกับว่ามันหลับไปแล้วจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่มีความรู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้
แม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าสิงโตขาวจึงทำเช่นนี้กันแน่ แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว หากนางยังยืนกรานให้มันกลับไป ไม่แน่อาจจะเกิดความเคลื่อนไหววุ่นวาย
พอถึงเวลานั้นก็อาจจะเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิม
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เร้าหรือเรื่องนี้อีก จากนั้นจึงตบหัวของมันเบาๆ แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงคนเดียวเพื่อพักผ่อน
เมื่อนางได้สัมผัสผ้าห่มก็พบว่ามันอุ่นขึ้นจริงๆ
นางฉุกคิดขึ้นในใจ ที่เจ้าสิงโตขาวมาที่นี่ คงไม่ได้มาอุ่นเตียงโดยเฉพาะหรอกกระมัง
เวลาต่อมา นางจึงอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ นี่นางคงคิดมากไปหน่อย
“ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ล่ะก็ ข้าขอบอกไว้ก่อน เจ้าอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”
เสวียเสวียลืมตาขึ้นแล้วส่ายหางระริกระรี้
ฉู่หลิวเยว่ล้มตัวนอนบนเตียง แล้วคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะจัดการกับชีวิตอย่างไรให้ชัดเจนก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
ในขณะที่นางค่อยๆ ปิดเปลือกตาหลับสนิท เจ้าสิงโตขาวที่ดูเหมือนจะหลับไปนานแล้วก็ลืมตาขึ้นมองไปที่ฉู่หลิวเยว่
ไม่รู้ว่านางนิมิตหมายถึงสิ่งใดอยู่ ใบหน้าเน่งน้อยของนางถึงได้ขมวดคิ้วมุ่น เหงื่อเย็นชื้นเม็ดละเอียดซึมไปตามหน้าผากและริมฝีปากก็ขาวซีด
จากนั้นลำแสงสีเงินก็ไหลออกมาจากร่างของเสวียเสวี่ย แล้วค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของฉู่หลิวเยว่เงียบๆ
ท่ามกลางห้วงฝันของฉู่หลิวเยว่ นางรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังแช่อยู่ในน้ำอุ่น ความผ่อนคลายและความสบายที่หายากนั้นทำให้คิ้วที่ขมวดแน่นค่อยๆ คลายตัว จากนั้นจึงเข้าสู่การหลับที่แนบสนิท
…
ในขณะที่ฉู่หลิงเยว่กำลังหลับสนิท กลับมีคนผู้หนึ่ง ที่ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ…ฉู่เซียนหมิ่นนั่นเอง
“บอกมา ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ประตูใหญ่ของถิงฟังย่วนปิดสนิท
ฉู่เซียนหมิ่นจ้องชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตาเขม็ง แล้วพยายามสงบสติอารมณ์โมโหของตนเอง
“คือ…คือ…คุณหนูสามขอรับ ข้าน้อยได้ไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของพวกซ่งเหลียนทั้งสามคนเลยขอรับ…”
เหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นที่แผ่นหลังของฉู่เหลียนเซิง
“เป็นไปได้อย่างไร!”
ฉู่เซียนหมิ่นตวาดลั่นตัดบทของเขา
“วางแผนเสียดิบดี แค่ให้ฉู่หลิวเยว่ออกไป ทุบนางให้หมดสติลากเข้าป่าจัดการนางเสียก็สิ้นเรื่อง! ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าพวกซ่งเหลียนเป็นนักรบระดับสาม สามารถจัดการกับฉู่หลิวเยว่ตัวเล็กๆ ได้ไม่มีปัญหาแน่นอน แล้วตอนนี้ล่ะ ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ตาย พวกซ่งเหลียนก็ยังหายไปอีก! เจ้าจัดการเรื่องของข้าชุ่ยๆแบบนี้หรือ!”
“คุณหนูสาม หากว่าตามเหตุผลเช่นนี้ก็ไม่ผิด ข้าน้อยเห็นกับตาว่าพวกเขาเป็นคนพาฉู่หลิวเยว่ออกประตูเมืองไปจริงๆ นะขอรับ แต่..แต่ใครจะไปรู้ว่านางยังไม่ตาย”
หลังจากที่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่รอดชีวิตกลับมา เขาก็รู้สึกผิดสังเกตจึงรีบกลับไปตรวจสอบหาร่องรอยพวกซ่งเหลียน แม้เขาจะตรวจค้นให้ทั่วทั้งภายในและภายนอกเมืองหลวง แต่ก็ดูเหมือนสามคนนั้นจะระเหยลอยไปกับอากาศแล้วก็มิปาน
คราวนี้ เขาจึงรู้ตัวว่าไม่ได้การแล้ว!
“นางต้องรู้ว่าข้าเป็นคนลงมือแล้วแน่ๆ!”
ฉู่เซียนหมิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดแค้น
นึกถึงก่อนหน้านี้ ที่นางรู้สึกกลัวจริงๆ กับสายตาของฉู่หลิวเยว่ แล้วนางก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน
“คุณหนูสาม ต่อให้นางรู้แล้วจะทำเยี่ยงไรได้ นางเป็นคนง่อยเง่า นางยังจะสามารถพลิกคลื่นฟื้นโอกาสอะไรขึ้นมาได้อีกเล่าขอรับ…”
“ไอ้คนโง่! หากนางไม่มีอะไรจริงๆ แล้วทำไมพวกซ่งเหลียนถึงหายไปได้ล่ะ!”
ซ่งเหลียนไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก
ฉู่เซียนหมิ่นกัดฟันเงียบๆ
หนึ่งวันแล้วยังตามหาพวกซ่งเหลียนไม่พบ วันนี้นางมิอาจวางใจได้ ไม่มีใครรู้ว่าฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาอย่างไร แล้วนางจัดการกับคนพวกนั้นเยี่ยงไรบ้าง
ถ้าหากนางใช้หลักฐานนี่มัดตัวล่ะก็…
“ตามหาต่อไป นอกจากนี้ให้ส่งคนแอบสะกดรอยตามฉู่หลิวเยว่ หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมารายงาน!”
“ขอรับ!”
เมื่อฉู่เหลียนเซิงออกไปแล้ว แววตาของฉู่เซียนหมิ่นก็ค่อยๆ ดำดิ่ง
ฉู่หลิวเยว่กล้าพุ่งเป้ากลับมาที่นาง เช่นนั้น…ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน!
…
ค่ำคืนที่นอนหลับสบาย
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสวียเสวี่ยได้จากไปแล้ว
เหมือนว่ามันอยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองนางในช่วงกลางคืนเลย…
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพลางส่ายหน้า
นี่เป็นคืนแรกหลังจากที่นางกลับชาติมาเกิด เดิมทีคิดว่าคงจะนอนไม่หลับ แต่คิดไม่ถึงว่าจะนอนหลับสนิทเต็มอิ่ม
ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของนางจึงรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวขึ้นมาก
หลังจากล้างหน้าล้างตาลวกๆ ฉู่หลิวเยว่ก็มานั่งหน้าคันฉ่อง เพราะอยากเห็นใบหน้านี้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่
ใบหน้าของหญิงสาวสะท้อนอยู่ในคันฉ่องพร่ามัวที่ดูเก่าทรุดโทรม
อาจเป็นเพราะขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ใบหน้าเรียวจึงดูซูบผอมซีดเซียว อายุก็ใกล้จะสิบสี่แล้ว แต่ดูอย่างไรก็เหมือนเด็กอายุสิบสอง
ดวงตาสีดำขลับดูกลมโตอย่างยิ่งจนเด่นชัด
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยากที่จะเห็นว่าใบหน้าเรียวเล็กนี้สวยงามมากจริงๆ
ตอนนี้ยังคงเยาว์วัย หากโตขึ้นกว่านี้อีกนิด จะต้องเป็นโฉมสะคราญที่หาจับตัวได้ยากแน่ๆ
บางทีอาจเป็นเพราะได้เปลี่ยนดวงวิญญาณ ดวงตาเรียบนิ่งที่มักจะฉายแววขี้ขลาด กลับดูสงบและเด็ดเดี่ยวมากขึ้น ทั้งยังส่องประกายดุจดวงดาว เผยให้เห็นราศีอันมีเกียรติสูงส่งฉายชัดบนใบหน้า
ราวกับไข่มุกที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น แล้วถูกปัดฝุ่นฝุ่นจนเริ่มส่องแสงระยิบระยับ!
ฉู่หลิวเยว่จดจ้องใบหน้านี้ แววตาของนางพลันเปลี่ยนไป และใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุดนางก็ถอนหายใจออกมา
อันที่จริง ใบหน้านี้มีส่วนคล้ายคลึงกับนางในอดีตชาติถึงสี่ห้าส่วน!
สักพักนางจึงเก็บงำความคิดและจัดเก็บอะไรนิดหน่อยก่อนจะออกไป
…
กฎตระกูลฉู่นั้นเข้มงวดยิ่งนัก คนธรรมดาจะเข้าจะออกก็ต้องตรวจตราอย่างเคร่งครัด
แต่ปกติฉู่หลิวเยว่ก็มีสถานะต่ำต้อยอยู่แล้ว มักจะถูกส่งออกไปทำธุระจุกจิกตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อยามเฝ้าประตูเห็นนางออกไปข้างนอก จึงไม่ถามไถ่อะไรให้มากความ
สิ่งนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเรื่องของนางอย่างมาก
เมื่อออกมาตระกูลฉู่มาได้ นางจึงมุ่งหน้าไปยังเจินเป่าเก๋อ
ทันทีที่นางก้าวเท้าเหยียบร้านเครื่องประดับ ก็มีชายวัยกลางคนปรี่เข้ามาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูใหญ่ฉู่ขอรับ ท่านมาพอดีเลย! ทางนี้รอท่านมาทั้งวันแล้ว!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือเหยียนเก๋อ…เป็นเถ้าแก่คนที่สองของเจินเป่าเก๋อ
เมื่อคนส่วนใหญ่เจอเขาต่างก็พากันเรียกคุณชายรองเหยียนตามมารยาท ทุกคนต่างทราบดีว่าเบื้องลึกของเจินเป่าเก๋อมีอำนาจลึกลับคอยหนุนหลังอยู่ ซึ่งมิอาจล่วงเกินได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเคารพนับถือเหยียนเก๋อและร้านเจินเป่าเก๋ออย่างยิ่ง
แต่วันนี้เขากลับดูกระตือรือร้นกับฉู่หลิวเยว่เป็นพิเศษ
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้
“ดูท่าทางการค้าเมื่อวานจะทำให้คุณชายรองเหยียนพอใจมาก”
เหยียนเก๋อหัวเราะร่วน
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจคุณหนูใหญ่ฉู่มากๆ!”
ของสิ่งนั้นถูกวางขึ้นหิ้งมาหลายปี ไม่ใช่เพราะไม่มีคนชอบ แต่เพราะมันแพงมากเกินไปต่างหาก ราคาไม่คุ้มค่าจึงถูกเก็บไว้บนหิ้ง
ใครจะไปรู้ เมื่อฉู่หลิวเยว่มาเยือน ก็พูดออกมาโต้งๆ ว่าต้องการให้ขายสิ่งนี้ออกไป
ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่เช้าตรู่วันนี้ ตระกูลฉู่และตระกูลลู่ต่างก็พากันส่งเงินมาให้!
ตอนนี้ เมื่อเขามองฉู่หลิวเยว่อีกทีก็รู้สึกราวกับมองเห็นเทพเจ้าก็มิปาน!
“เมื่อวานท่านบอกว่า วันนี้ยังมีการซื้อขายอีกชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่า…”
เหยียนเก๋อลูบมืออย่างตื่นเต้น แล้วมองฉู่หลิวเยว่ดวงตาเป็นประกาย
ฉู่หลิวเยว่เคาะปลายนิ้วบนโต๊ะเบาๆ
“คุณชายรองเหยียน ที่ข้ามาวันนี้ ไม่ได้มาซื้อของ แต่ข้า…มาขายของ”
เหยียกเก๋อชะงักงัน
ฉู่หลิวเยว่ล้วงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อของนางแล้วยื่นให้
เหยียนเก๋อรับมาพินิจดู ทันใดนั้นเขาก็ตกใจเบิดตาโพลง
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ
“เงินสามแสนตำลึง ต่ำกว่านี้ ไม่ขาย”