เล่ม 1 ตอนที่ 6 ค้าขาย

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ฉู่หลิวเยว่โล่งอก น้ำเสียงก็อ่อนลงไปมาก

แม้ว่าสิงโตขาวตัวนี้จะดูดุร้ายมาก แค่นางสามารถรู้สึกได้ ดูเหมือนมันจะคุ้นเคยใกล้ชิดกับนางมาก กระทั่งจงใจระงับปราณข่มขู่กดดันของเดรัจฉานในร่างกายของมัน

เจ้าสิงโตขาวลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง แล้วเดินมาหยดอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่อย่างไร้เสียง

ร่างของมันสูงใหญ่และแข็งแรงมาก ฉู่หลิวเยว่ที่ผอมบางอยู่แล้ว เมื่อได้มายืนตรงหน้ามันก็เลยดูตัวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าถ้ามันอ้าปากก็คงกลืนกินนางได้อย่างง่ายดาย

แม้กระทั่งห้องของนางก็ดูแคบลงไปถนัดตา

เจ้าเสวียเสวี่ยกะพริบดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งปริบๆ มันก้มหัวอันใหญ่โตลงมาแล้วสะบัดไปมาที่มือของฉู่หลิวเยว่

ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่ามันต้องการทำสิ่งใดกันแน่

เมื่อเห็นว่านางไม่ขยับเขยื้อน เสวียเสวี่ยก็ขยับเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วช้อนสายตามองนางปริบๆ

หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกหงึกๆ นี่มัน…กำลังขอให้นางสัมผัสลูบไล้หรือ

นางลองยื่นมือออกไปวางบนหัวของมันแล้วลูบเบาๆ

เมื่อมือของนางสัมผัสกับขนที่นุ่มลื่นเงางามก็รู้สึกดีมาก เห็นได้ชัดว่ามันใช้ชีวิตมาอย่างดี ถึงได้เลี้ยงออกมาสมบูรณ์ขนาดนี้

คราวนี้เจ้าเสวียเสวี่ยจึงได้หลับตาลงด้วยความพอใจ ร่างกายผ่อนคลาย แกว่งหางหนึ่งครั้ง แล้วก็ส่งเสียงคำรามต่ำด้วยความพึงพอใจ

“คร่อก…”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

นี่กะว่าจะไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่

“นี่ เจ้าควรจะกลับไปหาเจ้าของมิใช่หรือ จะมาอยู่กับข้าที่นี่ได้อย่างไร”

และดูเหมือนเจ้าเสวียเสวี่ยจะไม่สนใจไยดี มันหลับตาลงแน่นิ่งไม่ขยับ ราวกับว่ามันหลับไปแล้วจริงๆ

ฉู่หลิวเยว่มีความรู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

แม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าสิงโตขาวจึงทำเช่นนี้กันแน่ แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว หากนางยังยืนกรานให้มันกลับไป ไม่แน่อาจจะเกิดความเคลื่อนไหววุ่นวาย

พอถึงเวลานั้นก็อาจจะเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิม

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เร้าหรือเรื่องนี้อีก จากนั้นจึงตบหัวของมันเบาๆ แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงคนเดียวเพื่อพักผ่อน

เมื่อนางได้สัมผัสผ้าห่มก็พบว่ามันอุ่นขึ้นจริงๆ

นางฉุกคิดขึ้นในใจ ที่เจ้าสิงโตขาวมาที่นี่ คงไม่ได้มาอุ่นเตียงโดยเฉพาะหรอกกระมัง

เวลาต่อมา นางจึงอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ นี่นางคงคิดมากไปหน่อย

“ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ล่ะก็ ข้าขอบอกไว้ก่อน เจ้าอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”

เสวียเสวียลืมตาขึ้นแล้วส่ายหางระริกระรี้

ฉู่หลิวเยว่ล้มตัวนอนบนเตียง แล้วคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะจัดการกับชีวิตอย่างไรให้ชัดเจนก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา

ในขณะที่นางค่อยๆ ปิดเปลือกตาหลับสนิท เจ้าสิงโตขาวที่ดูเหมือนจะหลับไปนานแล้วก็ลืมตาขึ้นมองไปที่ฉู่หลิวเยว่

ไม่รู้ว่านางนิมิตหมายถึงสิ่งใดอยู่ ใบหน้าเน่งน้อยของนางถึงได้ขมวดคิ้วมุ่น เหงื่อเย็นชื้นเม็ดละเอียดซึมไปตามหน้าผากและริมฝีปากก็ขาวซีด

จากนั้นลำแสงสีเงินก็ไหลออกมาจากร่างของเสวียเสวี่ย แล้วค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของฉู่หลิวเยว่เงียบๆ

ท่ามกลางห้วงฝันของฉู่หลิวเยว่ นางรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังแช่อยู่ในน้ำอุ่น ความผ่อนคลายและความสบายที่หายากนั้นทำให้คิ้วที่ขมวดแน่นค่อยๆ คลายตัว จากนั้นจึงเข้าสู่การหลับที่แนบสนิท

ในขณะที่ฉู่หลิงเยว่กำลังหลับสนิท กลับมีคนผู้หนึ่ง ที่ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ…ฉู่เซียนหมิ่นนั่นเอง

“บอกมา ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ประตูใหญ่ของถิงฟังย่วนปิดสนิท

ฉู่เซียนหมิ่นจ้องชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตาเขม็ง แล้วพยายามสงบสติอารมณ์โมโหของตนเอง

“คือ…คือ…คุณหนูสามขอรับ ข้าน้อยได้ไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของพวกซ่งเหลียนทั้งสามคนเลยขอรับ…”

เหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นที่แผ่นหลังของฉู่เหลียนเซิง

“เป็นไปได้อย่างไร!”

ฉู่เซียนหมิ่นตวาดลั่นตัดบทของเขา

“วางแผนเสียดิบดี แค่ให้ฉู่หลิวเยว่ออกไป ทุบนางให้หมดสติลากเข้าป่าจัดการนางเสียก็สิ้นเรื่อง! ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าพวกซ่งเหลียนเป็นนักรบระดับสาม สามารถจัดการกับฉู่หลิวเยว่ตัวเล็กๆ ได้ไม่มีปัญหาแน่นอน แล้วตอนนี้ล่ะ ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ตาย พวกซ่งเหลียนก็ยังหายไปอีก! เจ้าจัดการเรื่องของข้าชุ่ยๆแบบนี้หรือ!”

“คุณหนูสาม หากว่าตามเหตุผลเช่นนี้ก็ไม่ผิด ข้าน้อยเห็นกับตาว่าพวกเขาเป็นคนพาฉู่หลิวเยว่ออกประตูเมืองไปจริงๆ นะขอรับ แต่..แต่ใครจะไปรู้ว่านางยังไม่ตาย”

หลังจากที่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่รอดชีวิตกลับมา เขาก็รู้สึกผิดสังเกตจึงรีบกลับไปตรวจสอบหาร่องรอยพวกซ่งเหลียน แม้เขาจะตรวจค้นให้ทั่วทั้งภายในและภายนอกเมืองหลวง แต่ก็ดูเหมือนสามคนนั้นจะระเหยลอยไปกับอากาศแล้วก็มิปาน

คราวนี้ เขาจึงรู้ตัวว่าไม่ได้การแล้ว!

“นางต้องรู้ว่าข้าเป็นคนลงมือแล้วแน่ๆ!”

ฉู่เซียนหมิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดแค้น

นึกถึงก่อนหน้านี้ ที่นางรู้สึกกลัวจริงๆ กับสายตาของฉู่หลิวเยว่ แล้วนางก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน

“คุณหนูสาม ต่อให้นางรู้แล้วจะทำเยี่ยงไรได้ นางเป็นคนง่อยเง่า นางยังจะสามารถพลิกคลื่นฟื้นโอกาสอะไรขึ้นมาได้อีกเล่าขอรับ…”

“ไอ้คนโง่! หากนางไม่มีอะไรจริงๆ แล้วทำไมพวกซ่งเหลียนถึงหายไปได้ล่ะ!”

ซ่งเหลียนไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก

ฉู่เซียนหมิ่นกัดฟันเงียบๆ

หนึ่งวันแล้วยังตามหาพวกซ่งเหลียนไม่พบ วันนี้นางมิอาจวางใจได้ ไม่มีใครรู้ว่าฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาอย่างไร แล้วนางจัดการกับคนพวกนั้นเยี่ยงไรบ้าง

ถ้าหากนางใช้หลักฐานนี่มัดตัวล่ะก็…

“ตามหาต่อไป นอกจากนี้ให้ส่งคนแอบสะกดรอยตามฉู่หลิวเยว่ หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมารายงาน!”

“ขอรับ!”

เมื่อฉู่เหลียนเซิงออกไปแล้ว แววตาของฉู่เซียนหมิ่นก็ค่อยๆ ดำดิ่ง

ฉู่หลิวเยว่กล้าพุ่งเป้ากลับมาที่นาง เช่นนั้น…ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน!

ค่ำคืนที่นอนหลับสบาย

เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสวียเสวี่ยได้จากไปแล้ว

เหมือนว่ามันอยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองนางในช่วงกลางคืนเลย…

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพลางส่ายหน้า

นี่เป็นคืนแรกหลังจากที่นางกลับชาติมาเกิด เดิมทีคิดว่าคงจะนอนไม่หลับ แต่คิดไม่ถึงว่าจะนอนหลับสนิทเต็มอิ่ม

ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของนางจึงรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวขึ้นมาก

หลังจากล้างหน้าล้างตาลวกๆ ฉู่หลิวเยว่ก็มานั่งหน้าคันฉ่อง เพราะอยากเห็นใบหน้านี้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่

ใบหน้าของหญิงสาวสะท้อนอยู่ในคันฉ่องพร่ามัวที่ดูเก่าทรุดโทรม

อาจเป็นเพราะขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ใบหน้าเรียวจึงดูซูบผอมซีดเซียว อายุก็ใกล้จะสิบสี่แล้ว แต่ดูอย่างไรก็เหมือนเด็กอายุสิบสอง

ดวงตาสีดำขลับดูกลมโตอย่างยิ่งจนเด่นชัด

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยากที่จะเห็นว่าใบหน้าเรียวเล็กนี้สวยงามมากจริงๆ

ตอนนี้ยังคงเยาว์วัย หากโตขึ้นกว่านี้อีกนิด จะต้องเป็นโฉมสะคราญที่หาจับตัวได้ยากแน่ๆ

บางทีอาจเป็นเพราะได้เปลี่ยนดวงวิญญาณ ดวงตาเรียบนิ่งที่มักจะฉายแววขี้ขลาด กลับดูสงบและเด็ดเดี่ยวมากขึ้น ทั้งยังส่องประกายดุจดวงดาว เผยให้เห็นราศีอันมีเกียรติสูงส่งฉายชัดบนใบหน้า

ราวกับไข่มุกที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น แล้วถูกปัดฝุ่นฝุ่นจนเริ่มส่องแสงระยิบระยับ!

ฉู่หลิวเยว่จดจ้องใบหน้านี้ แววตาของนางพลันเปลี่ยนไป และใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุดนางก็ถอนหายใจออกมา

อันที่จริง ใบหน้านี้มีส่วนคล้ายคลึงกับนางในอดีตชาติถึงสี่ห้าส่วน!

สักพักนางจึงเก็บงำความคิดและจัดเก็บอะไรนิดหน่อยก่อนจะออกไป

กฎตระกูลฉู่นั้นเข้มงวดยิ่งนัก คนธรรมดาจะเข้าจะออกก็ต้องตรวจตราอย่างเคร่งครัด

แต่ปกติฉู่หลิวเยว่ก็มีสถานะต่ำต้อยอยู่แล้ว มักจะถูกส่งออกไปทำธุระจุกจิกตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อยามเฝ้าประตูเห็นนางออกไปข้างนอก จึงไม่ถามไถ่อะไรให้มากความ

สิ่งนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเรื่องของนางอย่างมาก

เมื่อออกมาตระกูลฉู่มาได้ นางจึงมุ่งหน้าไปยังเจินเป่าเก๋อ

ทันทีที่นางก้าวเท้าเหยียบร้านเครื่องประดับ ก็มีชายวัยกลางคนปรี่เข้ามาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม

“คุณหนูใหญ่ฉู่ขอรับ ท่านมาพอดีเลย! ทางนี้รอท่านมาทั้งวันแล้ว!”

ชายวัยกลางคนผู้นี้คือเหยียนเก๋อ…เป็นเถ้าแก่คนที่สองของเจินเป่าเก๋อ

เมื่อคนส่วนใหญ่เจอเขาต่างก็พากันเรียกคุณชายรองเหยียนตามมารยาท ทุกคนต่างทราบดีว่าเบื้องลึกของเจินเป่าเก๋อมีอำนาจลึกลับคอยหนุนหลังอยู่ ซึ่งมิอาจล่วงเกินได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเคารพนับถือเหยียนเก๋อและร้านเจินเป่าเก๋ออย่างยิ่ง

แต่วันนี้เขากลับดูกระตือรือร้นกับฉู่หลิวเยว่เป็นพิเศษ

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้

“ดูท่าทางการค้าเมื่อวานจะทำให้คุณชายรองเหยียนพอใจมาก”

เหยียนเก๋อหัวเราะร่วน

“ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจคุณหนูใหญ่ฉู่มากๆ!”

ของสิ่งนั้นถูกวางขึ้นหิ้งมาหลายปี ไม่ใช่เพราะไม่มีคนชอบ แต่เพราะมันแพงมากเกินไปต่างหาก ราคาไม่คุ้มค่าจึงถูกเก็บไว้บนหิ้ง

ใครจะไปรู้ เมื่อฉู่หลิวเยว่มาเยือน ก็พูดออกมาโต้งๆ ว่าต้องการให้ขายสิ่งนี้ออกไป

ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่เช้าตรู่วันนี้ ตระกูลฉู่และตระกูลลู่ต่างก็พากันส่งเงินมาให้!

ตอนนี้ เมื่อเขามองฉู่หลิวเยว่อีกทีก็รู้สึกราวกับมองเห็นเทพเจ้าก็มิปาน!

“เมื่อวานท่านบอกว่า วันนี้ยังมีการซื้อขายอีกชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่า…”

เหยียนเก๋อลูบมืออย่างตื่นเต้น แล้วมองฉู่หลิวเยว่ดวงตาเป็นประกาย

ฉู่หลิวเยว่เคาะปลายนิ้วบนโต๊ะเบาๆ

“คุณชายรองเหยียน ที่ข้ามาวันนี้ ไม่ได้มาซื้อของ แต่ข้า…มาขายของ”

เหยียกเก๋อชะงักงัน

ฉู่หลิวเยว่ล้วงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อของนางแล้วยื่นให้

เหยียนเก๋อรับมาพินิจดู ทันใดนั้นเขาก็ตกใจเบิดตาโพลง

แต่ฉู่หลิวเยว่กลับพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ

“เงินสามแสนตำลึง ต่ำกว่านี้ ไม่ขาย”