ดูเหมือนเหยียนเก๋อจะไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่เมื่อได้ยินราคานี้ แต่กลับเหลือบมองฉู่หลวเยว่ด้วยความสงสัย และเขย่าแผ่นกระดาษในมือไปมาเบาๆ
“นี่…คุณหนูใหญ่ฉู่ ท่านคิดที่ขายสิ่งนี้จริงๆ หรือ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ด้วยราคาขนาดนี้ ข้าเชื่อว่าคุณชายรองเหยียนเองก็เข้าใจ ท่านคงไม่ขาดทุนหรอกกระมัง”
เหยียนเก๋อได้ยินเข้าก็หัวเราะเจื่อนๆ
เขารู้ดีว่าใช้เงินสามแสนตำลึงแลกกับกระดาษแผ่นนี้ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน ทั้งยังสามารถขายต่อในราคาที่สูงกว่านี้อีกด้วย!
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ของสิ่งนี้เป็นของร้อนลวกมือน่ะสิ!
“คุณหนูใหญ่ฉู่ นี่…ท่านยื่นเผือกร้อนลวกมือมาให้ข้าจริงเชียว!”
เพราะว่า กระดาษแผ่นนี้…จริงๆ แล้วมันคือโฉนดที่ดิน!
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่โฉนดที่ดินธรรมดา แต่มันคือที่ดินเขตล่าสัตว์นอกเมืองหลวง!
เขตล่าสัตว์ ที่จริงแล้วเป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์อสูรโดยเฉพาะ
อาณาจักรเสวียนอู่นี้ แบ่งสัตว์อสูรออกเป็นเก้าระดับ ระดับที่หนึ่งอ่อนแอที่สุด ส่วนระดับที่เก้าแข็งแกร่ง
สัตว์อสูรเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและรักอิสระโดยธรรมชาติ ไม่ยินยอมให้มนุษย์บังคับควบคุม แต่ถ้ามันมีความผูกพันสัญญากับมนุษย์ ก็จะกลายเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีและเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ที่ทรงพลัง
โดยทั่วไป มนุษย์สามรถทำสัญญากับสัตว์อสูรได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ถ้าสัตว์ตัวนั้นตาย มนุษย์ก็ยังสามารถตามหาสัตว์อสูรตัวอื่นเพื่อทำสัญญาต่อไปได้อีก
ยิ่งสัตว์ที่มีระดับขั้นสูงส่ง พลังก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย และสามารถช่วยเหลือเจ้าของมันได้มากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกพลังในอาณาจักรเสวียนอู่จึงกระหายตามล่าสัตว์อสูรตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อสูรระดับสูง
แต่ใช่ว่าสัตว์อสูรจะหาได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ
ผู้ฝึกพลังธรรมดาทั่วไปจึงทำได้เพียงเข้าไปในสถานที่อันตรายเพื่อเสี่ยงตายล่าสัตว์อสูร
ส่วนตระกูลที่มีอำนาจกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขามักจะเลือกสร้างสนามล่าสัตว์ของตัวเอง
เพียงแค่หาสถานที่ที่เหมาะสมแล้วจับพวกสัตว์อสูรมาขังเลี้ยงเอาไว้ ก็จะสามารถลดภาระไปได้มาก จากนั้นก็ให้บรรดาลูกหลานในตระกูลเลือกสัตว์อสูรได้ตามอำเภอใจ ทั้งยังทำให้มันกลายเป็นสนามฝึกทดลอง เพื่อเพิ่มพลังความสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ฝึกยุวชนอีกด้วย!
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำไมจะไม่สนเล่า
แน่นอน ไอ้พูดมันก็ง่ายอยู่หรอก แต่ในความเป็นจริง การสร้างสนามล่าสัตว์ขึ้นมาสักแห่งจะต้องใช้แรงงานคนและทรัพยากรจำนวนมาก
เพราะเหตุนี้ สนามล่าสัตว์แห่งนี้ นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ก็มีเพียงตระกูลขุนนางชั้นสูงที่สามารถทำได้
แม้แต่ตระกูลฉู่ก็มีพื้นที่ล่าสัตว์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น!
ไม่กี่ปีมานี้ อำนาจของตระกูลฉู่ค่อยๆ เริ่มเสื่อมถอย สนามล่าสัตว์แห่งนั้นจึงยากที่จะสืบทอดต่อไป
ในนั้น มีสัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งตัว มันคือราชาพยัคฆ์ทองคำ สัตว์อสูรระดับห้าที่ฉู่จงเหอประมุขตระกูลฉู่เลี้ยงไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน
แต่โฉนดที่ดินที่ฉู่หลิวเยว่เอามาในวันนี้ กลับไม่ใช่ของของตระกูลฉู่ แต่เป็น…ที่ดินของนางเอง!
จะว่าไป นางก็เป็นคนไร้ค่าที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกตลอด มีของสิ่งนี้อยู่ในมือได้ ต้องขอบพระทัยองค์ชายรัชทายาทหรงจิ้นที่มีสัญญาอภิเษกกับนาง
ตอนที่นางถือกำเนิด ฉู่หนิงยังคงเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นของตระกูลฉู่ในรุ่นนั้น จึงมีอำนาจสืบทอดตระกูลอยู่ในมือ
ประกอบกับอุปนิสัยเข้มแข็งอดทนจงรักภักดีและเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ดังนั้นตอนที่นางเกิดมา ฝ่าบาทจึงพระราชทานสัญญาอภิเษกระหว่างนางกับองค์รัชทายาทให้ทันที
เพียงแค่รอนางอายุครบสิบสี่ปี ก็สามารถจัดพิธีอภิเษกอย่างเป็นทางการแล้วได้เลื่อนยศเป็นพระชายาองค์รัชทายาท!
โฉนดที่ดินสนามล่าสัตว์แห่งนั้น ก็เป็นที่ดินที่ฝ่าบาทพระราชทานแก่ฉู่หลิงเยว่
ยามนั้นฉู่หลิวเยว่ และนางก็กลายเป็นคนที่น่าอิจฉามากที่สุด
แต่ใครก็มิอาจล่วงรู้ ว่านางเกิดมาจะมีชีพจรพิกลพิการ เกิดมาพร้อมความไร้ความสามารถ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางจึงกลายเป็นตัวตลกของแคว้นเย่าเฉิน!
ในโลกที่เคารพพลังความสามารถ การมีอยู่ของผู้ที่อ่อนแอนั้นมันคือความผิดพลาดตั้งแต่แรก!
ตอนที่ฉู่หนิงสองพ่อลูกตกอยู่ในจุดตกต่ำ ไม่ใช่ไม่เคยคิดถึงที่ดินล่าสัตว์ผืนนั้น แต่ในความเป็นจริง ที่ดินผืนนั้นถูกองค์รัชทายาทควบคุมตั้งนานแล้ว เขาเคยขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทหลายต่อหลายครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือ แค่มักจะถูกปฏิเสธที่ด้านนอกประตูเสมอ
แน่นอน เขารู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลิกเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ไปแล้ว
และฉู่หลิวเยว่คนเดิมมักคิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาท ดังนั้นนางจึงไม่แม้แต่จะเคยคิด
แต่น่าเสียดาย ฉู่หลิวเยว่ตอนนี้ไม่ใช่ฉู่หลิวเยว่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
หลักการใช้ชีวิตของนางนั้นแสนเรียบง่าย ใครเคารพหนึ่งศอก ข้าก็จะเคารพกลับไปหนึ่งว่า แต่ถ้าใครรังแกข้าหนึ่งครั้ง ข้าก็เอาคืนกลับไปร้อยเท่า!
เป็นไปไม่ได้ที่องค์รัชทายาทจะไม่รู้ว่าสองพ่อลูกมีชีวิตอยู่กันอย่างไร แต่กลับไม่เคยแสดงความห่วงใยเลยสักนิด เช่นนั้น…นางจะเก็บโฉนดที่ดินผืนนี้ไว้ทำไม
“ข้ารู้หรอกน่า ดังนั้นข้าจึงมาหาคุณชายรองเหยียนอย่างไรเล่า ทำไม หรือว่าร้านเจินเป่าเก๋อซื้อที่ดินผืนนี้ไม่ไหว”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางยื่นมือไปหยิบโฉนดที่ดิน ราวกับว่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
คุณชายรองเหยียนรีบคว้าเอาโฉนดที่ดินแล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้อด้วยความระมัดระวัง แล้วเขาก็หัวเราะแหะๆ
“เอาตามที่ท่านว่านั่นแหละ เรื่องอื่นไม่กล้าเอ่ยหรอก แต่แคว้นเย่าเฉินนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ร้านเจินเป่าเก๋อไม่กล้าทำมาค้าขายหรอกจะบอกให้! ท่านกล้ายื่นหมูมา พวกเราก็กล้ายื่นแมวกลับไปเช่นกัน!”
ฉู่หลิวเยว่จึงสงบลง แล้วหัวเราะเยาะ ก่อนจะเอ่ยว่า
“บนโฉนดที่ดินแผ่นนี้เขียนชื่อของข้าเอาไว้อย่างชัดเจน ข้ามีอะไรไม่กล้าบ้างล่ะ”
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าฝ่าบาทพระราชทานที่ดินผืนนี้ให้แก่นาง ตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับคนพิการ ไม่ว่าจะพูดถึงด้านไหน นางก็ไร้คุณสมบัติที่จะได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทอยู่ดี แต่ถ้าอยากกู้หน้ากู้ศักดิ์ศรีเมื่อไหร่ ก็ต้องเป็นฝ่ายมอบคืนที่ดินผืนนี้กลับไปเสียก่อน!
แต่เรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่จะไปทำได้อย่างไร
คนอื่นนับหนึ่งใหม่ แต่นางเริ่มต้นที่สิบห้าไปเลย!
ก่อนมาที่นี่นางไปสืบมาแล้ว ตำแหน่งสถานะของร้านเจินเป่าเก๋อพิเศษมาก ผู้คนสามส่วนของเมืองหลวงต่างให้ความเกรงอกเกรงใจ
คนอื่นไม่กล้ารับโฉนดนี้เอาไว้ ดังนั้นร้านเจินเป่าเก๋อจึงเป็นเพียงทางเลือกเดียว
แล้วก็เป็นจริงดั่งที่นางคาดคิดเอาไว้
เจินเป่าเก๋อยังสามารถรับซื้อสิ่งนี้จริงๆ ด้วย!
เหยียนเก๋อพินิจมองสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง
ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน…
มีข่าวลือว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉู่ผู้นี้ เป็นคนอ่อนแอไร้ค่ามาตั้งแต่กำเนิด แม้แต่คนรับใช้ในตระกูลฉู่ก็รังแกนางได้ตามใจชอบ
แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้กลับดูแตกต่างไปอย่างชัดเจน
อุปนิสัยเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ทั้งยังใจกว้างมั่นคง แม้จะแต่งตัวซอมซ่ออย่างไร แต่กลับเผยให้เห็นราศีสูงศักดิ์ออกมาจากทั่วทั้งร่างได้อย่างน่าแปลกประหลาด ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะยังดูเด็ก แต่ใบหน้ากลับมีความสุขุมเรียบนิ่งแบบที่มักไม่ค่อยเห็นในคนธรรมดาทั่วไป
เขาเห็นความทะนงองอาจทั้งร่างกายนี้ในคนเพียงคนเดียว…
“ฮ่าๆ! ดี! เจินเป่าเก๋อต้องการซื้อสิ่งนี้! เงินนั้นจะให้ท่านเอาตั๋วเงินไป หรือว่า…”
เหยียนเก๋อถูมือด้วยความตื่นเต้น
หลายปีมานี้องค์รัชทายาทดูแลสนามล่าสัตว์แห่งนั้นอย่างพิถีพิถัน มีสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย ทั้งราคายังสูงลิบลิ่ว ขายทอดตลาดได้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับส่ายหน้า
“ข้ายังไม่รีบร้อน ข้าต้องการเลือกของบางอย่างก่อน”
เหยียนเก๋อชะงักค้าง แล้วรีบเอ่ยถาม
“ท่านต้องการสิ่งใดหรือ ข้าจะรีบไปหยิบมาให้ท่าน!”
ตอนนี้เขาจะไม่เลือกปฏิบัติต่อสตรีตรงหน้าดั่งเช่นที่ผู้อื่นลือว่านางเป็นคนไร้ค่าน่าอับอายที่น่ารังแกอีกแล้ว!
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เปล่งประกายเล็กน้อย
“ข้าต้องการใบไผ่ ศิลาน้ำแข็ง โกฐจุฬาลำพา เจ๋อหลานจื่ออายุสามสิบปีและใบหม่อนแดงอายุสามสิบปี…”
นางพูดพลางหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งออกมา
“แค่เตรียมตามรายการนี้ให้ข้าก็พอแล้ว”
เมื่อเหยียนเก๋อรับมาดูอย่างละเอียดก็เกิดความรู้สึกมึนงง
ตอนแรกเขานึกว่าฉู่หลิวเยว่ต้องการสิ่งของมีค่าเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่านางต้องการเพียงพวกยาสมุนไพรเหล่านี้
บางอย่างในนั้นค่อนข้างหาง่ายโดยทั่วไป แต่เมื่อยิ่งดูรายการข้างหลังก็ยิ่งมีราคาแพงมากขึ้นเรื่อยๆ
“แหะๆ ท่านโปรดวางใจ ของที่เขียนในนี้ ของพวกนี้ถ้าอยู่ที่ร้านอื่นอาจไม่เตรียมพร้อมสำหรับท่านแน่ๆ แต่ร้านเจินเป่าเก๋อของเรา จะต้องทำให้ท่านพอใจอย่างแน่นอน”
กิจการของเจินเป่าเก๋อครอบคลุมหลากหลาย รวมถึงพวกยาสมุนไพรอีกด้วย
“อย่างไรก็ตาม สิ่งของเหล่านี้รวมกันเป็นเงินสองแสนตำลึงก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือ…”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย
“เอาตั๋วเงินให้ข้าหนึ่งแสนตำลึงก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือคุณชายรองเหยียนก็เก็บเอาไว้เถิด เพราะว่า…สิ่งของที่จดตามรายการนี้ ข้าต้องการให้ท่านนำมาส่งให้ข้าสามวันครั้ง”
“อะไรนะ”
เหยียนเก๋อที่เคยเจอเหตุกาณ์ใหญ่ๆ มาแล้วยังอดเบิกตาอ้าปากกว้างไม่ได้
สองแสนตำลึง เช่นนั้นก็สิบครั้ง และเป็นจำนวนภายในหนึ่งเดือนเต็มพอดี!
“ลำบากหรือ”
“ไม่ๆ ไม่ลำบาก เจินเป่าเก๋อของเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เพียงแต่ของพวกนี้…จะให้ส่งไปให้ท่านที่ตระกูลฉู่หรือ”
เหยียนเก๋อลองเอ่ยปากถาม
ฉู่หลิวเยว่หันกลับมา มองไปทางที่ไหนสักแห่งตรงนอกประตู แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แน่นอน ข้าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ ของที่ข้าซื้อมาก็ต้องส่งมาถึงประตูใหญ่น่ะสิ แล้วท่านก็นำของเข้ามาให้เอิกเกริกไปเลยนะ!”
อยากสะกดรอยตามนางนักหรือ
เช่นนั้นข้าก็จะทำให้พวกเจ้าเห็นเต็มๆ ตาไปเลย!