เล่ม 1 ตอนที่ 8 คุณหนูใหญ่

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ฉู่หลิวเยว่คนไร้ค่าคนนั้นของตระกูลฉู่บ้าไปแล้ว!

แทบจะเพียงชั่วข้ามคืน คนทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันพูดคุยถึงเรื่องนี้

“ลุงสามของลูกพี่ลูกน้องข้าทำงานอยู่ที่ตระกูลฉู่ ก็เห็นกับตาว่าวันนั้นคนของเจินเป่าเก๋อส่งยาสมุนไพรเข้ามาครึ่งเกวียนด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม อีกอย่าง ยังพูดชัดถ้อยชัดคำเลยว่าเอามาส่งให้ฉู่หลิวเยว่ พวกท่านว่ามันแปลกหรือไม่”

“ไม่หรอกมั้ง ใครจะไปรู้ฉู่หลิวเยว่ผู้ไร้ความสามารถตั้งแต่เกิดนั่น นางจะมีความเกี่ยวข้องกับร้านเจินเป่าเก๋อได้อย่างไร ไหนจะเอายาสมุนไพรออกมาจากเจินเป่าเก๋อครึ่งเกวียนอีก…นั่นมันไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะ นางจะจ่ายไหวได้อย่างไร”

“ถึงได้บอกอยู่นี่กระไรว่านางบ้าไปแล้ว! เจินเป่าเก๋อไม่เคยค้าขายขาดทุน พวกท่านว่านางไปเอาเงินมาจากที่ไหน หรือว่า…องค์ชายรัชทายาทเป็นผู้ให้นาง”

“ฮ่า! หลายปีมานี้องค์รัชทายาทไม่เคยเอ่ยถึงฉู่หลิวเยว่เลยสักครั้ง จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ก็ไม่แน่ มิฉะนั้นฉู่หลิวเยว่จะเอาเงินมาจากไหนล่ะ! ทั้งยังซื้อพวกยาสมุนไพรอีก…หรือนางคิดว่ายาสมุนไพรพวกนั้นสามารถเปลี่ยนตัวเองจากคนไร้ความสามารถเป็นอัจฉริยะได้”

“ฮ่าๆๆๆๆ!”

เสียงหัวเราะเยาะดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง แล้วมองฉู่หลิวเยว่เป็นตัวตลก

ณ ตำหนักรัชทายาท

ภายในห้องหนังสือ มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงกำลังอ่านฎีกาบนโต๊ะ

เขาดูเหมือนคนอายุราวยี่สิบต้นๆ คิ้วคมเข้มได้รูปดั่งกระบี่และดวงตาประกายดุจดวงดาว ใบหน้ารูปงามอย่างยิ่ง ท่าทางการวางไม้วางมือช่างดูสูงส่งสง่างามเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะของชนชั้นสูง

คนผู้นี้มิใช่คนธรรมดาสามัญ แต่เขาคือ…หรงจิ้น ผู้ดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเย่าเฉิน

“องค์ชาย ทางด้านตระกูลฉู่ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ…”

ซ่งหยวน ทหารองครักษ์ข้างกายของรัชทายาทรายงานอย่างระมัดระวัง

หรงจิ้นเงยหน้าขึ้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลฉู่หรือ หรือว่าหมินหมิ่น…”

เมื่อเห็นท่าทางผิดปกติของซ่งหยวน หรงจิ้นจึงตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ เขาจึงหรี่ตา

“พูดมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ซ่งหยวนรีบถวายรายงานเรื่องการติดต่อค้าขายระหว่างฉู่หลิวเยว่และเจินเป่าเก๋อภายในสองวันนี้อย่างละเอียด

“กระ…กระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคุณหนูใหญ่นำเงินมาจากไหน ถึงสามารถซื้อยาสมุนไพรจากเจินเป่าเก๋อได้มากมายขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”

ยาสมุนไพรเหล่านั้นถูกลำเลียงเข้ามาในหีบ คนแถวนั้นมิอาจทราบเลยว่าข้างในนั้นบรรจุสิ่งใดเอาไว้บ้าง

แต่ถึงกระนั้น หากลองคิดดูเล่นๆ ก็จะรู้ว่าของมากมายเช่นนั้นเมื่อรวมกันแล้วราคาต้องไม่ใช่ถูกๆ อย่างแน่นอน

หรงจิ้นขมวดคิ้ว และน้ำเสียงชักจะหมดความอดทน

“นางคิดจะเล่นกลอะไร”

หากไม่ใช่เพราะสัญญาแต่งงาน เขาจะเห็นคนไร้ค่าของตระกูลฉู่นั่นอยู่ในสายตาด้วยหรือ

หลายปีมานี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เป็นเพียงความอัปยศของตระกูลฉู่เท่านั้น แต่นางคือมลทินที่สลัดทิ้งไม่หลุดสักทีของเขาด้วย! แค่คิดเขาก็ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงแล้ว!

ซ่งหยวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

“องค์ชาย อันที่จริงถึงแม้ไม่กี่ปีมานี้อำนาจของฉู่หนิงจะเสื่อมถอยลงไปมาก แต่ถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็รุ่งเรืองมาก จะมีเงินเก็บในมือบ้างก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ…ที่สำคัญ พวกเขาจะซื้อยาสมุนไพรตั้งมากมายไปทำไม บางที…”

“เหอะ ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากลองรักษาบุตรสาวไร้ความสามารถแต่กำเนิดของเขาก็เท่านั้น!”

เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนถึงวันหมั้นหมาย หรือว่านางจงใจพยายามที่จะพลิกกระแสน้ำ!

“น่าขัน!”

ชีพจรไม่สมบูรณ์ ทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินก็ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ หากพวกเขามีหนทางจริง หลายปีที่ผ่านมาก็คงไม่มาอยู่ในจุดตกต่ำเช่นนี้หรอก!

“นางไม่ควรพูดขึ้น ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น ข้าคิดที่จะฉีกสัญญาแต่งงานกับนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ…หรงซิวจะกลับมาหรือยัง”

เมื่อตรัสถึงหรงซิว สีหน้าของซ่งหยวนพลันนิ่งขรึม แล้วเอ่ยเสียงต่ำ

“พ่ะย่ะค่ะ วันนี้พวกเขาจะมาถึงเมืองหลวง จากการที่กระหม่อมได้ไปสืบ คราวนี้องค์ชายเจ็ดพาคนติดตามกลับมาด้วยเพียงสองคนและสวมใส่ด้วยชุดเรียบง่ายพ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นหัวเราะเยาะ

“นับว่าเขายังรู้จักประมาณตนอยู่บ้าง”

หรงซิวร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งไม่เหมือนกับองค์ชายองค์อื่นๆ ดังนั้นเขาถึงถูกส่งตัวไปรักษาฟื้นฟูร่างกายบนเขาหมิวเยว่เทียนที่ห่างไปไกลถึงพันลี้ หลายปีที่ผ่านมา เขากลับมาเพียงสองครั้งเท่านั้น

คราวก่อนที่กลับมาก็เมื่อสามปีที่แล้ว

คนส่วนใหญ่อาจจะไม่สนใจองค์ชายเจ็ดผู้นี้ บางคนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขายังอยู่ แต่องค์ชายรัชทายาทหรงจิ้นกลับไม่คิดเช่นนี้

หรงซิวกลับมาในคราวนี้ เขาระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง จึงส่งคนให้แอบไปสะกดรอยตามหรงซิวตั้งแต่เนิ่นๆ

“ให้คนข้างล่างจับตาดู ถ้ามีอะไรผิดปกติให้มารายงานทันที!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

แม้ซ่งหยวนจะไม่รู้ว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงทรงให้ความสำคัญกับองค์ชายเจ็ดผู้อ่อนแอไร้อำนาจหนุนหลังคนนั้นถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ตอบรับอย่างไม่อิดออด

“จริงสิ องค์ชาย ไม่กี่วันนี้มีสัตว์อสูรระดับห้าเข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์ พระองค์จะเสด็จทอดพระเนตรเมื่อไหร่ดีพ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาลอบเปล่งประกายเงียบๆ

“รออีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งก็คือวันเกิดข้า งานเลี้ยงวันเกิดปีนี้ข้าจะจัดที่สนามล่าสัตว์!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ณ ตระกูลฉู่

ยาสมุนไพรราคาแพงกว่าครึ่งลำเกวียนถูกลำเลียงส่งเข้ามาที่จวนเล็กๆ ของสองพ่อลูกฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่อย่างเอิกเกริก

ฉู่หนิงออกไปข้างนอกยังไม่กลับมา มีเพียงฉู่หลิวเยว่อยู่เพียงลำพังคอยชี้สั่งให้นำยาสมุนไพรพวกนั้นย้ายเข้าไปเก็บในห้อง

ไม่นานนัก นางก็รู้สึกว่ามีดวงตาหลายคู่แอบมองอยู่แถวไกลๆ ข้างนอกจวนที่เคยเงียบสงบ

ฉู่หลิวเยว่สงบนิ่งราวกับไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด บางครั้งนางก็เปิดหีบหยกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยสมบูรณ์ของยาเหล่านั้น

เจินเป่าเก๋อใส่ใจนางมากจริงๆ คุณภาพสินค้าที่ส่งมาล้วนดีมาก

ของพวกนี้มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูชีพจรของนางเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอกจวน พร้อมทั้งเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของชายหนุ่ม

“ไป! ไปจับฉู่หลิวเยว่มาให้ข้า!”

ฉู่หลิวเยว่ลอบยิ้มเย็นยะเยือกในใจ…มาจริงดั่งคาด!

นางเงยหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งถีบประตูแล้วพรวดพราดเข้ามา

ชายคนแรกที่เข้ามามีสีหน้าดุร้ายน่าหวาดกลัว คนอีกสิบคนข้างหลังต่างเป็นชายหนุ่มแข็งแรงล่ำสัน และก็มีสีหน้าท่าทางพร้อมจะหาเรื่องตลอดเวลา

ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา ในที่สุดก็จำชายหนุ่มคนนี้ได้

ฉู่เหลียนเซิง

คนผู้นี้คือคนสนิทของฉู่เซียนหมิ่น เขายังเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดที่มีส่วนทำให้เจ้าของร่างเดิมวายปราณก่อนหน้านี้อีกด้วย!

ช่างบังเอิญจริงๆ นางกำลังอยากไปหาเขาอยู่พอดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู!

ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มสองคนปรี่เข้ามาจับฉู่หลิวเยว่เอาไว้แล้ว

แววตาของฉู่หลิวเยว่เฉียบคมดั่งมีด ก่อนจะตวาดลั่น

“บังอาจ! พวกเจ้าบังอาจนักที่กล้าบุกเข้ามาที่นี่โดยพลการ”

ด้วยการตั้งคำถามของนางจึงทำให้ทุกคนตะลึงในทันทีและหยุดนิ่งโดยไม่รู้ตัว

แม้กระทั่งฉู่เหลียนเซิงยังตกตะลึง แต่เขาก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเอ่ยวาจากระแทกแดกดัน

“เหอะ! ฉู่หลิวเยว่ เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกข้ามาทำไม ยาสมุนไพรของเจินเป่าเก๋อราคาเท่าไหร่ เจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อ เงินนี้ของเจ้าต้องมีที่มาไม่ชอบมาพากลแน่ๆ! ข้าขอเตือนเจ้าจากใจจริงนะ เอาของพวกนี้มาให้แล้วไปกับพวกข้าเสียแต่โดยดี มิฉะนั้น อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินเยี่ยงนั้น นางก็กลอกลูกตาพร้อมทั้งวางสิ่งของในมือลง

“อ้าว แล้วถ้าข้าไม่ทำตามล่ะ”

ฉู่เหลียนเซิงชะงัก จากนั้นจึงเหยียดยิ้มเย็นเยียบ

“เจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะปฏิเสธ”

เขามองสำรวจฉู่หลิวเยว่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

“คนไร้ค่าคนหนึ่ง เลี้ยงเสียข้าวสุกอยู่ในจวนตระกูลฉู่มาตั้งหลายปี ช่างอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก วันนี้ไม่รู้ไปหาเงินด้วยวิธีไหนไปซื้อของพวกนี้ ฉู่หลิวเยว่ เจ้ามันหน้าด้าน ตระกูลฉู่ของเราไม่ต้องการเจ้า!

ฉู่หลิวเยว่จ้องเขาเขม็ง จากนั้นจึงก้าวเดินไปข้างหน้า

ดูท่าทางคงคิดจะจับนางให้ได้คาหนังคาเขา

ฉู่เหลียนเซิงยิ่งได้ใจ จึงส่วสายตาให้กับพรรคพวก

“ยังไม่รีบเก็บของพวกนั้นมาอีก นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเชียวนะ อย่าให้เหลือรอดแม้แต่นิด…”

เพี๊ยะ!

เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังสนั่น!

คนทั้งด้านนอกและด้านในจวนต่างเงียบเป็นเป่าสากในทันที

เมื่อครู่นี้…ฉู่หลิวเยว่ตบหน้าฉู่เหลียนเซิงจริงๆ หรือ!

มีใครไม่รู้บ้างว่าฉู่เหลียนเซิงเป็นคนสนิทของคุณหนูสามฉู่เซียนหมิ่น ยามปกติใครพบใครเห็นต่างก็ให้เกียรติเขาทั้งนั้น ฉู่หลิวเยว่เสียสติไปแล้วหรือ ถึงได้กล้าแม้กระทั่งตบหน้าเขา

“เจ้า! เจ้ากล้าตบข้าอย่างนั้นหรือ!”

ฉู่เหลียนเซิงสับสนไปหมดแล้ว ความเจ็บปวดแสบร้อนที่ใบหน้าจุดประกายไฟแห่งโทสะของเขาขึ้นมาทันที

“เจ้าคงเบื่อมากสินะถึงได้…”

เขาพูดพลางยกมือขึ้นจะพุ่งเข้าไปตบฉู่หลิวเยว่บ้าง

ยังไม่ทันที่มือของเขาจะตกกระทบลงมา แต่กลับถูกฉู่หลิวเยว่บีบข้อมือเอาไว้แล้วตบกลับคืนไปอีกเป็นครั้งที่สอง!

เพี๊ยะ!

คราวนี้ นางตบฉู่เหลียนเซิงจนเลือดกบปาก