บทที่ 4 สมควรได้รับโทษ EnjoyBook
บทที่ 4 สมควรได้รับโทษ
เฉินฮั่นหลงหัวเราะ หึ ๆ ออกมาก่อนจะบอกให้อีกสองคนเดินตามมา แต่หญิงสาวที่สวมชุดสีขาว ทรวดทรงองเอวดีที่กำลังจะเดินผ่านฉู่ชวิ๋นกลับหยุดลง ฉู่ชวิ๋นไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่ยืนมองคนทั้งสามที่เดินออกไปผ่านกระจกใส
“ซวยจริง ๆ มาเจอไอ้เด็กบ้าแต่หัววันเลย!” เฉินฮั่นหลงที่เพิ่งเดินออกมาสบถอย่างโมโห
“ท่านประธานเฉิน ระวังค่ะ…!” ทันใดนั้นผู้หญิงที่เดินตามหลังเขามาก็ร้องลั่น ก่อนจะผลักเขาให้ออกจากที่ตรงนั้น เฉินฮั่นหลงเซไปหลายก้าว ไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็ได้ยินเสียงดัง
ตู้มม!!
หลังเสียงดังก็ตามด้วยเสียงร้องอย่างโหยหวน พอเขายืนได้ก็หันกลับไปดูและใบหน้าซีดเผือดลงทันที ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนก้าวไม่ออก เห็นเพียงผู้หญิงที่เพิ่งจะผลักเขาเมื่อครู่กอดเข่านั่งตัวสั่น แต่ชายสองคนข้าง ๆ เขาเมื่อกี้กลับนอนอยู่บนกองเลือด โดนตัวอักษรคำว่า เทียน ทับไปครึ่งตัว แน่นอน มันคือคำว่า เทียน จากคำว่าเทียนหยวนนั่นเอง
ป้ายบริษัทเทียนหยวนที่ติดอยู่ล้วนแต่ทำด้วยเหล็ก ทุกตัวมีความสูงราวสองเมตร หนักประมาณสี่สิบถึงห้าสิบกิโลกรัม ใช้หัวเชื่อมเชือกด้วยความยาวเกือบห้าสิบเซนติเมตรและนอตขนาดใหญ่เชื่อมไว้บนยอดตึก ขนาดว่าพายุระดับ ยี่สิบพัดเข้ามาก็ไม่ไหวติง แต่ตอนนี้กลับตกลงมา ถ้าหากไม่ใช่มีหญิงสาวผลักเขาเมื่อครู่ เฉินฮั่นหลงรู้เลยว่า ตัวเองต้องกลายเป็นซอสเนื้อแน่ ๆ
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน ก็เห็นคำว่าบริษัทหยวนที่ขาดคำว่าเทียนไป ความเย็นยะเยือกแล่นเข้าตัวจากล่างขึ้นบน เขาสั่นด้วยความหนาว ตัวอักษรอื่น ๆ ในสายตาเขาก็เหมือนจะสั่นไหวพร้อมตกลงมาทับร่างของเขาได้ทุกเมื่อ อยู่ ๆ มันก็ทำให้เขานึกถึงคำที่คนเมื่อครู่พูด ก่อนจะหันกลับไปมองฉู่ชวิ๋นที่กำลังมองเขาผ่านกระจกบานใสนั่นอยู่เหมือนกัน เวลานี้ภายในตึกวุ่นวายไปหมด พนักงานในตึกพอได้ยินว่าข้างล่างเกิดเรื่องก็พากันชะโงกหน้าลงมาดู
และที่ประจวบเหมาะก็คือ คนของโรงพยาบาลบ้าก็มาพอดี แต่ไม่ได้มารับคนบ้าอย่างที่คิด กลับกลายเป็นรถที่ทำหน้าที่ฉุกเฉินจำเป็นในการช่วยคนที่เพิ่งจะโดนทับไปเมื่อครู่พอดี ก่อนจะรีบนำส่งโรงพยาบาล
เฉินฮั่นหลงขาอ่อนเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวก่อนจะย่อตัวนั่งลงบนพื้น เป็นเพราะตกใจกับภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่และในตอนที่คนช่วยกันยกคำว่าเทียนขึ้นเมื่อครู่ ทำให้เห็นขาสองข้างที่โดนตัวอักษรนั่นทับลงไปจนขาดเป็นสองท่อน เลือดไหลนองเต็มพื้น
ยามทั้งสองก็ไม่สนใจฉู่ชวิ๋นอีกต่อไปก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปพยุงตัวเฉินฮั่นหลงขึ้นมา เพราะนี่เป็นเวลาดีที่จะเข้าไปประจบ
ฉู่ชวิ๋นได้รับเชิญให้เข้าไปนั่งในห้องรับรองชั้นดีของบริษัท ส่วนเฉินฮั่นหลงกับผู้หญิงคน เมื่อครู่ถูกยามทั้งสองพยุงเข้ามา พอเห็นฉู่ชวิ๋นเฉินหั่นอยู่ เฉินฮั่นหลงก็บอกให้ยามทั้งสองออกไป ก่อนที่เขาจะเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉู่ชวิ๋น
“ผมเฉินฮั่นหลง มีตาหามีแววไม่ เสียมารยาทกับท่านไป ท่านได้โปรดช่วยผมด้วยเถอะครับ” ฉู่ชวิ๋นไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็แอบขำในใจ เฉินฮั่นหลงจริง ๆ แล้วคงไม่ได้คิดที่จะคุกเข่าแต่คงเป็นเพราะแขนขาอ่อนแรงจากเรื่องเมื่อครู่ถึงได้นั่งฟุบลงไปแบบนั้น และก็เป็นไปตามคาด เพราะหลังจากที่พูดจบเฉินฮั่นหลงก็รีบปีนขึ้นไปบนอยู่บนโซฟาตัวข้าง ๆ อย่างรวดเร็วด้วยความเขินอาย
ฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนจุดสนใจไปยังตัวของหญิงสาวที่หน้าซีดอยู่ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “คุณพกพวกหยกหรืออะไรทำนองนี้กับตัวรึเปล่า?”
หญิงสาวนิ่งไปพักหนึ่ง คิดไปคิดมาก่อนจะรีบถอดสร้อยออกมาจากคอ เป็นไปตามคาดเมื่อจี้สร้อยนั่นเป็นพระพุทธรูปหยก!
ฉู่ชวิ๋นรับสร้อยนั้นมา ก่อนจะมองไปที่เฉินฮั่นหลงแล้วพูดขึ้นมาเบา ๆ
“ดูเหมือนว่าคุณยังไม่ถึงที่ตาย” พูดจบก็ดีดหยกนั้นไปหนึ่งที
ภาพหลังจากนั้นก็ทำให้เฉินฮั่นหลงกับหญิงสาวต้องตะลึง พระพุทธรูปหยกค่อย ๆ ร้าวออกทีละนิด ก่อนจะแตกละเอียดในที่สุด
“ดูเหมือนว่าหยกชิ้นนี้จะเคยโดนปลุกเสกหรือก็คือการเบิกเนตรพระพุทธรูปที่พวกคุณพูดกัน ปกติหยกก็มีดีทางด้านปัดเป่าความชั่วร้ายอยู่แล้ว ยิ่งมีการปลุกเสกแบบนี้อีกยิ่งช่วยจากภัยร้ายได้ดี ทำให้คุณผู้หญิงคนนี้ถึงได้มีปฏิกิริยารวดเร็วช่วยคุณได้ทันเวลา”
“หยกก้อนนี้เป็นสิ่งที่ยายฉันขอได้มาจากวัดฝูหยวน ได้ยินว่าสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและฟาดเคราะห์ได้” หญิงสาวพูด
“ขอบคุณมากครับ” เฉินฮั่นหลงโค้งคำนับหญิงสาว ถ้าไม่ได้เธอเขาต้องตายแล้วแน่ ๆ
“ประธานเฉิน ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวรีบพูดก่อนจะลุกขึ้นพูดด้วยสีหน้าเขินอาย ฉู่ชวิ๋นมีแววตานึกสนุก ท่าทางคุณผู้หญิงไป๋คนนี้จะมีใจให้เฉินฮั่นหลงนะเนี่ย แต่ว่าเขาไม่มีเวลาจะไปเป็นพ่อสื่อให้หรอกนะ
“ผมมีเรื่องจะถามคุณ” ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เฉินฮั่นหลงก่อนจะพูดขึ้น
“เชิญคุณถามได้เลยครับ” เวลานี้เฉินฮั่นหลงกล้าที่จะแข็งข้อที่ไหนกันล่ะ เขาพูดออกมาด้วยความกลัว
“ผมอยากถามเรื่องของคนสองคนกับคุณหน่อย คนหนึ่งชื่อฉู่เทียนเหอ และอีกคนชื่อว่าหลิวหราน คุณรู้ไหมว่าเขาทั้งสองอยู่ที่ไหน?”
“พี่หลิวหราน คุณมาตามหาพี่หลิวหรานหรอกเหรอ?” เฉินฮั่นหลงยังไม่ทันได้พูด หญิงสาวคนนั้นก็พูดออกมาด้วยความตกใจ
“คุณรู้จัก?”
“แน่นอนสิ ฉันเป็นคนที่พี่หลิวหรานช่วยให้เลื่อนตำแหน่งเลยนะ” พูดถึงตอนนี้ หญิงสาวก็รู้สึกลำพองใจ
“ตอนที่เข้ามาในบริษัทใหม่ ๆ ฉันเป็นผู้ช่วยของพี่หลิวหราน ถ้าไม่ได้เธอฉันคงไม่ได้มีทุกวันนี้” หญิงสาวพูดจบ ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป อดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณถามหาทั้งสองคนนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เฉินฮั่นหลงถามขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
“พวกเขาคือพ่อแม่ของผม”
“หะ?” เฉินฮั่นหลงกับหญิงสาวตกใจไปตาม ๆ กัน
“คุณเป็นลูกชายของพี่หลิวหราน?” หญิงสาวมองที่ฉู่ชวิ๋นอย่างสงสัย คิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมถึงไม่เหมือนกันเลยสักนิดล่ะ?”
“อะไรไม่เหมือน?” ฉู่ชวิ๋นตระหนักถึงคำถาม
“บนโต๊ะทำงานของพี่หลิวหรานมีรูปอยู่ใบหนึ่ง ฉันเคยถามแล้ว พี่หลิวหรานบอกว่าเป็นรูปของลูกชายเค้า ชื่อว่าฉู่ชวิ๋น แต่ว่าทำไมถึงไม่เหมือนคุณเลยสักนิด” หญิงสาวพูดออกมาตามความจริง
“ผมนี่แหละฉู่ชวิ๋น ไม่ใช่ตัวปลอมแน่นอน!” ในตอนที่ฝึกฝนใหม่ ๆ มีการเปลี่ยนไขสันหลัง เปลี่ยนแปลงชำระล้างกระดูก รูปร่างก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายให้กับคนทั้งสองตรงหน้า
ฉู่ชวิ๋นละสายตามองไปยังหญิงสาว “คุณชื่ออะไร?”
“ฉันชื่อ ไป๋จิ้ง” หญิงสาวรีบตอบกลับ ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ารับรู้
“พวกคุณรู้รึเปล่าว่าพ่อแม่ผมไปอยู่ที่ไหน?” เฉินฮั่นหลงและไป๋จิ้งส่ายหัวพร้อมกัน
“หลังจากที่พี่หลิวหรานลาออก ก็ไม่ได้ติดต่อกับฉันอีกเลยค่ะ” ไป๋จิ้งบอก สายตาของฉู่ชวิ๋นไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ เรื่องนี้เขารู้แล้วเพียงแต่ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเองก็ไม่สบายใจ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมต้องขอตัวก่อน” ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นก่อนหมายจะเดินออกจากห้องรับรองไป เฉินฮั่นหลงรีบลุกขึ้นพูดอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนครับคุณ อย่าถือโทษโกรธผมเลย ช่วยผมด้วยเถอะ” จริง ๆ แล้วฉู่ชวิ๋นไม่ได้อยากจะสนใจ แต่พอคิดดูแล้วในวันข้างหน้าอาจจะต้องได้ใช้งานเฉินฮั่นหลง จึงพยักหน้า
“ผมจะขึ้นไปดูบนดาดฟ้า”
“เชิญทางนี้เลยครับ” เฉินฮั่นหลงรีบนำทางไม่นานทั้งสามก็มาถึงดาดฟ้า
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย มนต์ดำที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรแข็งตัวแล้วและมนต์ดำบริเวณรอบ ๆ ล้วนพุ่งมาทางนี้หมด
เมื่อเฉินฮั่นหลงมาถึงดาดฟ้าก็รู้สึกไม่สบายตัว เหมือนกับมีมีดคมมาจ่ออยู่ที่คอ ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนจริงเอามาก ๆ ทำให้เลือดของเขาแข็งตัวไปหมด เพียงครู่เดียวหน้าก็ซีดลงถนัดตาและไม่กล้าขยับ ไป๋จิ้งยังถือว่าดีขึ้นกว่าหน่อย แต่ก็ขนลุกไปทั้งตัวสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
“รู้สึกแล้วหรอ?” ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เฉินฮั่นหลงแล้วถามขึ้น เฉินฮั่นหลงพยักหน้ารัว ๆ และตอบกลับอย่างรีบร้อน
“สรุปมันเกิดอะไรขึ้นครับคุณฉู่?” ฉู่ชวิ๋นก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ที่เขาสามารถมองเห็นมนต์ดำได้ก็เป็นเพราะมีการฝึกฝนเซียนมาก่อนและยังฝึกคัมภีร์ความลับฟ้าแต่เขาก็ไม่ใช่นักสืบ ตามหลักแล้ว ยอดตึกสามารถรับแสงอาทิตย์ได้ดี อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรจะมีมนต์ดำแบบนี้
“พวกคุณคิดให้ดี ๆ ว่าช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” เฉินฮั่นหลงกับไป๋จิ้งหันไปสบตากัน สีหน้าไม่เป็นไปตามธรรมชาติแต่ก็ส่ายหน้าพร้อม ๆ กัน
“ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมปริปากงั้นก็รอความตายที่นี่ก็แล้วกัน!!” ฉู่ชวิ๋นยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วหันหลังเดินกลับไป เอาจริงๆ แล้วเฉินฮั่นหลงจะเป็นจะตายมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
“เดี๋ยวก่อนครับ พูดครับ ผมยอมพูดแล้ว…” พอเห็นว่าฉู่ชวิ๋นจะไป หน้าผากของเฉินฮั่นหลงก็มีเหงื่อผุดออกมาเต็มไปหมดแล้วพูดขึ้นด้วยความรีบร้อน
“ไม่กลัวว่าคุณจะหัวเราะเยาะหรอก แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องยากที่จะพูด” เฉินฮั่นหลงคิดอยู่นาน ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วยอมปริปากพูดออกมา
“เมื่อเดือนก่อน ที่บริษัทมีผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดตึกจากตรงนี้ลงไป”
“เพราะ?” ฉู่ชวิ๋นไม่มีทางเชื่อว่าจะมีคนที่อยู่ดี ๆ ก็อยากจะฆ่าตัวตาย
“เป็นเพราะคนชั่วอย่างเหล่าหลิว” เฉินฮั่นหลงเริ่มพูดตั้งแต่ต้นเหตุของเรื่องอีกครั้ง ผู้ตายชื่อเฉินหว่าน แต่งงานแล้วเป็นพนักงานหญิงในบริษัท รูปร่างหน้าตาสวยงาม ส่วนเหล่าหลิวเป็นกรรมการบริษัท เป็นคนบ้ากาม โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เหล่าหลิวเกิดไปติดใจสาวสวยอย่างเฉินหว่านเข้า และในงานเลี้ยงบริษัทเมื่อเดือนก่อน เหล่าหลิวใจกล้าถึงขั้นวางยาข่มขืนเฉินหว่าน
ในโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมพัดผ่านไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวนี้ถูกลือไปอย่างรวดเร็วทั่วบริษัทและไม่รู้ว่าสามีของเฉินหว่านไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ก็เลยตัดสินใจหย่ากับเธอ เฉินหว่านรับไม่ได้กับการโดนหยามเกียรติก็เลยเลือกที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย
“เหล่าหลิว? ผู้ชายคนที่อยู่กับพวกคุณก่อนหน้านั้นเหรอ?”
“เขานั่นแหละ!” เฉินฮั่นหลงตอบกลับทันที
ฉู่ชวิ๋นยิ้มขึ้นมา ทีแรกคิดว่าผู้ชายคนนั้นช่างโชคร้ายที่เจอเรื่องแบบนี้แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าก็สมควรแล้วล่ะ แต่ทว่าในเมื่อเหล่าหลิวเป็นคนผิด ทำไมผลถึงตกอยู่ที่เฉินฮั่นหลงล่ะ?
“เรื่องนี้นายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นะ?” ฉู่ชวิ๋นเพิ่งมองไปที่เฉินฮั่นหลงด้วยสายตาเย็นชา
“ผม…” เฉินฮั่นหลงไม่กล้าที่จะปิดบัง ถอนหายใจก่อนจะยอมพูดออกมา
“หลังจากที่เฉินหว่านตาย ครอบครัวของเธอก็มาโวยวายที่บริษัท ผมกลัวว่าจะส่งผลกับภาพลักษณ์ของบริษัท จึงส่งคนไปไล่ครอบครัวของเธอออกจากเมืองกู่เจียงไป” แบบนี้นี่เอง! ฉู่ชวิ๋นเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที