บทที่ 3 ออกมาจากคุก

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 3 ออกมาจากคุก EnjoyBook

บทที่ 3 ออกมาจากคุก

วันรุ่งขึ้น

ประตูคุกบานใหญ่บนภูเขาค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ

“ไอ้หนุ่ม … ออกไปแล้วอย่ากลับมาอีกล่ะ” ตำรวจที่คุมประตูคุกกำชับ ประโยคนี้เขาพูดกับทุก ๆ คน แต่ก็ยังมีคนเดิม ๆ กลับเข้ามาอีก

ฉู่ชวิ๋นที่อยู่ในชุดของเมื่อสามปีก่อนเข้าคุกพยักหน้า มันดูเล็กลงไปนิดหน่อย รูปลักษณ์ก็ล้าสมัยไปไม่น้อย เขาก้าวออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีใครมารับ

จริง ๆ แล้วมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ว่าฉู่ชวิ๋นจะพยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตลอดระยะเวลาสามปีที่เขาอยู่ในคุกพ่อแม่ถึงไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง เมื่อลงจากคุกบนภูเขานั้นแล้ว บริเวณหลายร้อยลี้โดยรอบก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนอาศัยอยู่เลยแต่ฉู่ชวิ๋นก็ไม่ได้สนใจ

พอเห็นว่ามีป่าอยู่ข้างหน้า เขาก็มุ่งตรงเข้าไปในป่าพร้อมถอดเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่อย่างรวดเร็ว ถ้าหากว่ามีคนมาเห็นเข้าก็คงตกใจจนพูดไม่ออก

เพราะรอยแผลเป็นบนร่างของฉู่ชวิ๋นค่อย ๆ เชื่อมติดกันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจนไร้ร่องรอย จากแผลเป็นตกสะเก็ดจนหลุดออก เพียงพักเดียวผิวหนังก็เปล่งประกายด้วยความแวววาว

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฉู่ชวิ๋นก็เดินออกมาจากป่านั้น ปลายคิ้วเชิดแหลมราวดาบ ดวงตาแหลมคมเป็นประกาย ริมฝีปากบาง ๆ เผยเส้นโค้งอย่างสวยงามแฝงความเกียจคร้านและไม่สนใจโลกภายนอก

ไม่ว่าใครก็คงคาดไม่ถึงว่าชายที่หล่อเหลาราวเทพบุตรคนนี้กับขี้คุกที่ร่างกายผอมโซจนเห็นกระดูกจะเป็นคนคนเดียวกัน พอได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนก็เท่ากับได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง รูปร่างหน้าตาราวกับถูกปั้นขึ้นมาใหม่

เมื่อตอนที่อยู่ในคุก ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องยุ่ง ๆ ตามมา แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ระยะห่างหนึ่งร้อยกิโลจากเมืองกู่เจียงแม้จะเป็นฉู่ชวิ๋นก็ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งวัน

แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อน เขาค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ เหมือนว่ากำลังเดินเล่นและขณะเดียวกับที่ฉู่ชวิ๋นกำลังเดินอยู่นี้ก็เหมือนว่าบรรยากาศรอบ ๆ กำลังดูดพลังลมปราณเข้ามาที่ร่างของเขา!

ใช่แล้ว ฉู่ชวิ๋นเดินพร้อมกับฝึกฝนไปด้วย ถึงแม้ว่าพลังลมปราณบนโลกจะเหือดแห้งไปมาก แต่มันก็ดีกว่าไม่มี

บรื้นนนน!

เสียงของเครื่องยนต์ดังลั่น มีรถจี๊ปสีดำคันหนึ่งปรากฏสู่สายตาของฉู่ชวิ๋น แม้จะมีระยะห่างกว่าหนึ่งร้อยเมตรมันก็มาถึงตัวเขาในพริบตา เสียงเร่งเครื่องนั้นดังขึ้นอีกครั้งอย่างอวดดี มันพุ่งเข้าชนฉู่ชวิ๋นราวกับกระทิงตัวผู้ที่กำลังโกรธจัด มองผ่านกระจกหน้ารถเข้าไป ฉู่ชวิ๋นก็มองเห็นชายวัยกลางคนผิวคล้ำที่กำลังยิ้มแยกฟันขาว ๆ ให้เขาอย่างโหดเหี้ยม

รถนั้นพุ่งเข้ามาแล้วผ่านไป ก่อนจะตามด้วยเสียงเบรกที่ดริฟจนท้ายรถสะบัดไปไกลกว่าสิบเมตร ชายวัยกลางคนในมือถืออาวุธเป็นมีดเหล็กกล้าที่สะท้อนแสงวาววับกระโดดลงมาจากรถ เพราะในตอนที่เขาคิดว่าชนเข้าอย่างจังนั้น เป้าหมายก็หายไปอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

“กำลังมองหาฉันอยู่เหรอ?” เสียงของฉู่ชวิ๋นดังขึ้นมาจากหลังคารถ ชายวัยกลางคนก็รีบเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว

“ลงมือกลางวันแสก ๆ แบบนี้ มันจะไม่อวดดีไปหน่อยรึไง?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยสีหน้าเย็นชา เพิ่งออกจากคุกก็มีคนตามฆ่า ใครกันที่มันอยากจะฆ่าเขาจนทนรอไม่ไหว?

มีดในมือของชายวัยกลางคนนั้นถูกจับไว้แน่นและมองฉู่ชวิ๋นอย่างระมัดระวังพลางก่นด่าในใจ ‘บ้าเอ๊ย! ไหนบอกว่าเป็นแค่นักเรียนที่ไร้ทางสู้ไง ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่เห็นว่า แม่งจะเหมือนนักเรียนเลยสักนิด!’

“ลงมืออะไรกัน น้องเข้าใจผิดแล้ว พี่ไม่คิดว่าถนนสายนี้จะมีคน ไม่ทันได้ระวังจนเกือบจะชนน้องเข้า ขอโทษด้วยจริง ๆ เข้าใจผิดน่ะ….” ชายวัยกลางคนนั้นพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ความรู้สึกของเขาเฉียบแหลมมากและความรู้สึกอันเฉียบแหลมนี้ก็เคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง เขาสัมผัสได้ว่าฉู่ชวิ๋นไม่ใช่คนธรรมดาที่เขาจะจัดการได้ง่าย ๆ หากไม่ระวังอาจจะตายอยู่ที่นี่ได้ ในใจจึงอยากจะล่าถอยออกมาก่อน

ฉู่ชวิ๋นมองไปที่ชายคนนั้นอย่างหยอกล้อ ก่อนจะถามขึ้นมา “แล้วมีดในมือนั่นล่ะ? อย่าบอกนะว่าใช้ปอกผลไม้?”

ชายวัยกลางคนนั้นหน้าถอดสีก่อนจะมองฉู่ชวิ๋นแล้วถามขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง “แล้วแกจะเอายังไง?”

“คำถามนี้ฉันควรจะเป็นคนถามมากกว่าไม่ใช่เหรอ?” ฉู่ชวิ๋นว่าแล้วก็กระโดดลงจากหลังคารถ จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้น

“ใครส่งแกมา?” ชายวัยกลางคนนั้นสายตาว่อกแว่ก แล้วมองไปยังฉู่ชวิ๋นที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พลันสายตาก็แข็งกร้าวแล้วยกมีดนั่นขึ้นมาแทงไปที่หน้าอกของฉู่ชวิ๋น!

“ไปตายซะ!” ชายคนนั้นตะโกนขึ้นอย่างโหดเหี้ยม ฉู่ชวิ๋นมองไปยังมีดที่แทงเข้ามา ก่อนจะซัดไปหนึ่งหมัดหนัก ๆ ลงมือช้าแต่ถึงตัวก่อน!

ผลั้ว!!

ร่างของชายวัยกลางคนโดนซัดจนกระเด็น หน้าอกเกิดเป็นรอยหมัดอย่างชัดเจน

“ในเมื่อไม่อยากพูดก็เก็บไว้คุยกับยมบาลแล้วกัน!”

ฉู่ชวิ๋นมองดูร่างที่กระเด็นห่างออกไปสิบกว่าเมตรและนอนเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ด้วยความเย็นชา ในสายตาของเซียนชีวิตมนุษย์ก็เหมือนมดน้อย ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

“อยากจะฆ่าฉันก็ลงมือได้เต็มที่ ฉันฉู่ชวิ๋น รออยู่เสมอ” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาเสียงเบาพร้อมกับร่างกายที่แผ่ซ่านกลิ่นอายจิตสังหารออกมา

ผ่านไปหลายชั่วโมง รถยนต์สีดำก็แล่นเข้ามาในเมืองกู่เจียง รถคันนี้หลังจากฆ่านักฆ่าเสร็จแล้วเขาก็ยึดเอามาใช้ต่อทันที

ระยะเวลาสามปี เมืองกู่เจียงเจริญขึ้นมาก แต่ว่าฉู่ชวิ๋นก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาขับรถมุ่งตรงไปยังพื้นที่ชนชั้นสูงด้วยความรวดเร็ว

ครอบครัวฉู่ชวิ๋นมีฐานะ พ่อของเขาฉู่เทียนเหอและแม่ของเขาหลิวหรานล้วนแต่เป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทเดียวกัน แต่เมื่อฉู่ชวิ๋นยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองและเตรียมจะเคาะประตูด้วยความหวัง ก็มีคนบอกว่าที่นี่เปลี่ยนเจ้าของแล้ว

ฉู่ชวิ๋นเหมือนโดนคนเอาน้ำเย็น ๆ ราดลงบนหัวในใจเกิดความรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ฉู่ชวิ๋นรีบขับรถไปยังบริษัทเทียนหยวนในทันที สถานที่ที่พ่อและแม่เขาทำงานอยู่ ฉู่ชวิ๋นเคยไปที่นั้นกับพ่อครั้งหนึ่ง เขาขับตามทางที่คิดว่าใช่จากภายในความทรงจำแล้วเขาก็มาถึงตึกสูงยี่สิบสองชั้นตรงหน้าดูเหมือนว่า เพิ่งจะซ่อมบำรุงไปมันใหญ่โตกว่าเมื่อก่อนมาก

พอฉู่ชวิ๋นจัดการจอดรถเรียบร้อย ขาที่กำลังจะเดินเข้าไปก็ชะงัก เงยหน้าขึ้นมองยอดตึกอย่างประหลาดใจ

“ทำไมกลิ่นอายชั่วร้ายถึงรุนแรงขนาดนี้?” คาดไม่ถึงว่าที่ยอดตึกจะมีดาบที่สร้างขึ้นด้วยลมปราณที่ชั่วร้ายแขวนอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะตกลงมาอยู่เนือง ๆ

มนต์ดำเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยอะไรทำนองนั้นฉู่ชวิ๋นไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ แต่ตอนที่อยู่ในต่างโลกยามว่างเขาก็เคยฝึกคัมภีร์ที่ชื่อว่าความลับฟ้าอยู่

คัมภีร์ความลับฟ้า มีบทที่แตกต่างจากตำราฮวงจุ้ยแต่วิธีการคล้ายคลึงกัน ในตำราฮวงจุ้ยจะบอกว่าหยินหยางคืออะไร และลิขิตสวรรค์สามารถแก้ไขได้ไหมอะไรทำนองนั้นได้ แต่ว่าตำราความลับฟ้าจะมีระดับที่ลึกล้ำกว่า เมื่อฝึกฝนในระดับที่สูงขึ้นก็จะสามารถล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ได้มากขึ้น

สำหรับฉู่ชวิ๋นแล้วคัมภีร์ความลับฟ้าเป็นแค่เรื่องไร้สาระของพวกอ่อนแอ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงที่สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นคิดไปเองคนเดียว! ฉู่ชวิ๋นแค่รู้สึกแปลก ๆ ถ้าพูดตามหลักแล้วตึกสูงระดับนี้ควรจะมีคนที่เก่งฮวงจุ้ยมาดูให้แล้วเรียบร้อย แต่ทำไมถึงมีกลิ่นอายของมนต์ดำมากขนาดนี้ล่ะ? แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา ฉู่ชวิ๋นย่างก้าวเข้าไปยังจุดต้อนรับทันที

ยามสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองดูเขาอย่างระวังตัว

“ไม่ทราบว่าคุณมาหาใครคะ?” พนักงานต้อนรับสวยมาก เธอเผยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพพร้อมกับถามขึ้น

“รบกวนช่วยตามผู้จัดการฉู่เทียนเหอให้ผมหน่อย ถ้าเกิดเขาไม่อยู่ช่วยตามผู้จัดการฝ่ายการขายหลิวหรานมาแทนก็ได้ครับ” น้ำเสียงของฉู่ชวิ๋นบ่งบอกถึงความเร่งด่วน

พนักงานต้อนรับมองที่ฉู่ชวิ๋นอย่างแปลกใจ ก่อนจะบอกว่า “ผู้จัดการฉู่กับผู้จัดการหลิวลาออกไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้แล้วค่ะ”

ฉู่ชวิ๋นกำหมัดแน่นแต่ก็พยายามถามต่ออย่างใจเย็น

“แล้วคุณทราบไหมครับว่าทำไมพวกเขาถึงลาออก?”

พนักงานต้อนรับส่ายหัวเบา ๆ อย่าว่าแต่ไม่รู้เลย ถึงเธอรู้ก็ไม่บอกกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่แน่ และในขณะเดียวกันนี้ ลิฟต์ตัวที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้น! ผู้ชายสองคน และผู้หญิงหนึ่งคน เดินออกมา

“ท่านประธานเฉิน ผู้จัดการไป๋ สวัสดีค่ะ” พนักงานต้อนรับและยามรีบยืนตัวตรงและพูดทักทายพร้อมกัน

“อะ เข้าไปไม่ได้นะ…”

พนักงานต้อนรับพูดไม่ทันจบ ฉู่ชวิ๋นก็เดินไปอยู่ด้านหน้าของทั้งสามคนเรียบร้อยแล้ว ยามทั้งสองจับกระบองตัวเองไว้แน่นก่อนจะพุ่งเข้าหาฉู่ชวิ๋น ซึ่งคนทั้งสามที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ก็ชะงักและมองไปยังฉู่ชวิ๋นที่ยืนขวางอยู่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

“คุณเป็นใคร?” เฉินฮั่นหลงมองฉู่ชวิ๋นและขมวดคิ้ว

“ผมมาตามหาคน ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเป็นคนระดับสูงในนี้ ก็เลยมีเรื่องอยากจะถามพอดี” สีหน้าของเฉินฮั่นหลงยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นมา “จะบ้ารึไง ตามหาคนก็ไปที่จุดบริการสิ จะมาขวางพวกเราทำไม?”

“ท่านประธาน ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับเขาเป็นคนบ้าพวกเราจะพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” ยามทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาโค้งตัวบอก หน้าที่ของพวกเขาคือรักษาความปลอดภัยของที่นี่ แต่ตอนนี้เจ้าคนนี้เข้ามาขวางทางของประธานบริษัท ถ้าประธานไม่พอใจขึ้นมาก็เท่ากับว่าพวกเขาเสียทางทำมาหากิน

เฉินฮั่นหลงพยักหน้า เขาเป็นถึงระดับไหนกันอยู่ ๆ ก็ถูกคนมาขวางทางไว้และถามแบบนี้ก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา ยามทั้งสองเข้ามาดึงแขนของฉู่ชวิ๋น อยากจะลากตัวเขาออกไป ฉู่ชวิ๋นสะบัดแขนนิดหน่อย ยามทั้งสองก็กระเด็นออกไปไกล

“ตอบคำถามผมมา แล้วผมจะช่วยชีวิตคุณให้ ไม่อย่างงั้น…เมื่อก้าวออกจากประตูนี้ไปคุณจะต้องมีภัย” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเยือกเย็น

ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่า มนต์ดำบนยอดตึกมาจากไหน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้แน่นอน เพราะในสามคนนี้ มีแต่เขาคนเดียวที่มีรอยดำอยู่ที่คิ้วซึ่งเป็นสัญญาณของความหายนะ และแน่นอนว่าคนอื่นมองไม่เห็นรอยดำนี้

ฉู่ชวิ๋นพูดจบ ทั้งสามก็แน่ใจได้ทันทีว่า สิ่งที่ยามพูดเป็นความจริง คนคนนี้สติไม่ดีจริง ๆ เฉินฮั่นหลงโกรธจนหน้าเขียว เขาสร้างตัวจากโลกด้านมืดหรือก็คือโลกมาเฟีย ก่อนจะผันมาเปิดกิจการ ความเหี้ยมในตัวยังคงมีอยู่จู่ ๆ มีคนมาสาปแช่งเขาแบบนี้ก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรักษาหน้าตาทางสังคมเอาไว้ ฉู่ชวิ๋นโดนเขาถีบลอยออกนอกประตูไปนานแล้ว

“โทรหาโรงพยาบาลบ้า” เฉินฮั่นหลงหันไปบอกพนักงานต้อนรับ ก่อนจะหันไปหายามที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืน “จับตาดูเขาไว้ให้ดี ๆ ไม่อย่างงั้นพรุ่งนี้พวกนายสองคนไม่ต้องมาทำงานแล้ว”

ทั้งพนักงานต้อนรับและยามรีบพยักหน้ารับรู้อย่างรวดเร็ว