บทที่ 3 นายน้อย มีข่าวร้าย!

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 3 นายน้อย มีข่าวร้าย!

หากทุกอย่างเป็นแบบนี้ต่อไป โทรศัพท์เครื่องนี้ต้องดับในอีกไม่ช้าแน่นอน

หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าหนทางเดียวในการกลับสู่โลกมนุษย์ของเขา ก็ต้องหายไปด้วยน่ะสิ

เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา

เมื่อเวลาผ่านไป คาบเรียนสุดท้ายก็จบลงแล้ว

เสียงกระดิ่งดังขึ้น

ในที่สุด การเรียนประจำวันนี้ก็สิ้นสุดลง

“เอาล่ะ วันนี้ก็มีเท่านี้”

ติงซานฉือจิบน้ำอีกอึกหนึ่งเช่นที่ทำเป็นประจำ

“เอาล่ะ ศิษย์ทั้งหลาย ข้าได้อธิบายและสอนวิชากระบี่สามพิฆาตให้พวกเจ้าทั้งหมดแล้ว พวกเจ้าต้องฝึกฝนวิชานี้ให้ได้ภายใน 3 วัน และจงมุ่งมั่นตั้งใจทำคะแนนให้ดี ในการสอบกลางภาคที่ใกล้มาถึงนี้ ซึ่งก็อย่างที่พวกเจ้าทุกคนรู้ ว่าคะแนนในการสอบ จะเป็นสิ่งกำหนดว่าพวกเจ้าดีพอที่จะเป็นตัวแทนสถาบันของเราได้หรือไม่ หากพวกเจ้าทำได้ดี ก็อาจได้ไปสอบเป็นผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเมืองหยุนเมิ่งก็เป็นได้”

ศิษย์ทั้งหลายต่างก็ตื่นเต้นกับคำพูดของอาจารย์

การเข้าร่วมแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ เป็นความฝันของเด็กหนุ่มเด็กสาวทุกคนในเมืองหยุนเมิ่ง เช่นเดียวกับความฝันของเด็กทุกคนในจักรวรรดิเป่ยไห่ เพราะการประลองนี้ถือเป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่สูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์วัยหนุ่มสาว

อาจารย์ติงพยักหน้าอย่างพอใจ

ก่อนที่เขาจะกวาดตาไปทั่วห้อง และมาสะดุดตาที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้งหนึ่ง

เจ้าหมอนี่ยังคงเหม่อลอยเหมือนเคย

แบบนี้ใครจะไปทนไหว

อาจารย์ชราแทบตบะแตก อยากวิ่งเข้าไปประเคนหมัดใส่เจ้าคนไม่เอาไหนผู้นี้ให้จมพื้นดินเสียสักร้อยกระบวนท่า

แต่เมื่อได้นึกถึงคำที่ท่านขุนนางนักรบสวรรค์ฝากฝังไว้ก่อนไปออกรบ ติงซานฉือก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนอารมณ์โกรธปะทุเหล่านั้นลงคอไปเสีย

เขากระแอมออกมาเบา ๆ หนหนึ่ง กล่าวด้วยความพยายามอดกลั้นเต็มที่ “หลินเป่ยเฉิน…เจ้าเข้ามาอยู่ในห้องเรียนนี้ได้หนึ่งปีแล้ว แต่ยังได้คะแนนเป็นศูนย์อยู่เลย ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เจ้ามีอายุเยอะที่สุดในห้อง แต่ยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 1 เท่านั้น เจ้ามันไม่ได้เรื่องทั้งด้านบุ๋นด้านบู๊ แล้วนี่เจ้าไม่อับอายคนอื่นบ้างหรือไร”

“ก็ไม่นะ” หลินเป่ยเฉินโพล่งออกมาทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเสียด้วยซ้ำ

เขายังคงง่วนอยู่กับโทรศัพท์ล่องหนนั่น

“นี่เจ้า…”

อาจารย์ติงถึงกับพูดไม่ออก

เจ้าเศษขยะเอ๊ย!

ฮึ่ม! อาจารย์ชราแทบจะเก็บอาการโมโหไว้ไม่อยู่แล้ว

อาจารย์ติงขึ้นเสียงตะเบ็งใส่หลินเป่ยเฉินด้วยความโกรธกริ้ว “บิดาเจ้าอุตส่าห์เป็นถึงขุนนางนักรบ ผู้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ เขาคอยดูแลและต่อสู้ข้าศึกเพื่อพวกเรามาโดยตลอด ทุ่มเทเลือดเนื้อหยาดเหงื่อของตนเพื่อประชาชนทุกคน และพี่สาวเจ้า…หลินถินชาง ก็เป็นทั้งตำนานและความภาคภูมิใจของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ทุกคนในมณฑลเฟิงอวี่ ในฐานะบุตรชายของท่านขุนนาง เจ้า…คือความอัปยศอดสูของวงศ์ตระกูล เจ้าช่างแตกต่างจากคนในครอบครัวเหลือเกิน!”

“แล้วอาจารย์คาดหวังให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ” หลินเป่ยเฉินถามกลับด้วยความไม่สบอารมณ์ “แล้วคิดว่าข้าภูมิใจกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลนี่นักหรือไง…ไม่เลย!”

“เจ้า…”

อาจารย์ติงถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้ง

ดูเอาเถอะ!

เจ้าเด็กคนนี้…พูดออกมาได้ยังไง

“อย่าลืมนะ หลินเป่ยเฉิน เจ้าเคยโดนไล่ออกมาจากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งและที่สองมาแล้ว และหากเจ้าถูกไล่ออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งนี้อีก ตามกฎแล้ว เจ้าจะไม่สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาไหนในจักรวรรดินี้ได้อีก!”

อาจารย์ติงคำรามด้วยความเดือดดาล พร้อมด้วยเสียงกร๊อบแกร๊บจากการหักข้อนิ้ว

ชายชรากระชับหมัดแน่น ความโกรธขึ้งเริ่มใกล้จะเดือดถึงขีดสุด ก่อนจะเดินตรงมาหมายเอาเรื่องหลินเป่ยเฉินให้เข็ดหลาบ

และเมื่อมาถึงจุดนี้ หลินเป่ยเฉินจำต้องเก็บโทรศัพท์เอาไว้ก่อน

เด็กหนุ่มลุกยืนขึ้น ประจันหน้ากับอาจารย์ติง “ถ้าไล่ข้าออกได้ แล้วมันจะทำไม? อย่าลืมสิว่าข้าเป็นใคร ข้าคือบุตรชายผู้สืบสายโลหิตของขุนนางนักรบสวรรค์ เป็นบุตรผู้สืบสายโลหิตน่ะ…อาจารย์เข้าใจคำนี้ไหมขอรับ”

“ข้าน่ะ…คือหลินเป่ยเฉิน และไอ้หนุ่มหน้าตาดีคนนี้นี่แหละ ที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งขุนนางนักรบสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ ฮ่า ๆ ๆ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ต่อให้ข้าไม่ต้องทำอะไรเลย ข้าก็ยังคงได้มีชีวิตหรูหราสุขสบายอยู่ดี รายล้อมไปด้วยสาว ๆ สวย ๆ และนางสนมมากมาย มีทหารยามนับร้อยคอยปกป้อง แล้วข้าก็จะนอนตื่นตอนไหนก็ได้ที่อยากตื่น จะใช้เงินที่มีมากมายเท่าไหร่ก็ได้ตามต้องการ ทีนี้ไหนลองบอกเหตุผลดี ๆ มาสักข้อ เพราะเหตุใด ข้าถึงสมควรตั้งใจศึกษาวิชาไร้สาระพวกนี้ด้วย?”

“สำหรับข้าน่ะ การฝึกฝนพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรอก และข้าก็จะไม่ทำด้วย”

“ต่อให้หลินเป่ยเฉินคนนี้จะต้องหิวจนแทบอดตาย หรือต้องกระโดดลงจากหน้าต่างเพื่อปลิดชีวิตตนเอง ข้าก็ไม่มีทางฝึกฝนเรื่องบ้าบอพวกนี้ แบบเศษขยะอย่างพวกเจ้าหรอก”

เขาประกาศก้องดังไปทั่วห้องเรียน

ในตอนนี้ ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นของช่วงต้นฤดูร้อน ในห้องเรียนปี 2 แห่งสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ทุกสิ่งกลับเงียบสงัดและเต็มไปด้วยความคร่ำเคร่ง สายตานับ 60 คู่ของศิษย์ในห้องเรียนและอาจารย์อาวุโสติงซานฉือผู้มีประสบการณ์ในการสอนมากกว่า 15 ปี ทุกคนต่างตกตะลึงไปกับคำพูดของเจ้าคนไม่เอาไหนประจำเมืองหยุนเมิ่งกันหมดแล้ว

ราวกับคำพูดของหลินเป่ยเฉินดังก้องสะท้อนไม่มีสิ้นสุดอยู่ภายในห้องเรียนแห่งนี้

อาจารย์ติงถึงกับกุมหน้าอกในขณะที่มืออีกข้างยันอยู่กับโต๊ะ

และในทันใดนั้นเอง…

ผ่าง!

ประตูห้องเปิดออกอย่างแรง

“นายน้อย…นายน้อยขอรับ มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นขอรับ”

บังเกิดเสียงคร่ำครวญทำลายความเงียบของห้องเรียนไปหมดสิ้น ชายชราร่างบางในอายุราว 50 กว่า วิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยแววตาตื่นตระหนก

“พ่อบ้านหวัง?”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยอารามตกใจ

เขาจำชายแก่คนนี้ได้ในทันที ชายคนนี้คือพ่อบ้านประจำคฤหาสน์ขุนนางนักรบแห่งสวรรค์

“นายน้อยขอรับ มีข่าวร้ายเกิดขึ้น ภัยพิบัติกำลังมาถึง ท้องฟ้ากำลังจะถล่มแล้วขอรับ”

เมื่อพ่อบ้านหวังเห็นหลินเป่ยเฉิน เขาก็รีบวิ่งเข้ามาจับแขนของเด็กหนุ่มไว้และเริ่มร้องไห้พูดจาไม่เป็นภาษามนุษย์

“ไสหัวออกไปเลยนะ เจ้าทำชุดข้าเปื้อนหมดแล้ว อย่ามาแตะตัวข้า!” หลินเป่ยเฉินถีบชายแก่ไปให้พ้นทางด้วยท่าทีขยะแขยงและถามต่อ “เจ้าหมายความว่ายังไง อธิบายมาเดี๋ยวนี้ก่อนที่ข้าจะหักขาเจ้าซะ”

เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างหยาบคาย

เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำตัวแบบนี้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนเช่นใด

ถ้าไม่ทำตัวตามปกติต่อไป เขาก็จะดูไม่เหมือนหลินเป่ยเฉินคนเดิมอย่างที่ควรเป็น

และหากเขาไม่ทำตัวแบบที่หลินเป่ยเฉินเคยทำ เขาต้องถูกสงสัยเป็นแน่

ถ้าเกิดเป็นเช่นจริง มีหวังเขาคงต้องถูกลากไปยังวิหารและถูกเผาจนตายอย่างแน่นอน

“นายน้อยขอรับ นายท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านหัวหน้าข้าหลวงเข้ามาในคฤหาสน์พร้อมกับกองทัพทหาร ท่านประกาศคำสั่งจากจักรพรรดิว่า นายท่านได้ขัดคำสั่งในการปะทะข้าศึกที่แนวหน้าและทำตามใจตนเอง ส่งผลให้นายทหารชั้นยอดเสียชีวิตเกือบ 50,000 นาย นายท่านได้หลบหนีไปและตอนนี้คฤหาสน์ของเราถูกคนของทางการเข้าบุกยึด คนรับใช้ถูกไล่ออก เราสูญเสียทุกอย่างไปแล้วขอรับ นายน้อย”

พ่อบ้านหวังคร่ำครวญเจียนขาดใจ

อะไรกันน่ะ?

หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งงันและรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว

“ดะ…เดี๋ยวนะ เจ้าบ้านี่ อย่าเพิ่งคร่ำครวญ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ในประกาศจากทางการได้พูดถึงข้าบ้างไหม”

หรือนี่จะเป็นจุดจบของวงศ์ตระกูลอันมีเกียรติของเขากันนะ

และในฐานะลูกชายผู้สืบสายโลหิตของผู้ถูกลงโทษ จักรพรรดิจะสั่งขังเขาให้ตายหรือจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ หรือเปล่า

ถ้าเป็นเช่นจริง เขาคงต้องรีบเผ่นแล้ว

“ใช่ขอรับ” พ่อบ้างหวังตอบ หากแต่ยังคงคร่ำครวญไม่หยุด “ในประกาศกล่าวว่า ผู้บกพร่องทางปัญญาเช่นท่าน ท่านจักรพรรดิรับสั่งให้ลดฐานะท่านเป็นสามัญชน และให้ท่านใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะประชาชนแห่งเมืองหยุนเมิ่ง”

หลินเป่ยเฉินโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

โชคยังดี ที่จักรพรรดิยังทรงมีเมตตาธรรมอยู่บ้าง

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ไอ้อาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินคนก่อน จะกลายมาเป็นสิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ในตอนนี้

เพราะอย่างนั้น เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว

“นายน้อย เราจะทำยังไงกันดีขอรับ ตอนนี้ตระกูลหลินของเราจบสิ้นแล้ว”

ท่ามกลางห้องเรียนที่เงียบสงัด พ่อบ้านหวังยังคงคร่ำครวญในขณะที่ทรุดตัวลงไปกอดต้นขาเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น

“เจ้าจะกลัวอะไรไปล่ะ ข้ายังมีพี่สาวอยู่อีกทั้งคน”

หลินเป่ยเฉินสงบเยือกเย็นราวน้ำแข็ง เหมือนเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาของเขา

เพราะว่าเด็กสาวอายุ 16 ปีผู้แข็งแกร่งและเป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะคนนั้น ไม่เพียงแต่นางจะทรงพลังไร้เทียมทาน หากยังเป็นที่เลื่องลือในด้านความโหดเหี้ยมเกินผู้ใดอีกด้วย