บทที่ 4 อาจารย์ติง ข้าอยากฝึกวิชา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 4 อาจารย์ติง ข้าอยากฝึกวิชา

ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็คือเรื่องของเขานี่แหละ

การข้ามมิติเวลาของวิญญาณในร่างนี้ ส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากหลินถินชาง

สามวันก่อน หลังจากหลินถินชางได้ยินข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับเจ้าน้องชายตัวดี นางก็รีบกลับมาจากสถานศึกษากระบี่หลวงและจับเจ้าน้องชายแขวนไว้บนขื่อก่อนจะฟาดเขาเสียจนกว่าจะหลาบจำ ด้วยความเจ็บปวดและความบอบช้ำเกินทน ทำให้เด็กหนุ่มต้องถึงแก่ความตาย

แม้นักบวชแห่งวิหารจะพยายามจนรักษาบาดแผลบนร่างกายของเขาหายดี แต่วิญญาณของร่างเดิมกลับไม่สามารถเข้าร่างได้อีกแล้ว ในท้ายที่สุด ร่างกายของเด็กหนุ่มจึงถูกครอบครองด้วยวิญญาณของหลินเป่ยเฉินจากโลกมนุษย์แทน

และด้วยความโหดเหี้ยมของพี่สาวคนนี้ ผู้คนในเมืองนี้จึงไม่มีใครกล้าหือกับเด็กหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียว

แต่แล้วพ่อบ้านหวังก็มีท่าทีเหมือนนึกอะไรออก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความไม่แน่ใจนัก “เอ่อ…มีอีกอย่างที่ข้าลืมบอกนายน้อยขอรับ ในช่วงบ่ายวันก่อน ข้าได้รับข่าวแจ้งว่า ท่านหญิงได้ถูกกลุ่มสัตว์ประหลาดโจมตีในระหว่างการเดินทางกลับสถานศึกษากระบี่หลวง ในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านหญิงอยู่ที่ใด ตอนนี้ท่านหญิงอาจจะ…”

อะไรนะ?

หลินเป่ยเฉินตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง

“แล้วมีอีกอย่างหนึ่งขอรับนายน้อย ข่าวนี้ได้กระจายไปทั่วเมืองแล้ว ตอนที่ข้าเดินทางมาสถานศึกษากระบี่นี้ ข้าน้อยเห็นศัตรูบางคนของท่านกำลังเดินทางมาที่แห่งนี้พร้อมอาวุธมากมาย พวกเขาปิดทางเข้าออกทุกทางและขู่ว่าหากท่านกล้าก้าวออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว พวกเขาจะตัดหัวท่านทิ้งเสีย” พ่อบ้านหวังกล่าว

ริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินถึงกับกระตุก

หลังความตกตะลึงบังเกิดขึ้นกับคนทั้งห้อง สิ่งที่ไม่คาดฝันพลันตามมา

ท่ามกลางแสงแดดของฤดูร้อนอันอบอุ่นในวันนั้น หลินเป่ยเฉินพลันผลักพ่อบ้านหวังที่กำลังเกาะขาของเขาแน่นออกไปให้พ้นทาง เด็กหนุ่มจัดแจงเครื่องแบบของเขาให้เรียบร้อย เสยผมให้เข้าที่ ลูบใบหน้าของตน ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังอาจารย์ติง และโค้งคำนับอาจารย์ชราด้วยความเคารพ

“อาจารย์ติง ข้าอยากฝึกวิชา”

ในแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความใสซื่อและจริงใจ!

สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นในการฝึกวิชา

ในตอนนี้ หลินเป่ยเฉินดูราวกับเป็นศิษย์ดีเด่นที่หมกมุ่นกับการฝึกฝน

อาจารย์ติงซานฉือถึงกับตะลึงงัน

บนโลกนี้จะมีคนหน้าด้านได้ขนาดนี้อีกไหมเนี่ย!

ไม่ใช่เจ้านี่หรอกหรือ ที่เพิ่งป่าวประกาศไปอย่างมั่นใจว่า ต่อให้ต้องอดอาหารจนตายหรือออกไปตายข้างนอก ก็จะไม่มีวันฝึกวิชาเป็นอันขาด

เขาจะมียางอายเสียหน่อยไม่ได้หรือไง?

และในตอนนั้นเอง ที่มีเสียงอื้ออึงดังมาจากด้านนอก

ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์บางคนตะโกนออกมาว่า “ตอนนี้คฤหาสน์ของขุนนางนักรบสวรรค์ถูกบุกยึด ไม่มีใครคอยคุ้มกะลาหัวไอ้เจ้าหลินเป่ยเฉินตัวร้ายอีกแล้ว ถ้าไม่แก้แค้นมันตอนนี้ จะเป็นตอนไหนกันล่ะ”

หลังจากนั้น คลื่นมหาชนก็ถาโถมมายังห้อง 9 ของศิษย์ชั้นปีที่ 2

หลินเป่ยเฉินทำอะไรไม่ถูก

แม่งเอ๊ย! เป็นไปไม่ได้น่า

ทำไมพวกผู้คนที่พร้อมจะกระทืบเขาตอนตกต่ำ มันถึงได้มากันไวขนาดนี้

อาจารย์ติงซานฉือหน้าซีด ก่อนจะรีบวิ่งออกไปกั้นฝูงชนไว้

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนนั้นเป็นศัตรูกับคนแทบจะทั้งเมือง หากไม่มีใครเข้ามาหยุดพวกคนข้างนอกนั่นละก็ เขาคงจะต้องถูกขังไว้ในห้องเรียนนี้และถูกคนพวกนั้นซ้อมจนปางตายแน่นอน

เสียงของอาจารย์ติงซานฉือดังโหวกเหวกอยู่ด้านนอก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่นัก

เสียงของบรรดาศิษย์ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นนั้นเริ่มดังขึ้นและดังขึ้น

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ หลินเป่ยเฉิน”

“พวกเราเข้าไปจัดการมันเลยดีกว่า”

“หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะต้องชดใช้กับความชั่วที่เคยทำลงไป”

“หลินจิ้นหนานบิดาเจ้าทำความชั่วไว้ เขาหนีไปอย่างหน้าไม่อาย ตระกูลหลินของเจ้าน่ะ เป็นความอัปยศของจักรวรรดินี้”

“อาจารย์ติงอย่ามาห้ามพวกเรา ข้าไม่อยากจะต้องหยาบคายใส่ท่าน”

“ลากเจ้าเศษขยะนั่นออกมา เผามันทั้งเป็นไปเลย”

ความโกรธแค้นของบรรดาศิษย์ทั้งหลายเอ่อท่วมราวกับเขื่อนที่ใกล้แตก สถานการณ์เริ่มเหนือการควบคุมขึ้นทุกที

ที่นอกห้องเรียน อาจารย์ติงเกือบจะกั้นฝูงชนที่พยายามเข้ามาแทบไม่ไหว ส่วนพ่อบ้านหวังก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ในห้องเรียนด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

ชายชรามองไปยังหลินเป่ยเฉิน และกำลังสงสัยว่านายน้อยของตนเองจะพยายามทำอะไรเพื่อสงบฝูงชนเหล่านั้นลงหรือไม่ หรือคิดจะฝ่าคนกลุ่มนั้นออกไปเมื่อถึงเวลาจำเป็น แต่หากหลินเป่ยเฉินทำเช่นนั้นจริงแน่นอนว่าอาจถึงตายได้ ซึ่งพ่อบ้านหวังจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

แต่แล้วจู่ ๆ เด็กหนุ่มกลับก้าวเท้าเดินออกไปข้างหน้า

เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงปากประตู หันหน้ามองมายังพ่อบ้านหวัง

และเมื่อสายตาของทั้งสองประสานกัน ราวกับพวกเขากำลังตะโกนใส่กันว่า “ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้!”

“นายน้อยเสนอตัวออกไปเอง หรือว่าเขาจะเสียสติไปแล้ว” พ่อบ้านหวังคิดในใจ

“ตาแก่นี่ทำไมยังไม่รีบตามมาอีกนะ ถ้าพวกแม่งปิดทางออกจนหมด ต่อให้มีปีกบิน ก็คงหนีไม่รอดกันอีกแล้ว” หลินเป่ยเฉินคิดในใจเช่นกัน

และเมื่อเด็กหนุ่มชะโงกหน้าออกไปนอกห้องเรียน เขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังปิดกั้นทางออกอยู่

พวกเขาต่างมองจ้องมายังหลินเป่ยเฉิน ด้วยสายตาราวกับมีดวงไฟสุมอยู่นับพัน

หลังเกิดความเงียบชั่วครู่หนึ่ง ผู้คนต่างเต็มไปด้วยความคั่งแค้นแทบระเบิด บรรดาลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ต่างขบฟันเดินตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน ด้วยดวงตาที่แทบจะเป็นสีแดงก่ำ ราวกับเด็กหนุ่มเป็นคนไปฆ่าบิดาของพวกเขาก็ไม่ปาน

อาจารย์ติงทำอะไรไม่ได้เลย เขาดูเหมือนกับช้างตัวใหญ่ท่ามกลางฝูงมด ทุกสิ่งที่ทำลงไปนั้นแทบจะไร้ผล

เช่นเดียวกับหลินเป่ยเฉินที่ตะลึงงันเหมือนถูกตีเข้าที่หัว แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน

“ช้าก่อน”

ผู้คนหยุดลงในทันใดราวกับต้องมนต์

กำปั้นขนาดใหญ่เหวี่ยงเข้ามาเกือบจะมาถึงศีรษะของหลินเป่ยเฉินอยู่แล้ว หากแต่มันหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ

“ทุกคนได้โปรดฟังข้าให้ดี”

เด็กสาวผู้สวมใส่สายคาดกระบี่สีแสดปรากฏตัวขึ้น

คำพูดของนางราวกับเป็นประกาศิตสวรรค์ที่ทำให้ศิษย์เกรี้ยวกราดทุกคนเงียบลงอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเปิดทางให้นางเดินออกมา

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินจับจ้องไปที่เด็กสาวคนนี้

ในสมองของเขาคิดได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นางช่างงดงามเหมือนเทพธิดาจำแลงกาย ดูสวยงามเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริงด้วยซ้ำ

การแต่งตัวของหญิงสาวที่หลินเป่ยเฉินกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น เป็นสายคาดกระบี่เรียบ ๆ สีแสด เรียกว่าเป็นชุดที่นิยมที่สุดในเมืองหยุนเมิ่งฤดูกาลนี้ นางดูราวกับเทพธิดาที่ย่างกรายมาบนพื้นโลก ส่องประกายราวแสงจากพระอาทิตย์ จนแทบจะต้องยกมือขึ้นมาบดบังแสงจ้าอันแสบตาเหล่านั้นไป

บนใบหน้าของเด็กสาว คิ้วของนางโค้งงามราวกับถูกวาดขึ้นอย่างประณีต ผิวขาวเนียนนวลลออไปทุกรูขุมขน

ผมหางม้าถูกรวบไปข้างหลัง แต้มไปด้วยกลิ่นอายเล็ก ๆ ของความกล้าหาญ

“คนอะไรสวยได้ขนาดนี้วะ” หลินเป่ยเฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กสาวปริศนา

แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่หัวใจ

มันช่างบาดใจนัก ความทรงจำต่าง ๆ พุ่งขึ้นมาในหัวของเขาราวกับน้ำป่าไหลทะลัก ซึมซาบเข้าไปให้หัวของเด็กหนุ่ม

เด็กสาวหน้าตางดงามคนนี้คือมู่ซินเยว่ ผู้เป็นหนึ่งในด้านความงามแห่งสถานศึกษากระบี่ที่ 3 และเป็นเอกอุในด้านวิชาบุ๋นบู๊ทุกแขนง นางนั้นเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากภายในสถานศึกษากระบี่แห่งนี้ และเป็นที่รู้จักในนาม เจ้าหญิงแห่งปวงชน ผู้เป็นที่นิยมของบรรดาหนุ่ม ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน

ชื่อเสียงของมู่ซินเยว่ดังกระฉ่อนไปไกลกว่าสถานะลูกศิษย์ในสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ผู้คนทั้งเมืองหยุนเมิ่งต่างรู้จักนางเป็นอย่างดี

แน่นอนว่าเด็กสาวคนนี้ ยังมีตัวตนอีกรูปแบบหนึ่ง

แท้จริงแล้ว นางเคยเป็นคนรักเก่าของหลินเป่ยเฉินมาก่อน

หากหลินเป่ยเฉินคนก่อน ผู้เป็นเจ้าเศษขยะไร้ความสามารถแห่งเมืองหยุนเมิ่งจะเคยใส่ใจรักใครสักคน คนคนนั้นก็ต้องเป็นเจ้าหญิงแห่งปวงชน มู่ซินเยว่คนนี้นี่เอง

เมื่อปีที่แล้ว เพื่อที่จะเอาชนะใจเด็กสาวคนนี้ให้ได้ หลินเป่ยเฉินถึงกับทำเรื่องไม่ดีเอาไว้หลายอย่าง เขาทั้งทำร้ายผู้คนและใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ในสายตาของชาวบ้านชาวเมือง เด็กหนุ่มทำสิ่งเลวทรามไว้มากมาย ทั้งเรื่องแปลกประหลาดและเรื่องโง่เขลา รวมทั้งการเป็นเจ้าแกะดำผู้ไม่เอาไหน แต่ใครจะรู้เล่าว่าที่เขาทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไป ล้วนเป็นการกระทำตามคำสั่งของเด็กสาวคนนี้ทั้งสิ้น