บทที่ 5 มีคนรักเป็นสาวงามแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 5 มีคนรักเป็นสาวงามแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ

เด็กหนุ่มนั้นเบื่อที่จะต้องโยนความผิดให้ใคร แต่เขาก็ไม่เคยหาข้อแก้ตัวให้กับสิ่งที่ตนเคยทำด้วยเช่นกัน

ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี หลินเป่ยเฉินคนก่อนแทบจะใช้ทรัพย์สมบัติที่มีในคฤหาสน์ของบิดา ซื้อบรรดาอาวุธยุทโธปกรณ์ในการฝึกให้แก่มู่ซินเยว่เสียจนเกือบหมด และเขาได้เปลี่ยนเด็กสาวธรรมดา ๆ ผู้นี้ให้กลายเป็นเจ้าหญิงแห่งปวงชน

แต่เมื่อ 3 วันที่แล้ว เด็กสาวกลับตัดสินใจเลิกรากับเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าหลินเป่ยเฉินมีชื่อเสียงในด้านแย่ ๆ มากเกินไป หลังจากที่เขาไม่สามารถหาน้ำยาเพิ่มพลังลมปราณมูลค่า 500 เหรียญทองคำให้แก่นางได้ตามต้องการ

หัวใจของเด็กหนุ่มในตอนนั้นราวกับแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อได้พบกับมู่ซินเยว่อีกครั้ง ความทรงจำมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในหัว จึงอัดแน่นเต็มเปี่ยมแทบเกินรับไหว

สายธารแห่งความโศกเศร้าเอ่อท่วม หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกดูดกลืนและจมหายไปในความเศร้านั้น

“เอาเข้าจริง ข้าก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องมาเจอกันอีกหรอกนะ” มู่ซินเยว่ถอนหายใจ

ท่าทีที่นางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนนั้น แทบจะปักเข้าไปกลางใจเด็กหนุ่มทุกคนในวิทยาลัยแห่งนี้

ราวกับเป็นการถอนหายใจของเทพธิดา

เหล่าศิษย์ร่วมสถาบันที่เป็นเด็กหนุ่มต่างมองมาที่เด็กสาวอย่างหลงใหล ในแววตาของพวกเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคลั่งไคล้และโหยหา

“หลินจินหนาน พ่อเจ้าน่ะ ถึงกับเคยเป็นความภาคภูมิใจแห่งเมืองนี้ และเคยเป็นผู้กอบกู้แห่งจักรวรรดิ แต่หลังจากที่เขาได้ก่อความผิดพลาดจนทำให้นายทหารผู้เคราะห์ร้ายต้องตาย เขาก็ไม่ได้เป็นผู้กอบกู้แห่งจักรวรรดินี้อีกต่อไป พ่อเจ้าได้กลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดี ตั้งแต่นี้ทั้งเจ้าและหลินถินชาง พี่สาวของเจ้านั้น จะต้องจมอยู่กับความผิดบาปตลอดไป และคงไม่มีวันได้รับการให้อภัยอีก” มู่ซินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงแห่งความผิดหวังขณะมองไปยังหลินเป่ยเฉิน

“แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าในตอนนี้หรอกนะ ยังไงซะเจ้าก็เคยช่วยเหลือข้ามาก่อน วันนี้ข้าจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเจ้าบ้าง”

หลังจากนั้น นางก็กวาดสายตามองกลุ่มคนโดยรอบ “ทุกคน ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ถือโทษและแก้แค้นให้เขาอับอายในวันนี้ ยังไงซะเขาก็เคยทำดีกับข้าและข้าเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ ถือเสียว่าข้าติดค้างพวกเจ้าหนึ่งครั้ง และหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือในอนาคตอีก ก็ขอให้บอกมาได้เลย นับแต่วันนี้ต่อไป ถ้าเจ้าจะทำอะไรกับเขาอีก ข้าจะไม่ไปขวางทางอีกแล้ว”

“ฮื่อ ท่านเทพธิดาช่างมีจิตใจงดงามยิ่งนัก”

“สมแล้วที่เป็นนางฟ้านางสวรรค์จำแลงกายลงมา ขนาดเจ้าสวะคนนี้เคยตามรังควานท่านมาก่อน ท่านยังอุตส่าห์ช่วยมันอีกหรือนี่”

“ไป ๆ ทุกคน แยกย้ายกันเถอะ”

“ใครที่ทำให้ท่านเทพธิดาผิดหวัง ก็ถือว่าทำข้าผิดหวังด้วย”

“เอาล่ะ วันนี้ปล่อยเขาไปก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาจัดการเจ้าหลินเป่ยเฉินกันวันหลัง”

บรรดาศิษย์ร่วมสถาบันที่เป็นเด็กหนุ่มต่างเดินจากไปด้วยใบหน้าระบายยิ้มเพ้อฝัน แต่ยังมิวายหันกลับมามองเด็กสาวในทุกย่างก้าวที่ตนเองกำลังเดินห่างออกไปอีกด้วย

ติงซานฉือถึงกับยืนงงทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

เขาล่ะอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายเสียเดี๋ยวนี้จริง ๆ

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ผู้สั่งสมประสบการณ์และความน่าเชื่อถือมาถึง 15 ปีเต็ม ต่อให้เขาใช้คำพูดขู่เข็ญแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถห้ามบรรดาศิษย์ที่โกรธเกรี้ยวเหล่านั้นได้เลย ในขณะที่คำพูดเพียงไม่กี่คำของเด็กสาว กลับทำให้ฝูงชนแยกย้ายกันไปได้หน้าตาเฉย

น่าอับอายขายหน้าอะไรเช่นนี้

ชายแก่หันมองไปหลินเป่ยเฉินด้วยความท้อแท้ ก่อนจะถอนหายใจและส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป

“หลินเป่ยเฉิน…เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ แต่นี้ต่อไป เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว ข้าจะให้คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเจ้าสักหน่อย กลับไปเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ แล้วลืมเรื่องระหว่างเราให้หมดซะ จงระวังปากของเจ้าไว้เสมอ อ้อ…แล้วก็ลืมชีวิตหรูหราที่เคยมีไปซะด้วย บางทีมันอาจเป็นเรื่องดีกับเจ้าที่สุดแล้ว”

พูดจบ เด็กสาวก็สะบัดผมหางม้าของนางก่อนเดินจากไป

หลินเป่ยเฉินมองตามหลัง ‘แฟนเก่า’ ของเขาไปและเริ่มหัวเราะออกมา

เยี่ยม!

ไม่มีอะไรเข้าทางมากไปกว่านี้อีกแล้ว!

เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ นางได้ตัดเยื่อใยกับหลินเป่ยเฉินเสียขาดสะบั้น ในขณะที่ทำคะแนนความนิยมให้ตัวเองในฐานะ ‘ผู้รู้จักบุญคุณ’ ไปด้วย อีกทั้งนางก็ได้ประกาศกร้าวไว้ว่าหลังจากวันนี้ นางจะไม่ไปขวางทางใครที่จะเข้ามาแก้แค้นเขาอีก

หลินเป่ยเฉินคนก่อนดูแลนางในฐานะคนรักด้วยใจบริสุทธิ์ ถึงกับยอมทำลายชื่อเสียงของตนเพื่อเด็กสาวคนนี้ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เขาเคยทำไว้ในตอนนั้น ก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้จากการโดนรุมประชาทัณฑ์ในวันนี้

เขาได้เจอยัยตัวร้ายชั้นดีเข้าให้เสียแล้วสิ

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจราวกับเอาความรู้สึกทั้งหมดออกมา ก่อนที่ภายในไม่กี่วินาทีถัดมา เขาจะสลัดความรู้สึกพวกนี้ออกไปเสียสิ้น

เขาจะไม่เศร้าเสียใจอีกต่อไปแล้ว

มีคนรักเป็นสาวงามแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ

นางเลี้ยงดูเขาได้ไหม?

ไม่เลย!

เพราะอย่างนั้น ก็ปล่อยนางไปเถอะ

สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มคิดถึงในตอนนี้ คือการกลับไปยังโลกมนุษย์เท่านั้น

แต่ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะรู้ตัวว่าตนเองจมอยู่ในภวังค์นานเท่าไหร่ ทันใดนั้น เขาก็พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพูดกับตนเองว่า “ไม่ได้การ…ตอนนี้ที่นี่อันตรายมากเกินไปแล้ว ไม่รู้พรุ่งนี้ยังมีคนจะมาทวงคืนบัญชีแค้นกับเราอีกมากมายแค่ไหน ใช่แล้ว! เราต้องหนี!”

คิดมาถึงตรงนี้ พ่อบ้านหวังก็โผล่มาอยู่ข้างหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ชายชราขยับตัวเข้ามาหาเด็กหนุ่มด้วยความหวาดหวั่น “นายน้อย…ท่านอย่าคิดมากไปเลย ข้าว่าข้างนอกนั่นอันตรายกว่าข้างในนี่เสียอีก หากท่านไม่เชื่อ ก็ลองมองออกไปนอกหน้าต่างดูสิ”

หลินเป่ยเฉินหันออกไปมองนอกหน้าต่างและมองออกไปยังนอกรั้วสถาบัน

เขาเห็นแสงวูบวาบและเงากระบี่ พร้อมด้วยอาวุธอีกมากมาย

ที่หน้าประตูรั้วของสถานศึกษากระบี่ที่สามนั้น ราวกับมีทะเลมนุษย์กั้นอยู่ ทั้งแสงวิบวับจากคมกระบี่เย็นเยียบ สถานการณ์บริเวณดังกล่าว ช่างดูดุเดือดเลือดพล่านยิ่งนัก

“เจ้าชั่วหลินเป่ยเฉิน โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

“ต่อให้ข้า จางเจิ้นเหมยผู้นี้จะต้องยืนรออยู่ตรงนี้เป็น 10 ปี ยังไงข้าก็จะต้องเอาเลือดหัวเจ้าออกมาให้ได้”

“หลินเป่ยเฉิน เจ้าจำได้ไหม ข้าเซี่ยงคุนไงล่ะ ออกมาลงนรกเดี๋ยวนี้”

“ถ้าเจ้ายังมีความกล้าสักหน่อย ก็ออกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าแกะดำสารเลว”

เสียงตะโกนกู่ก้องท้าทายดังออกมาจากทั่วสารทิศ ทั้งประตูหน้า ประตูข้าง และประตูหลังของวิทยาลัยวิชากระบี่ที่สามนั้นถูกปิดทางเข้าออกจนหมด ฝูงชนยืนเบียดกันหนาแน่น อย่าว่าแต่นกเลย…แม้แต่แมลงวันก็ไม่อาจบินออกไปได้ด้วยซ้ำ

สิ่งที่เห็นทำให้หลินเป่ยเฉินและพ่อบ้านหวัง ถึงกับต้องฉากหลบออกจากหน้าต่าง และหลบหนีเข้าไปในส่วนลึกของสถาบัน

ในส่วนลึกสุดของสถานศึกษาแห่งนี้ หลินเป่ยเฉินนั่งกุมขมับอยู่หน้าห้องเรียนแห่งหนึ่งด้วยความสิ้นหวังสุดชีวิต

ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็คือพ่อบ้านหวัง ที่ดูสิ้นหวังและไร้ซึ่งหนทางไม่ต่างกันเลย

“นายน้อย ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”

“ไสหัวไปให้พ้น!”

“ท่านคือนายน้อยของข้า ท่านเป็นคนฉลาดหลักแหลมและปรับตัวเก่ง ท่านยอมก้มหัวให้แก่อาจารย์อาวุโสได้ในเวลาที่ถูกต้อง ทำให้ท่านยังได้หลบภัยอยู่ที่นี่ แม้แต่มู่ซินเยว่ยังหลงใหลในเสน่ห์ของท่านจนถึงกับออกปากพูดเพื่อช่วยท่านไว้ ศัตรูพวกนั้นไม่กล้าก้าวข้ามรั้วสถาบันมาหรอกนายน้อย ตราบใดที่ท่านยังอยู่ในนี้ พวกมันก็ทำอะไรท่านไม่ได้”

“หุบปากน่า”

“แต่นายน้อย ท่านต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

“ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า”

“นายน้อย…ข้าพูดจริง ๆ ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่าง ในตอนนี้มีแต่เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด หากท่านกลับมายังสถาบันในวันพรุ่งนี้ ท่านอาจได้เจอกับบรรดาผู้คนที่เคียดแค้นท่าน รออยู่หน้าห้องเรียนเรียงแถวคอยสังหารท่านก็เป็นได้”

“ตาแก่นี่ ถ้าเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรละก็ หุบปากไปซะเถอะ”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้น อดไม่ได้ที่จะเตะชายชราไปป้าบหนึ่ง

ในตอนนี้ เขาไม่ได้พยายามจะทำตัวเป็นหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว

เขาแค่อยากจะเตะตาแก่นี่ระบายอารมณ์ก็เท่านั้นเอง

“โธ่เว้ย…ทำไมชีวิตเรามันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้วะ” หลินเป่ยเฉินรำพึงรำพัน

เขาอยากกลับไปโลกมนุษย์เต็มแก่แล้ว

แต่กว่าจะกลับไปได้นั้น ก่อนอื่นก็คงต้องเอาชีวิตรอดจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน

ข่าวดีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ จักรวรรดิเป่ยไห่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาเป็นอย่างมาก ท่านจักรพรรดิจึงได้รับสั่งไว้ตั้งแต่ครั้งเริ่มก่อตั้งสถานศึกษาวิชากระบี่ว่า เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และความบริสุทธิ์ของสถานศึกษาทั้งเจ็ด จะไม่มีใครสามารถเข้ามาในรั้วสถาบันได้เด็ดขาด นอกเสียจากบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ภายในสถาบันเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้คนภายนอก เข้ามาก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายได้นั่นเอง

มิเช่นนั้น ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งจะต้องได้รับการลงโทษ

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ หลินเป่ยเฉินยังปลอดภัย ตราบใดที่อยู่ภายในรั้วสถานศึกษาแห่งนี้

แต่หากเขาออกไปจากนอกรั้วนั่นเมื่อใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่แท้