ตระหนักได้แล้ว

 

 

 

 

“ก็ต้องดูว่าโกหกเรื่องอะไร เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการ บางคนคิดว่าโกหกโดยมีเจตนาดีได้ บางคนบอกไม่ได้ แต่ฉันคิดว่าขอแค่มันเป็นประโยชน์กับคนไข้ งั้นก็ทำได้ แน่นอนว่าจะต้องไม่ก่อให้เกิดผลร้ายแรงด้วยนะ เธอทำเรื่องแบบนี้จะต้องแน่ใจว่าเกิดผลลัพธ์ที่ดี” 

 

 

“ดีไม่ดีก็ต้องดูว่าอาจารย์จะเลือกอะไร…” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ 

 

 

“เธอว่าอะไรนะ?” 

 

 

“เปล่าค่ะ! หนูหมายถึง เข้าใจแล้วค่ะ! อาจารย์คะ คำพูดของอาจารย์ทำให้หนูคิดได้ ต่อไปหนูจะยึดมันเป็นหลักในการรักษาคนไข้ แล้วก็…ถ้าวันหนึ่งอาจารย์เจอว่าหนูทำเพื่อคนไข้จริง แต่โกหกคนไข้ ตัวหนูไม่ได้ผลประโยชน์นะคะ อาจารย์จะตบหนูไหมคะ?” 

 

 

ศาสตราจารย์หลิวขำ “ฉันสอนหนังสือมาทั้งชีวิต ไม่เคยตีนักเรียนคนไหนเลย ต่อให้ทำวิทยานิพนธ์เนื้อหาปลอมมาก็ตามฉันก็ไม่เคยลงไม้ลงมือ แล้วฉันจะตบเธอได้ยังไง?” 

 

 

เด็กคนนี้เข้ากับนิสัยเธอได้ดีจริงๆ ศาสตราจารย์หลิวชอบเสี่ยวเชี่ยน 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำหน้าทะเล้นใส่ศาสตราจารย์หลิวในใจ อาจารย์ ดูท่าชาติก่อนนักเรียนคนเดียวที่ถูกอาจารย์ลงไม้ลงมือคงเป็นเธอคนเดียวสินะ ทำไมรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่? 

 

 

แต่ใครจะอยากถูกรางวัลใหญ่กัน…แอบอึดอัดใจ 

 

 

“แต่ยัยเสี่ยวปืนเหล็ก—” 

 

 

“อาจารย์เรียกหนูว่าอะไรนะคะ!!!” เสี่ยวเชี่ยนอยากจะบ้า ปืนเหล็กคืออะไรวะ! 

 

 

“ยัยเสี่ยวปืนเหล็กไง คู่กับอวี๋ไข่เหล็ก ฉันว่าเธอเหมาะกับชื่อนี้ เสี่ยวปืนเหล็ก หลายปีมานี้ฉันสั่งสอนเด็กมาตั้งหลายคน เธอทำให้ฉันเซอร์ไพร้ส์ที่สุดแล้วก็ทำให้ฉันเป็นห่วงมากที่สุด ฉันรู้สึกว่าเธอก้าวหน้าไวเกินไป ฉันกลัวว่าเธอจะได้ใจเพราะพรสวรรค์ที่ตัวเองมีจนสูญเสียจิตใจของการเป็นจิตแพทย์ และเพราะฉันคาดหวังกับเธอมาก ฉันถึงได้เข้มงวดกับเธอ ถ้าวันหนึ่งเธอทำเรื่องที่ทำให้ฉันผิดหวัง ไม่แน่ฉันอาจจะตบเธอก็ได้ แต่ฉันก็คงจะเกลียดตัวเองเหมือนกัน” 

 

 

เกลียดตัวเองที่ทำไมไม่เพาะเลี้ยงเมล็ดพันธุ์เก่งๆแบบนี้ให้ดี 

 

 

ดูแลเด็กคนหนึ่งให้ดีไม่ได้ คนเป็นอาจารย์ก็ย่อมรู้สึกผิด ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้สอนอะไรเสี่ยวเชี่ยน แต่ศาสตราจารย์หลิวกลับมองเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนกันเอง อยากจะมอบความรู้ทั้งหมดที่ตัวเองมี ให้สมกับที่เสี่ยวเชี่ยนเรียกเธอว่าอาจารย์ 

 

 

พอเงยหน้าก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนตาแดงๆ ศาสตราจารย์หลิวใจอ่อนยวบ กวักเรียกเสี่ยวเชี่ยนเข้ามา “ฉันพูดไปแบบนั้นเธอไม่ต้องกลัวนะ ไม่—” 

 

 

ศาสตราจารย์หลิวชะงักเพราะเสี่ยวเชี่ยนเอามือปิดปากวิ่งออกไปแล้ว 

 

 

อวี๋หมิงหลางพอจัดการเรื่องหัวหน้าใหญ่เสร็จก็เลิกดื่มเหล้า แล้วคืนห้องมายังโรงพยาบาล 

 

 

หัวหน้าใหญ่ยืนลังเลอยู่หน้าห้องผู้ป่วยสักพัก อวี๋หมิงหลางทำท่าสู้ๆเป็นกำลังใจให้เขา หัวหน้าใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึกๆประหนึ่งกำลังจะไปรบ แล้วผลักประตูเข้าไป 

 

 

อวี๋หมิงหลางไม่เห็นเสี่ยวเชี่ยน มองไปรอบๆแล้วก็เห็นลูกเชี่ยนของเขานั่งเช็ดน้ำตาอยู่บนขอบกระถางต้นไม้ 

 

 

อวี๋หมิงหลางปวดใจ รีบเดินเข้าไป เขานั่งบนขอบกระถางต้นไม้แล้วให้เสี่ยวเชี่ยนนั่งบนตัก 

 

 

“ร้องไห้ทำไม น้าหลิวว่าเหรอ? เขานิสัยแบบนั้นอยู่แล้วคุณไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก อีกอย่างตอนนี้อากาศก็ยังเย็นอยู่คุณมานั่งบนขอบกระถางทำไม? ไม่สบายขึ้นมาจะทำไง?” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้อยากร้องไห้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกแย่มาก พอเห็นอวี๋หมิงหลางมาก็เอามือกอดแล้วซุกหน้าเข้ากับแผงอกเขา 

 

 

“เสี่ยวเฉียง ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริงๆ” 

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดที่อาจารย์เพิ่งพูดพวกนั้น เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางรู้เลยว่าชาติที่แล้วอาจารย์ตบเธอด้วยความรู้สึกแบบไหน 

 

 

ที่แท้ตอนอาจารย์ตบเธอในใจของท่านก็เสียใจ ท่านจะต้องนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจแน่ว่าไม่ได้สั่งสอนเธอให้ดี ถ้าอาจารย์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลยมีเหรอจะลงไม้ลงมือ? 

 

 

เพราะตบนั้นทำให้เสี่ยวเชี่ยนอึดอัดใจมาตลอด อยากพิสูจน์ตัวเองให้อาจารย์เห็น แต่พอได้ฟังคำพูดเมื่อครู่เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว 

 

 

ความรู้สึกนี้ทำให้เธอเสียใจมาก 

 

 

อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยเห็นเสี่ยวเชี่ยนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เธอร้องไห้เสียใจ เขาเอามือตบเบาๆปลอบเธอ รอจนสามนาทีเต็มๆอารมณ์ของเสี่ยวเชี่ยนถึงได้ผ่อนคลายลง อวี๋หมิงหลางเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยความอ่อนโยนแบบบอกไม่ถูก 

 

 

“ตอนนี้ยังมีลมอยู่ เลิกร้องได้แล้วเดี๋ยวหน้าแห้ง” 

 

 

“ฉัน…เมื่อกี้ฉัน—” เธอเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้ต่อหน้าเขา อยากผละออกจากอ้อมกอดเขา แล้ววางมาดนางพญาเหมือนเดิม แต่กลับถูกอวี๋หมิงหลางกอดไว้ ไม่ยอมปล่อย 

 

 

“ตัวแสบ เมื่อกี้ใช้ผมเป็นที่ร้องได้ยกใหญ่ ตอนนี้เลิกร้องแล้วคิดหนีเหรอ?” 

 

 

เขาก้มหน้าจูบเธอแล้วถึงปล่อยให้เธอนั่งบนตักอยู่แบบนั้นพลางเอามือลูบหลังเบาๆให้เธอ 

 

 

“ร้องไห้ทำไม?” 

 

 

“เมื่อกี้ฉันคุยอยู่กับอาจารย์ เดิมอยากจะปลอบอาจารย์ แต่ตัวเองกลับเสียใจเอง” 

 

 

“เรื่องครอบครัวน้าหลิวเองเหรอ…” อวี๋หมิงหลางคิดแล้วหยิกจมูกเธอเล่น “คุณคิดหาวิธีได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ผมเพิ่งค้นพบว่าหลังจากที่คุณกลับมาจากหุบเขานั่นคุณดูจะชอบหลอกต้มคนเป็นพิเศษเลยนะ” 

 

 

เขารู้แล้วจริงๆด้วย เสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตา มีเสียงสะอื้นเล็กน้อย ดูท่าทางจริงจัง ฟังเขาพูดแบบนี้ก็ดูน่ารักดี 

 

 

“เขาเรียกหลอกคนที่ไหนกัน? ฉันโกหกด้วยเจตนาดีต่างหาก!” 

 

 

“ไม่กลัวอาจารย์คุณจับได้เหรอ?” 

 

 

อุตส่าห์คิดหาวิธีได้ขนาดนี้แล้ว! 

 

 

น้าหลิวเป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษานักศึกษาระดับปริญญาเอก เสี่ยวเชี่ยนกลับไปหลอกเขา นับว่ากล้ามาก 

 

 

“ตอนนี้อาจารย์มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ที่ไหนกัน? ฉันกะจะไปตกลงกับหมอให้อาจารย์พักผ่อนสักสามวัน สั่งไม่ให้ออกนอกโรงพยาบาล ช่วงนี้ฉันก็จะไปกล่อมหัวหน้าใหญ่ ฉันเพิ่งพบว่าหัวหน้าใหญ่นี่จัดการง่ายมาก” 

 

 

สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนจะทำเพื่ออาจารย์ได้ก็คงมีแค่นี้ แต่พูดตามตรง เธอไม่พอใจเท่าไร 

 

 

“ฉันรู้สึกว่ามันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ถึงตอนนี้ฉันจะเออออไปตามหลิวลี่ บอกว่าเขาเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน หลอกอาจารย์ได้ชั่วคราว ให้เวลาหัวหน้าใหญ่ได้สามวัน ดูว่าอาจารย์จะเปลี่ยนใจได้ไหม แต่ถ้าสามวันแล้วหัวหน้าใหญ่ยังทำไม่สำเร็จ ถึงตอนนั้นอาจารย์คงจับได้แล้วว่าฉันกับหลิวลี่โกหก แบบนั้นจะทำไงดี?” 

 

 

“กลัวน้าหลิวตีเหรอ?” 

 

 

“ไม่ขนาดนั้น อย่างไรเสียลูกชายเขาต่างหากที่เริ่มก่อน มากสุดฉันก็แค่วินิจฉัยผิดพลาด ฉันยังเด็กอยู่เขาไม่กล้าตีฉันหรอก” 

 

 

อวี๋หมิงหลางแอบแฉในใจ เด็กกับผีสิ! เวลาหลอกต้มคนนี่คล่องยิ่งกว่าน้าหลิวอีก นี่กลัวถูกตีเลยคิดทำเนียนทำตัวเด็ก?— อีกอย่างนะ เด็กที่ไหนซาลาเปานุ่มนิ่มขนาดนี้? 

 

 

ไม่ทันระวังแอบเผลอคิดไปถึงช่วงสิบห้านาทีตอนอยู่ในโรงแรม อวี๋หมิงหลางลอบถอนหายใจ อีกนานเลยสินะกว่าจะได้กินเนื้อ 

 

 

“นายคิดอะไรอยู่น่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนโบกมือใส่หน้าอวี๋หมิงหลาง 

 

 

อวี๋หมิงหลางถึงได้สติ “ผมกำลังคิดถึงปัญหาร้ายแรงอยู่” 

 

 

ชุดชั้นในสีชมพูดสวยจริงๆ ช่วยขับให้ผิวขาวเปล่งประกาย…แน่นอนว่า ปัญหาที่ ‘ร้ายแรง’ นี้เขาบอกเธอไม่ได้ 

 

 

“จริงเหรอ?” ปัญหาร้ายแรงอะไรกันถึงทำให้เขามีสีหน้าดูหิวโหยมาหลายปีแบบนี้? เสี่ยวเชี่ยนสงสัยมาก