ศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเอง
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง รีบเก็บงำกลิ่นอายตนหลบเข้าข้างๆ แล้วก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งว่า “เป็นอสูรปีศาจชั้นสองที่เทียบเท่าระดับสร้างรากฐานจริงหรือ? ไป เข้าไปดูหน่อย”
“ศิษย์พี่ นี่ไม่เหมาะกระมัง ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถฆ่าอสูรปีศาจชั้นสองได้ ต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน หากยังไม่จากไป…” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยอย่างรีบร้อน
ต้วนชิงเกอมาจากอีกทิศทางหนึ่ง จึงไม่รู้เรื่องของอสูรปีศาจชั้นสอง มองมั่วชิงเฉินแล้วส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน อสูรปีศาจชั้นสองอันใด?”
มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่ ประเดี๋ยวค่อยพูด ดูสามคนนี้จะทำอันใดก่อน”
จากนั้นก็ได้ยินศิษย์พี่คนนั้นว่า “กลัวอะไร ที่แห่งนี้ต้นไม้หนาทึบ พบเจออันตรายก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการหนี หากคนนั้นฟื้นฟูพลังแล้ว ก็คงจากไปนานแล้ว หากยังไม่จากไป นั่นหมายความว่า…”
“หา ศิษย์พี่หมิงเจี้ยน หากคนคนนั้นยังไม่จากไป แสดงว่าเขาได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรที่เริ่มพูดคนแรกตระหนักว่า
มั่วชิงเฉินแอบว่าผู้บำเพ็ญเพียรมีคนโง่ไม่กี่คนจริงๆ หากไม่เพราะการมาของต้วนชิงเกอ ตนก็จากไปนานแล้วจริงๆ
สมุนไพรทิพย์ในมือพวกมั่วชิงเฉินสองคนเพียงพอที่จะแลกโอสถสร้างรากฐาน วันต่อๆ ไปที่การแก่งแย่งนับวันจะยิ่งโหดร้ายขึ้นเช่นนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือการอยู่ให้ห่าง ทนให้ครบสิบวันออกจากหุบเขาก็บรรลุเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว ยามนี้ย่อมไม่ยอมมากเรื่องเป็นธรรมดา จึงเก็บงำกลิ่นอายอย่างระมัดระวัง หวังเพียงให้สามคนนี้จากไปโดยที่ไม่สังเกต
ใครจะรู้ว่าเรื่องมักจะต่างกับที่หวัง เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสามคนนั้นค้นหาอยู่รอบหนึ่งกำลังจะหันหลังจากไป จู่ๆ คนนั้นในนั้นก็โยนยันต์แผ่นหนึ่งจู่โจมมาที่ตำแหน่งที่ต้วนชิงเกออยู่
ด้วยความจำใจ ต้วนชิงเกอจึงได้แต่ปรากฏตัวออกมา
“ศิษย์พี่ ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนัก!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งน้ำเสียงแฝงด้วยความประหลาดใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามคนนี้ล้วนใส่ชุดเต๋าสีเขียวขอบดำ เป็นเครื่องแต่งกายของศิษย์ในสำนักของพรรคเหยากวง
“ขอคารวะศิษย์พี่ทั้งสาม” ต้วนชิงเกอเห็นเป็นศิษย์ร่วมสำนัก จึงคารวะอย่างสงบ
“หึๆ ข้าคาดไว้แล้วว่าคนที่ฆ่าอสูรปีศาจชั้นสองต้องเป็นหญิงสาวแน่นอน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักที่อายุน้องเพียงนี้” คนนั้นในนั้นเอ่ยเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วก็ให้ตกใจ สามคนนี้แม้จะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ทว่าต่อหน้าผลประโยชน์ใหญ่หลวง ยากจะรับประกันว่าจิตใจจะไม่อ่อนไหว
คนที่เป็นผู้นำบอกว่าต้วนชิงเกออายุน้อย มีความหมายสองชั้น หนึ่งคือบอกว่านางอายุน้อย ความหมายที่ซ่อนไว้อีกหนึ่งคือตบะต่ำ ทว่าคนเช่นนี้สามารถฆ่าอสูรปีศาจชั้นสองได้ เช่นนั้นหากไม่ใช่มีอาวุธเวท ยันต์ชั้นดี ก็คือได้บำเพ็ญเพียรวิชาสุดยอดบางอย่าง และสิ่งเหล่านี้ เฉพาะเจาะจงเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรล้วนละเมอใฝ่หาถึง
ต้วนชิงเกอก็เป็นคนฉลาด รีบเอ่ยว่า “ศิษย์พี่พูดเล่นแล้ว น้องเพียงแต่ผ่านที่แห่งนี้เท่านั้น อสูรปีศาจชั้นสองที่ท่านพูดถึง แม้แต่เห็นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ศิษย์พี่ ท่านคาดได้อย่างไรว่าเป็นหญิงสาว?” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ อดถามไม่ได้
คนที่เป็นผู้นำยิ้มว่า “เนื้อของอสูรปีศาจชั้นสอง เป็นของบำรุงชั้นเยี่ยม หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชาย ใครจะทิ้งไว้ข้างทาง ปล่อยให้อีกาตัวหนึ่งกิน? จะมีก็เพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ที่ยังคงถูกรบกวนโดยลักษณะภายนอก”
มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ เกิดละอายใจ ไม่ว่าอย่างไรสภาพจิตใจในด้านนี้ของตน ก็เป็นรองผู้บำเพ็ญเพียรชายที่อยู่ตรงหน้า นี่น่าจะเป็นข้อบกพร่องที่มีร่วมกันของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแล้ว จึงแอบเตือนตนเอง ต่อไปจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้อีกเด็ดขาด
ต้วนชิงเกอเห็นสามคนนี้คุยเล่นกันเองโดยไม่เห็นคนอื่นในสายตา จึงแอบโล่งใจ ฝีเท้าค่อยๆ ถอยไปทางทิศทางหนึ่ง
“ศิษย์น้องนี่จะไปไหน?” คนนั้นในนั้นอมยิ้มถาม
ต้วนชิงเกอเม้มปาก “น้องไม่รบกวนศิษย์พี่ทั้งสามแล้ว หลายวันมานี้ยังเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้เลย ใจร้อนรนยิ่งนัก จึงอยากจะไปลองดูที่อื่นบ้าง”
คนนั้นในนั้นกวาดสายตาผ่านคนทางซ้ายปราดหนึ่ง คนทางซ้ายรีบรับทันทีว่า “ศิษย์น้อง การจากไปเช่นนี้ไม่ใช่ทำให้การพบกันที่หายากนี้ต้องสูญเปล่าหรอกหรือ?”
“ความหมายของศิษย์พี่คือ?” ต้วนชิงเกอระแวดระวังตัวขึ้นมาเต็มพิกัด ตอบโดยหวังเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะโชคดี
คนนั้นในนั้นเบิ่งตาใส่คนด้านซ้ายปราดหนึ่ง มองต้วนชิงเกอตรงๆ ว่า “เช่นนี้เถอะ ศิษย์น้อง เห็นแก่ที่อยู่สำนักเดียวกัน พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ เพียงเจ้ามอบถุงเก็บวัตถุบนตัวออกมา ก็ปล่อยเจ้าไปเป็นเช่นไร?”
“ศิษย์พี่ นางหนูนี่อรชรอ้อนแอ้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึง…” คนด้านซ้ายร้อนรนว่า
“หุบปาก!” คนนั้นในนั้นเบิ่งตาอย่างดุร้ายใส่คนด้านซ้ายปราดหนึ่ง
อีกคนหนึ่งรีบกระตุกคนทางซ้าย ทั้งสองคนไม่รู้ส่งเสียงทางจิตอะไรกัน
“ศิษย์พี่ แกล้งรับปากพวกเขา ฉวยโอกาสจู่โจมคนที่อ่อนหัดที่สุดคนนั้น” มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสที่ทั้งสามคนคุยกันแอบส่งเสียงทางจิตให้
มั่วชิงเฉินที่ดูอยู่ข้างๆ อยู่วงนอกดูออกตั้งนานแล้ว เรื่องในวันนี้ไม่อาจจบอย่างสันติได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ลงมือก่อนได้เปรียบ
สามคนนี้แม้เป็นศิษย์ในสำนัก ตบะกลับสูงต่ำไม่เท่ากัน คนที่เป็นผู้นำคนนั้นอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ นับเป็นสุดยอดฝีมือที่อยู่ในแดนลี้ลับนี้แล้ว สอนคนที่เหลือล้วนอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด คนอ่อนหัดที่สุดที่อยู่ด้านซ้ายนั้น เพิ่งอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดเริ่มต้น
ขอเพียงจัดการคนหนึ่งก่อน มั่วชิงเฉินมั่นใจว่าพวกนางสองคนร่วมมือกันรับมือผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือสองคนไม่เป็นปัญหา
“ศิษย์น้อง พิจารณาถึงไหนแล้ว?” คนในนั้นถามอย่างไม่ร้อนไม่หนาว
บนใบหน้าต้วนชิงเกอฉายแววลังเลอาลัยอาวรณ์ สีหน้าเปลี่ยนหลายครั้ง สุดท้ายกัดฟันดึงถุงเก็บวัตถุที่เอวออก เอ่ยว่า “นี่เป็นสมบัติทั้งหมดของน้องแล้ว ยังหวังให้ศิษย์พี่รักษาคำพูด ไม่ทำให้น้องลำบากใจ…”
ต้วนชิงเกอเอ่ยพลางก้มตัววางถุงเก็บวัตถุไว้บนพื้น ทั้งสามคนเห็นต้วนชิงเกอเชื่อฟังเช่นนี้ มองตากันปราดหนึ่ง พยักหน้าอย่างพอใจ
ในยามนี้เอง แส้ยาวเส้นหนึ่งสะบัดออกในทันใด ตวัดไปที่คนทางซ้าย
คนทางซ้ายไม่ทันตั้งตัวถูกแส้ยาวพันถูกข้อเท้า ต้วนชิงเกอดึงโดยพลัน คนนั้นล้มลงกับพื้นทันที
แทบจะในเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น อีกสองคนจู่โจมมาทางต้วนชิงเกอพร้อมกัน ต้วนชิงเกอกลับไม่ต้านแม้แต่น้อย เพียงแต่จู่โจมคนที่ถูกแส้ยาวพันไว้อย่างเต็มที่
เป็นดังคาดขณะที่การโจมตีของทั้งสองคนกำลังจะมาถึงหน้าต้วนชิงเกอ ชามใหญ่ใบหนึ่งปากชามหันออก ตั้งขวางไว้หน้านาง ต้านการจู่โจมไว้
หลังจากสองคนตกใจแล้วพบว่าด้านหลังมีคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงแผ่มา ก็ไม่ทันได้หันกลับไปมองแล้ว เมื่อเก็บการจู่โจมแล้วโดดออกสองข้าง ก็เห็นยันต์หลายใบระเบิดออกกลางอากาศ
คนที่ตบะต่ำกว่าคนนั้นเห็นหลบยันต์พ้นแล้วจึงโล่งอก รีบบังคับกระบี่บินจู่โจมมาที่มั่วชิงเฉินที่จู่ๆ โผล่ออกมา แต่กลับรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ก้มหน้าลงดู เสื้อด้านหน้าหน้าอกมีรูขนาดเท่ารูเข็ม เลือดพุ่งออกมาเป็นสายเล็กๆ ในพริบตาบนเสื้อสีเขียวเลอะละอองเลือดเป็นจุดๆ ทว่าไม่นานเลือดก็แข็งตัว ไม่เห็นเลือดไหลออกมาอีก
คนที่เป็นผู้นำในมือกางร่มสีเขียวอันหนึ่ง ต้านการโจมตีไว้ กลับได้ยินเสียง ‘ตึก’ เสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ หงายล้มลงพื้น บนใบหน้ายังปรากฏสีหน้าตื่นตระหนกแต่กลับไม่มีลมหายใจแล้ว
“ศิษย์น้อง!” คนที่เป็นผู้นำร้องเรียกเสียงหนึ่ง ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาว่า “นางมาร เจ้าใช้ฝีมืออะไร?” ถามพลาง ร่มเขียวในมือแปลงเป็นลูกธนูหลายดอกยิ่งไปที่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเร่งให้ชามใหญ่กลับมา ชนเข้ากับธนูแหลม สองคนร่างสั่นเทิ้มในเวลาเดียวกัน
ต้วนชิงเกอที่จัดการผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งแล้วเห็นท่าสะบัดแส้เฆี่ยนไปที่คนนี้อย่างไม่ลังเล
คนคนนั้นคิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ตบะไม่สูงสองคนนี้ล้วนมีอาวุธเวทที่ไม่เลว โดยเฉพาะหญิงสาวที่โผล่มาหลังสุดนี้ พลังป้องกันของอาวุธเวทไม่เลวยิ่งนัก พอฟัดพอเหวี่ยงกับร่มเขียวของเขา
นึกถึงฝีมือที่คาดไม่ถูกของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ฆ่าศิษย์น้องนี่อีกครั้ง ผู้บำเพ็ญเพียรนี่เกิดเสียใจขึ้นมา แอบว่าในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดด้วยฐานะของเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
คนคนนี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ เมื่อเผชิญหน้าการจู่โจมของหญิงสองคนนี้จึงอดคิดหนีไม่ได้
เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากซัดออกมากระบวนท่าหนึ่งแล้วเอียงตัว มั่วชิงเฉินติงว่า “ศิษย์พี่ เขาคิดหนี!”
ต้วนชิงเกอที่ร่วมมือกันอย่างรู้ใจได้ยินดังนั้นรีบโยนยันต์กระสุนไฟสองสามใบออกไปปิดทางไปของคนนั้น ขณะเดียวกันแส้ยาวก็ตวัดมา
ร่มเขียวในมือผู้บำเพ็ญเพียรหมุนขึ้นมาทันที กลายเป็นวงกลมที่ไม่มีช่องโหว่ ใบมีดวิญญาณนับไม่ถ้วนบินออกจากในวงกลม บีบจนพวกมั่วชิงเฉินสองคนต้องล่าถอย
ผู้บำเพ็ญเพียรเห็นสองสาวถูกบีบให้ล่าถอย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง แล้วโยนยันต์แผ่นหนึ่งออกจากมือ ยันต์ใหญ่ขึ้นในพริบตา กลายเป็นนกกระดาษขนาดยาวหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรกระโดดขึ้นไปทันที นั่งนกกระดาษบินขึ้นฟ้าไป
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าคนคนนี้ยังมียันต์เหินหาวอีก ความเร็วในการเร่งเถาวัลย์ในมือให้ยาวสู้ความเร็วของนกกระดาษไม่ได้ เข็มสีเขียวที่โยนออกไปยิ่งถูกร่มเขียวในมือผู้บำเพ็ญเพียรนั่นต้านไว้จนหมด
“เจ้าสองคนคอยดู ความอับอายในวันนี้ วันหลังข้าต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าให้ได้!” ผู้บำเพ็ญเพียรก้มหน้ามองลงมา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ไม่คิดว่าลูกไฟขนาดเท่าชามลูกหนึ่งตกลงจากฟ้า ลงบนศีรษะเขาพอดี
การป้องกันของผู้บำเพ็ญเพียรที่สำคัญคือการอาศัยการป้องกันจากอาวุธเวทและยันต์ เมื่อถึงระดับสร้างรากฐานถึงสามารถสร้างม่านป้องกันขึ้นรอบตัวได้ หากว่ากันด้วยร่างเนื้อ ที่จริงเป็นสิ่งที่อ่อนแอมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ที่แสนโชคร้ายคนนี้ เนื่องจากไม่ได้ป้องกันเลยสักนิด ศีรษะถูกลูกไฟไหม้เป็นก้อนดำก้อนหนึ่งทันที กลิ่นของเนื้อย่างแผ่ซ่านไปเต็มท้องฟ้า
ศพของผู้บำเพ็ญเพียรตกลงจากฟ้า กลายเป็นเลือดเนื้อเละเทะก้อนหนึ่ง ยันต์เหินหาวขาดพลังวิญญาณคอยควบคุม คืนสภาพเป็นนกกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือ ปลิวลงบนพื้น
ในยามนี้เองอีกาสีดำมะเมื่อมร่อนลงมาอย่างสบายอารมณ์ ร้องใส่มั่วชิงเฉินอย่างได้ใจสองที “แว้ดๆ บังอาจรบกวนแม่นางข้ารับประทานอาหาร เผาให้ตายซะเลย!”
เห็นจู่ๆ มีอสูรปีศาจชั้นหนึ่งร่อนลงมาตัวหนึ่ง ต้วนชิงเกอสะบัดแส้ในมือหมายจู่โจม มั่วชิงเฉินรีบห้ามว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ อย่าลงมือ นี่เป็นอสูรวิญญาณของข้า!”
“หา?” ต้วนชิงเกออ้าปากค้างแผ่วเบาแล้วชะงักงัน หันหน้ามองดูอีกาไฟว่า “ศิษย์น้อง เจ้ารับอีกาตัวหนึ่งเป็นอสูรวิญญาณตั้งแต่เมื่อไรแล้ว!”
น้ำเสียงช่าง…
มั่วชิงเฉินรู้สึกขายหน้าในทันใด เอ่ยเสียงต่ำว่า “นี่ นี่เป็นอุบัติเหตุ…”
ต้วนชิงเกอกลับหัวเราะฮึๆ ว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่คิดว่ารสนิยมเจ้าจะ…พิเศษ…ปานนั้น”
“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินเห็นนางล้อเลียน จึงต่อว่าไปหนึ่งคำ
ใครจะรู้ว่าอีกาไฟฉลาดผิดปกติ ฟังออกว่าต้วนชิงเกอดูถูกมัน จึงบินลงมาหน้านางทันที ยื่นปีกออกข้างหนึ่งร้องแว้ดๆ ใส่นางไม่หยุด หนังตาเปิดครึ่งหนึ่ง โผล่ออกมาแค่ตาขาว
เห็นอีกาตัวนี้ทำท่าทางเหมือนหญิงปากร้ายด่ากราด ในแววตายังแสดงออกถึงความดูถูกดูแคลนที่ขอให้เป็นคนก็ต้องดูออก ต้วนชิงเกอรู้สึกร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่ใช่ทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก
มั่วชิงเฉินที่เก็บรางวัลแห่งชัยชนะจู่ๆ ก็ร้องเรียกว่า “ศิษย์พี่ มานี่เร็ว เรารวยแล้ว!”