ช่วยคนยังช่วยตน
หนึ่งใบ สองใบ สามใบ สี่ใบ…ถุงเก็บวัตถุสิบเอ็ดใบเต็มๆ!
ต้วนชิงเกอดูจนงงเป็นไก่ตาแตก พึมพำว่า “มิน่า มิน่าผู้บำเพ็ญเพียรตั้งมากมายถึงชอบปล้น นี่ช่างเป็นลาภลอยจริงๆ”
“ศิษย์พี่ชิงเกอ เรารีบไปเถอะ หาที่กำบังหลบขึ้นมาก่อน แล้วค่อยตรวจดูของที่ได้มา” มั่วชิงเฉินไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากอะไรอีกแล้ว จึงรีบเอ่ย
สองคนหนึ่งกาเก็บกวาดสนามรบ แล้วไปจากป่าทึบอย่างเงียบๆ
หลายวันต่อมา
“ศิษย์น้องชิงเฉิน นี่เป็นวันที่เก้าแล้ว ขอเพียง ขอเพียงอดทนอีกหนึ่งวัน พวกเราก็ออกไปได้แล้ว…” ต้วนชิงเกอเอ่ยพลางหอบแฮ่กๆ
มั่วชิงเฉินผมเผ้ายุ่งเหยิง พยุงต้วนชิงเกอไว้ พยักหน้าแรงๆ ว่า “อืม ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าหลังจากมาถึงแดนลี้ลับแล้ว จะกลายเป็นนรกอเวจี เมื่อก่อนได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าแดนลี้ลับ คนที่ออกไปได้มีไม่เกินครึ่ง ที่แท้คนมากเพียงนี้ ล้วนตายในมือพวกเดียวกัน”
เพิ่งผ่านการฆ่าฟันมาอีกยกหนึ่ง ทั้งสองคนหมดเรี่ยวแรง จึงหาที่กำบังที่หนึ่งกินโอสถลงไปแล้วเริ่มนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ
หนึ่งชั่วยามให้หลังต้วนชิงเกอลืมตาขึ้น ยิ้มอย่างขมขื่นว่า “ตบะของเรายังคงต่ำไปสักหน่อย โชคดีที่อยู่ด้วยกันกับเจ้า การปล้นฆ่าหลายครั้งปานนั้นถึงรอดมาได้ กลับได้ของมาไม่น้อย โดยเฉพาะยันต์และโอสถ”
ที่จริงมั่วชิงเฉินไม่ขาดแคลนโอสถ ทว่ายันต์เป็นของสิ้นเปลือง เมื่อเข้าแดนลี้ลับแล้วไม่อาจเติมได้ การยึดจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นจึงช่วยพวกนางไว้ได้มาก เพราะว่าอย่างไรเสียอาวุธเวทที่ได้มาในเวลาสั้นๆ นั้นไม่อาจเชี่ยวชาญวิธีใช้ได้เลย
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “การทดสอบครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า ไม่เพียงได้โอสถสร้างรากฐาน ยังเพิ่งประสบการณ์ในการสู้จริงไม่น้อย อย่างน้อยก็รู้ว่าพลังที่แท้จริงของตนเป็นเช่นไรกันแน่”
“หึๆ ที่ยิ่งหายากคือศิษย์น้องได้อสูรวิญญาณที่ไม่เลวมาตัวหนึ่ง” ต้วนชิงเกอล้อเล่น
มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง เมื่อวานอีกาไฟได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการต่อสู้ บังเอิญไม่กี่วันก่อนในของที่ได้จากผู้บำเพ็ญเพียรสามคนนั้นพบถุงอสูรวิญญาณใบหนึ่ง จึงเก็บมันเข้าไปพักฟื้น
ทว่าอีกาไฟคงไม่ยินยอมเป็นอสูรวิญญาณของตนหรอกกระมัง ถึงพรุ่งนี้ก็ทิ้งมันไว้นี่ ก็ไม่รู้ว่ามันที่ได้รับบาดเจ็บจะมีอันตรายหรือไม่
“เป็นอะไรหรือ ศิษย์น้องชิงเฉิน?” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ จึงอดถามไม่ได้
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ ไม่สู้เราก็อยู่นี่วันหนึ่งเถอะ ไหนๆ เมื่อถึงยามบ่ายพรุ่งนี้ ก็จะถูกส่งออกไปเอง”
ต้วนชิงเกอถอนใจว่า “ก็ดี เพียงแต่หวังว่าคราวนี้อย่าถูกพบอีกเลยจะดีกว่า”
หลังจากวันที่ห้าเป็นต้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ยอมแพ้ในการหาสมุนไพรทิพย์ แต่คิดมิดีมิร้ายกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นขึ้นมาแทน ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่ได้สมุนไพรทิพย์แล้วคิดจะประคองให้ถึงวันออกจากหุบเขาต่างถูกหาเจอ ต้องเข้าสู่การต่อสู้อย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงสองวันสุดท้ายนี้ พวกมั่วชิงเฉินสองคนที่หลบซ่อนอยู่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่รวมตัวเป็นกลุ่มเหมือนสุนัขล่าเนื้อ ค้นไปทั่วไม่หยุดหย่อน
พวกนางสองคนก็เป็นเช่นนี้ หากถูกพบ เห็นทั้งสองคนล้วนเป็นหญิงสาวตบะก็ไม่สูงอีก อีกฝ่ายเหมือนได้เปรียบจึงลงมือโดยไม่ลังเล กระทั่งมีหลายครั้งที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรสี่ห้าคนล้อมโจมตี ดีที่ทั้งสองคนร่วมมือกันอย่างรู้ใจ อีกทั้งต่างมีท่าไม้ตาย นี่ถึงได้อยู่รอดปลอดภัยมา
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็สีหน้าจริงจัง ส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ มีคนมาทางนี้แล้ว
ต้วนชิงเกอรีบพยักหน้า เก็บงำกลิ่นอายของตนขึ้น
หลายวันนี้ที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา นางพบตั้งนานแล้วว่ามั่วชิงเฉินจิตสัมผัสไม่ธรรมดา ก็เหมือนวันนั้น ตนถูกผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเดียวกันสามคนนั้นพบ นางกลับสามารถหลบการตรวจค้นของพวกเขา ดังนั้นบัดนี้นางจึงเชื่อถือและยอมรับคำพูดของนางในด้านนี้นัก
ไม่ผิดตามที่คาดเพียงไม่นาน ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเสกคาถาเหยียบลมวิ่งมาทางนี้ เพียงแต่ฝีเท้าของคนคนนั้นโซซัดโซเซ ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ
ข้างหลังมีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนไล่ตาม ดูเครื่องแต่งกายแล้วเป็นคนของพรรคเหยากวงทั้งหมด
“เป็นนาง?” มั่วชิงเฉินชะงัก
“เป็นอะไรหรือ ศิษย์น้อง เจ้ารู้จักหญิงสาวคนนี้หรือ?” ต้วนชิงเกอส่งเสียงทางจิต
มั่วชิงเฉินตอบว่า “อืม เคยเสวนากันสองครั้ง ศิษย์พี่เจ้าก็รู้จักหรือ?”
“ก็ไม่ถึงกับรู้จัก เพียงแต่หญิงสาวนี้มีชื่อเสียงนักในพรรคเหยากวง เป็นศิษย์หัวกะทิที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิโดยตรง ดังนั้นข้าเคยพบครั้งหนึ่ง” ต้วนชิงเกอเอ่ย
“นางเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถาม
ต้วนชิงเกอชะงัก “ได้ยินว่ากับผู้ชายนางไม่ไว้หน้า กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยังนับว่ามีไมตรี ดูเหมือนไม่มีความยโสที่ผู้บำเพ็ญเพียรในแวดวงนั้นมีโดยเฉพาะ หรือว่า…ศิษย์น้องคิดช่วยนาง?”
มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่พูดถูกครึ่งหนึ่ง ข้าก็ประทับใจหญิงคนนี้ไม่เลวเช่นกัน แต่ไม่ปิดศิษย์พี่ สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นคือข้าอยากฆ่าคนสองคนที่อยู่ในคนที่ตามฆ่านางอยู่”
ยามนี้คนพวกนั้นมาถึงข้างหน้าแล้ว มีทั้งหมดห้าคน ค่อยๆ ล้อมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงขึ้นมา
ชายสามหญิงสองนี้ ดูจากเครื่องแต่งกายนอกจากผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งเป็นศิษย์ในสำนัก นอกนั้นไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์ฆราวาสหมด หากปกติอยู่ในสำนัก เจอผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับหลอมลมปราณที่เป็นศิษย์หัวกะทิเช่นนี้ แม้หายใจแรงก็ไม่กล้า บัดนี้กลับกล้าล้อมฆ่าแล้ว ผลประโยชน์ช่างเร้าใจคนจริงๆ
ต้วนชิงเกอตั้งใจดู พบว่าหนึ่งในหญิงสาวไม่คิดเลยว่าจะเป็นหูเยียนหรานที่อยู่ร่วมลานบ้านกับมั่วชิงเฉิน ศิษย์ในสำนักเพียงคนเดียวนั้นก็คือคนรักของนางนั่นเอง จึงเข้าใจในฉับพลันว่า “มิน่าล่ะ ศิษย์น้องคิดถูกแล้ว ฉวยโอกาสฆ่าสองคนนี้ซะ ไม่แน่ความยุ่งยากของเจ้าก็จะหายไป”
“ถูกต้อง ข้ากำลังคิดเช่นนี้พอดี ศิษย์พี่ เรารอดูท่าทีไปก่อน ผู้บำเพ็ญเพียรในห้าคนนี้ไม่มีระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ ดูท่าทางศิษย์พี่ท่านนั้นแม้ได้รับบาดเจ็บถูกพวกเขาล้อมไว้ แต่พวกเขาก็ต้องเปลืองแรงไม่น้อย” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิต
ผ่านการต่อสู้มาหลายวันนี้ ทั้งสองคนไม่กลัวการต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้พลังวิญญาณจนอิดโรยห้าคนพร้อมกัน นี่นอกจากประสบการณ์การต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการดวลเป็นตายแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือในมือพวกนางมียันต์ปริมาณมาก โยนออกไปเหมือนไม่ต้องใช้เงิน อานุภาพยิ่งใหญ่นัก
แน่นอนนี่ไม่ได้บอกว่าพวกนางก็จะประมาทเพราะการนี้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะมากจะน้อย ล้วนต้องสู้เต็มกำลัง ไม่แน่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ดูเหมือนธรรมดาคนหนึ่งก็มีไพ่ตาย ก็เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นที่เห็นพวกนางเป็นแกะอ้วน ใครจะคิดว่าสุดท้ายต้องกลายเป็นชิ้นปลามันในปากพวกนางล่ะ
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่มั่ว เจ้าก็อย่าหนีอีกเลย เปลืองแรงเปล่าๆ” คนที่พูดก็คือศิษย์ในสำนักคนนั้น
ใบหน้าสดสวยแต่จริงจังของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “เราต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน พวกเจ้าอดทนมาถึงยามนี้แน่นอนย่อมเก็บเกี่ยวมาไม่น้อย เหตุใดต้องเข่นฆ่าสำนักเดียวกัน หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่ากฎสำนักข้อที่หนึ่งก็คือห้ามศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเองหรือไร?”
คนที่เป็นผู้นำแหงนหน้าหัวเราะว่า “ฮ่าๆๆ กฎสำนัก? กฎสำนักมีไว้ใช้ในสำนัก มาพูดกฎสำนักในแดนลี้ลับนี้ ช่างน่าขันสิ้นดี! ศิษย์หัวกะทิที่ว่ากันเช่นพวกเจ้า ปกติสูงส่งไม่เห็นใครในสายตา ของที่คนอื่นใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่ได้มาพวกเจ้ากลับได้มาอย่างง่ายดาย ย่อมไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่มีคนหนุนหลังเช่นพวกเรานั้นสำคัญเพียงใด!”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกัดริมฝีปากว่า “พูดเช่นนี้ พวกเจ้าตัดสินใจแล้วสิว่าจะต่อกรกับข้า? พวกเจ้าต้องคิดให้ดีนะ!”
คนที่เป็นผู้นำหัวเราะ ‘ฟู่’ ว่า “ศิษย์พี่มั่ว อย่าพูดมาก หากเจ้ายอมมอบของออกมาให้หมด เห็นแก่ที่อยู่สำนักเดียวกัน พวกเราย่อมให้เจ้าได้ตายอย่างศพสวยหน่อย โดยเฉพาะเกราะอ่อนไหมทองนั่น”
“เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเกราะอ่อนไหมทอง?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงดูออกว่าห้าคนนี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงถามเสียงดุ
“หึๆ นี่ก็ไม่รบกวนศิษย์พี่มั่วเป็นห่วงแล้ว หากคิดไม่เข้าใจ ก็ไปขบคิดดีๆ ข้างล่างเถอะ!” ผู้ชายที่เป็นผู้นำดูเหมือนไม่ยอมเสียเวลา ส่งสายตาให้ห้าคนบุกขึ้นมาพร้อมกัน
เห็นทั้งหาคนบุกมา ใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงฉายแววสิ้นหวัง ตนมั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว ตอนนั้นอาจารย์กำชับตนให้ระวังให้มาก ให้อาวุธเวทเกราะอ่อนไหมทองที่พลังป้องกันโดดเด่นมาชุดหนึ่ง ยังยัดยันต์และโอสถจำนวนมากให้ตน อีกทั้งตนก็โดดเด่นในค่ายกล เชื่อมั่นว่าในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไม่มีคนสู้ตนได้ แดนลี้ลับเป็นเพียงสถานที่เพิ่มประสบการณ์ให้นางเท่านั้น กลับประมาณความละโมบของผู้บำเพ็ญเพียรต่ำไปแล้ว!
หึ ต่อให้ข้าตาย ก็ไม่ให้พวกเจ้าได้เปรียบเด็ดขาด!
ใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงฉายแววเด็ดเดี่ยว เสื้อผ้าพองขึ้นในทันใด เปรียบเหมือนลูกโป่งที่อัดเต็มด้วยลม พลังวิญญาณที่พองขึ้นอย่างรุนแรงก่อให้เกิดลมพายุ เสื้อผ้ากระพือดังพรึบๆ
“แย่แล้ว นางจะระเบิดตนเอง!” คนที่เป็นผู้นำตะโกนเสียงหนึ่ง ทั้งห้าคนถอยหลังไปพร้อมกัน
กลับได้ยินเสียงโหยหวนลอยมา ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงล้มลงพร้อมกัน
“เยียนหราน!” คนที่เป็นผู้นำตะโกนเสียหนึ่ง เอียงศีรษะหลบพ้นเงาแส้เส้นหนึ่ง
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอต่างคนต่างใช้ท่าไม้ตาย โรมรันพันตูกับทั้งสามคน
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เตรียมระเบิดตนเองเห็นการเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ จึงหยุดพลังที่ขับเคลื่อนแล้วทันที พลังวิญญาณที่เคลื่อนย้ายอยู่ถูกขัดขวางกะทันหัน นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดทันที แล้วหมดสติไป
“เจ้า พวกเจ้าเป็นใคร?” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกสองเสียง เหลือเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นผู้นำประคองไว้อย่างยากลำบาก เห็นสองสาวที่จู่ๆ โผล่มาใส่ชุดศิษย์ฆราวาสพรรคเหยากวง ลงมืออำมหิต ร่วมมือกันอย่างเฉียบขาด จึงอดถามไม่ได้
มั่วชิงเฉินหน้าไร้ความรู้สึก โยนเข็มสีเขียวออกไปกำหนึ่ง คิดจะหลบเข็มสีเขียวที่เล็กยิ่งต้องรวบรวมสมาธิ ระหว่างที่ผู้บำเพ็ญเพียรหลบหลีกอย่างเร่งรีบกลับละเลยแส้ยาวของต้วนชิงเกอ
ต้วนชิงเกอเฆี่ยนลงหนึ่งแส้ พลังวิญญาณที่อัดใส่ในแส้เฆี่ยนจนผู้บำเพ็ญเพียรร้องโหยหวนออกมา ร่างกายที่เชื่องช้าจึงถูกเข็มสีเขียวของมั่วชิงเฉินซัดเข้าอย่างจัง
สองคนไม่พูดสักคำ เก็บของรางวัลอย่างเฉียบขาด เก็บกวาดสถานที่
ดึงถุงเก็บวัตถุที่เอวของหูเยียนหรานออก มองดูใบหน้าที่ยังคงงามดุจบุปผาของนาง มั่วชิงเฉินเม้มปาก แล้วหันหลังดึงถุงเก็บวัตถุของผู้บำเพ็ญเพียรชายนั้นออกมาอีก ในใจแอบคิดว่า ในที่สุดก็กำจัดภัยเงียบได้อันหนึ่งแล้ว หากมีเรื่องอันใดอีก ก็ได้แต่แก้ไปทีละเปลาะแล้ว
แม้จะอยู่ร่วมลานบ้านเดียวกัน มั่วชิงเฉินก็ไม่รู้สึกผิด นางไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องคนอื่น ทว่าหากคนอื่นคิดร้ายกับนาง นางก็ได้แต่ชิงลงมือก่อนได้เปรียบแล้ว
“ศิษย์น้องชิงเฉิน นางจะทำเช่นไร?” ต้วนชิงเกอมองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่หมดสติอยู่บนพื้นแล้วถาม
มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่งว่า “ไหนๆ เราก็ต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่หนึ่งวัน พานางไปด้วยก่อนแล้วกัน”
ต้วนชิงเกอพยักหน้า “เช่นนั้นได้ ทว่าหากในระหว่างนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรพบพวกเรา ก็ไม่มีเวลาห่วงนางแล้วนะ”
“นั่นแน่นอน” มั่วชิงเฉินตอบ
มั่วชิงเฉินป้อนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกินยาลูกกลอนย้อนอายุเข้าไป แล้วเริ่มตรวจของที่เก็บเกี่ยวได้ในหลายวันนี้กับต้วนชิงเกอ
ยันต์ อาวุธเวทพวกนั้นอย่าเพิ่งดูก่อน ที่สำคัญคือดูคนพวกนี้เด็ดได้ของล้ำค่าอะไรบ้างในแดนลี้ลับนี้ ควรจัดสรรเช่นไรเพื่อแลกโอสถสร้างรากฐาน
โชคดีที่ต่อมาคลื่นลมสงบโดยตลอด ในที่สุดก็ถึงวันที่สองภายใต้ความคาดหวังของพวกมั่วชิงเฉินสองคน
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ลืมตาขึ้นมาในที่สุดถามอย่างระแวง