ได้ออกจากหุบเขาโยวเล่อ

 

 

 

“ศิษย์พี่ เป็นข้าเอง” มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงยิ้มหวาน ไหนๆ เมื่อตนอ้าปากนางก็สามารถฟังเสียงออกได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องปิดๆ บังๆ อีกอย่างนางไม่ได้สูงส่งถึงขั้นทำความดีไม่ทิ้งชื่อหรอกนะ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชะงัก จากนั้นสีหน้าผ่อนคลายลง “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเป็นคนช่วยข้า ขอบใจนะ”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “ศิษย์พี่เกรงใจไปแล้ว เป็นเพียงเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่านั้น”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยิ้มระทมว่า “เรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรง? หึๆ เอาเป็นว่ามิตรจิตมิตรใจของสองท่าน ข้ามั่วหลีลั่วจำไว้ในใจแล้ว เอ่อ ที่นี่ที่ไหนน่ะ?”

 

 

ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้ชื่อมั่วหลีลั่ว ชื่อพิเศษมากทีเดียว มั่วชิงเฉินใจก็คิดปากก็ว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ซ่อนตัวของเราสองคน ยังนับว่าโชคดีที่ไม่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นพบเข้า รออีกเพียงชั่วครู่ ก็ออกจากหุบเขาได้แล้ว”

 

 

ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็โล่งอก คิดจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับร้องโอ๊ยเสียงหนึ่ง

 

 

ต้วนชิงเกอรีบพยุงนางว่า “ศิษย์พี่มั่ว อาการบาดเจ็บของท่านค่อนข้างหนัก อย่าเพิ่งขยับดีกว่า รอออกไปอาจารย์ปู่ที่นำขบวนต้องมีวิธีแน่นอน”

 

 

มั่วหลีลั่วพยักหน้า สายตากวาดผ่านหน้าสองสาวรอบหนึ่ง สุดท้ายหยุดอยู่บนใบหน้ามั่วชิงเฉิน “ไม่ทราบศิษย์น้องทั้งสองชื่ออะไร?”

 

 

ปกติผู้บำเพ็ญเพียรถามเช่นนี้ ก็คือคิดจะคบหากันแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกยินดี แม้บอกว่าช่วยคนโดยบังเอิญ ทว่าทั้งสองคนไม่ได้ฉวยโอกาสซ้ำเติมก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ในพรรคเหยากวงพวกนางต่างเป็นแหนไร้ราก สามารถคบหากับศิษย์หัวกะทิท่านหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องไม่เลว

 

 

เนื่องจากมั่วชิงเฉินและมั่วหลีลั่วเคยรู้จักกันมาก่อน นางจึงว่า “น้องชื่อมั่วชิงเฉิน ศิษย์พี่ท่านนี้ชื่อต้วนชิงเกอ พวกเราล้วนเป็นศิษย์ของเขาชิงมู่”

 

 

“มั่วชิงเฉิน ต้วนชิงเกอ? ดูเหมือนเคยได้ยินมาก่อน” มั่วหลีลั่วขมวดคิ้ว จากนั้นตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว มีครั้งหนึ่งข้าไปทำธุระที่เขาชิงมู่ ได้ยินศิษย์จิปาถะสองสามคนวิจารณ์อะไร ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ หรือว่าก็คือพวกเจ้า?”

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจำใจเล็กน้อยว่า “น่าจะใช่พวกเรากระมัง นั่นล้วนเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นลือเหลวไหลยามว่างน่ะ”

 

 

มั่วหลีลั่วยิ้ม ในใจกลับว่าตอนนั้นตนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็แล้วกันไป ยังคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เป็นศิษย์จิปาถะถูกตั้งฉายามั่วซั่ว ต้องอาศัยที่หน้าตาพอดูได้ ประพฤติตัวนอกลู่นอกทางเป็นแน่ สำหรับการนี้แม้แต่ความรู้สึกดูถูกก็ขี้เกียจมีก็โยนทิ้งไปแล้ว บัดนี้ดูแล้วตนกลับคิดผิดแล้ว ฐานะย่อมไม่ได้หมายถึงทุกอย่าง

 

 

“ข้าอยู่เขารั่วสุ่ย วันหน้าศิษย์น้องทั้งสองหากไปธุระที่นั่น ต้องไปนั่งเล่นที่ข้าให้ได้” มั่วหลีลั่วเอ่ย

 

 

ทั้งสามคนบอกชื่อและที่มาแล้ว ความสัมพันธ์ใกล้เข้ามาเล็กน้อย เพราะมั่วหลีลั่วได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งต้องสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกตลอดเวลา จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก แต่ต่างคนต่างหลับตาปรับลมหายใจขึ้นมา

 

 

ในขณะนี้เองทั้งสามคนรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณในอากาศที่ส่งผ่านมา มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอรีบจับมั่วหลีลั่วไว้ จากนั้นรู้สึกหน้ามืด ยามลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มาถึงนอกหุบเขาแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินสังเกตรอบๆ พบว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรโผล่ออกมาจากกลางอากาศเป็นครั้งคราว มีบางคนล้มลงบนพื้นเหมือนเทเกี๊ยว ยังมีที่ดูท่าทางแล้วกำลังประมือกันอยู่ ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเห็นว่ามาถึงนอกหุบเขาแล้ว จึงต่างสงบลงมา

 

 

ผู้นำขบวนแต่ละสำนักที่รออยู่ด้านนอก พอผู้คนเดินเข้ามา นับศิษย์สำนักตน

 

 

ผู้นำขบวนของพรรคเหยากวงนักพรตฝูหมิงมองดูศิษย์ที่กลับจากการทดสอบครั้งนี้ จำนวนคนไม่ต่างจากปีก่อนๆ เท่าไร จึงวางใจลง สำนักใหญ่เช่นพวกเขา การสูญเสียศิษย์อยู่ที่ประมาณสามถึงสี่ส่วน ขอเพียงการผันแปรไม่มาก เขาก็นับว่าทำหน้าที่สำเร็จแล้ว

 

 

สงสารแต่สำนักเล็กๆ มากมายที่ออกมาได้เพียงไม่กี่คน กระทั่งตระกูลเล็กๆ บางตระกูลก็ไม่เห็นมีคนออกมาเลย

 

 

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนพยุงมั่วหลีลั่วไว้ นักพรตฝูหมิงสีหน้าจริงจัง ไม่คิดว่านางหนูมั่วจะได้รับบาดเจ็บ เมื่อนึกถึงอาจารย์ที่ขี้เข้าข้างของนาง แล้วยังมีอาจารย์ปู่ที่ขี้เข้าข้างยิ่งกว่า นักพรตฝูหมิงรู้สึกกินปูนร้อนท้อง สองสามก้าวรีบเดินเข้าไป พูดกับพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “นางหนูมั่วอาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง?”

 

 

โดยไม่ได้ถามว่าเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บ เข้าสู่หุบเขาโยวเล่อเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเข่นฆ่ากัน เดิมทีก็เป็นเรื่องรู้กันโดยที่ไม่ต้องพูดอยู่แล้ว แม้จะโหดร้าย ทว่าก็เป็นโอกาสการฝึกฝนที่หายากครั้งหนึ่ง หากแม้แต่ที่นั่นก็ออกมาไม่ได้ ต่อให้เป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ปานใดก็ไม่น่าเสียดาย

 

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์อันเป็นที่รักของศิษย์พี่รั่วซีจะได้รับบาดเจ็บ เด็กผู้หญิงที่ตบะไม่สูงสองคนที่อยู่ข้างๆ กลับปลอดภัยไร้กังวล เมื่อคิดเช่นนี้จึงพิจารณาพวกมั่วชิงเฉินสองคนปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกวาดสายตาผ่าน มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นโถมเข้ามา นางฝืนยืนให้มั่นคงว่า “เรียนท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์พี่มั่วนางได้รับบาดเจ็บภายในเจ้าค่ะ”

 

 

“ท่านอาจารย์อา ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เนื่องจากมั่วหลีลั่วได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนย้ายออกจากหุบเขาทำให้ไม่สบายตัว ต้องรอทุเลาเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น

 

 

แม้จะเป็นศิษย์ในระดับหลอมลมปราณ แต่เพราะอาจารย์ของมั่วหลีลั่วเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นางจึงมีคุณสมบัติเรียกผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นในระดับก่อแก่นปราณว่าอาจารย์อา

 

 

มั่วชิงเฉินอดเหงื่อตกไม่ได้ พอดูเช่นนี้แล้ว ตนเรียกมั่วหลีลั่วว่าศิษย์พี่ กลับไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว

 

 

นักพรตฝูหมิงยื่นมือตรวจอาการของมั่วหลีลั่ว สีหน้าหนักใจขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปเนิ่นนานจึงหยิบโอสถขนาดประมาณไข่นกพิราบเม็ดหนึ่งป้อนนาง แล้วหันหน้าบอกผู้บำเพ็ญเพียรที่มักใบหน้าเปื้อนยิ้มที่อ่อนโยนว่า “ศิษย์หลานอู๋ เจ้ามาดูแลนางหนูมั่วที”

 

 

“ขอรับ อาจารย์อา” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เดินเข้ามามองพวกมั่วชิงเฉินสองคนปราดหนึ่ง แล้วรับมั่วหลีลั่วมา

 

 

นักพรตฝูหมิงเอ่ยอีกว่า “ศิษย์หลานเยี่ย ศิษย์หลานหวัง พวกเจ้าสองสามคนรับผิดชอบบันทึกสิ่งที่ศิษย์พวกนี้เก็บเกี่ยวได้ที”

 

 

“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองสามคนที่เหลือเอ่ย

 

 

จากนั้นนักพรตฝูหมิงหันหน้ามาดูพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “พวกเจ้าสองคนทำได้ไม่เลวทีเดียว ถึงเวลาย่อมมีรางวัลให้ บัดนี้ไปเข้าแถวบันทึกเถอะ”

 

 

“ขอบคุณอาจารย์ปู่เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอเอ่ยพร้อมกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่รอดจากแดนลี้ลับพวกนั้น ต่างเข้าแถวยาวตามคำสั่ง

 

 

ต้วนชิงเกอก้าวเท้าเดินไปที่แถวหนึ่งตามอำเภอใจ กลับถูกมั่วชิงเฉินลากไปอีกแถวหนึ่ง

 

 

เห็นสายตาสนเท่ห์ของต้วนชิงเกอมองมา มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคักว่า “ทางนี้คนน้อย”

 

 

ต้วนชิงเกอมองดูแถวที่อยู่ แล้วมองดูแถวก่อนหน้านี้อีก อย่างไรก็ไม่เห็นว่าทางนี้คนน้อยนี่นา สายตาจึงยิ่งสงสัยขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วมองไปข้างหน้า

 

 

ไม่ค่อยได้เห็นมั่วชิงเฉินทำท่าทางเช่นนี้ ต้วนชิงเกอยิ่งสงสัยแล้ว มองดูแถวนั้นอีกที ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่อยู่หน้าสุดสีหน้าเย็นชา บันทึกอะไรอยู่อย่างรวดเร็ว จึงรู้แจ้งในทันใดส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าคงไม่ได้กลัวอาจารย์อาเยี่ยหรอกนะ?”

 

 

“อาจารย์อาเยี่ยอะไร?” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตเช่นกัน

 

 

ต้วนชิงเกอเอ่ยอย่างจำใจว่า “นั่น ก็คือท่านที่อยู่หน้าแถวที่ข้าไปเข้าเมื่อครู่”

 

 

“มีที่ไหนกัน ข้าจะกลัวเขาเพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ใบหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในใจกลับรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ มั่วชิงเฉินเหมือนตื่นจากฝันว่า “หา คนที่เจ้าว่าก็คืออาจารย์อาเยี่ยที่ชื่อเสียงโด่งดัง?” พูดพลางทนไม่ไหวแอบเหล่คนคนนั้นปราดหนึ่ง ในใจแอบว่าหากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนอื่นรู้ว่าตนเคยเห็นอาจารย์อาเยี่ยของพวกนางอาบน้ำมาก่อนละก็ ตนจะถูกถลกหนังกินทั้งเป็นหรือไม่นะ?

 

 

ตรงหน้าปรากฏภาพผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับไม่ถ้วนกำลังล้อมนางไว้แล้วทั้งเตะทั้งต่อย มั่วชิงเฉินแอบบอกตนเองให้อยู่ห่างอันตรายไว้ อยู่ให้ห่างอาจารย์อาเยี่ย

 

 

ต้วนชิงเกอมองท่าทางเหม่อลอยของมั่วชิงฉิน หัวเราะฟู่ว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งพรรคเหยากวง มีเพียงเจ้าที่ไม่รู้แล้ว ข้าแปลกใจจริงๆ ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนอื่นเห็นอาจารย์อาเยี่ยแล้วแทบอยากจะโถมเข้าใส่อย่างทนไม่ไหว เหตุใดเจ้ากลับกลัวหลบยังหลบไม่ทัน?”

 

 

มั่วชิงเฉินเบิ่งนางปราดหนึ่ง “ครือกันครือกัน”

 

 

ทันใดนั้นพบว่าอาจารย์อาเยี่ยท่านนั้นดูเหมือนเหลือบมาทางนี้ปราดหนึ่ง เหมือนได้ยินที่พวกนางส่งเสียงทางจิตกันอย่างนั้นแหละ มั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นซึมออกมา รีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ เหตุใดสำนักและตระกูลอื่นก็เข้าแถวอยู่ตรงนี้ล่ะ?”

 

 

ต้วนชิงเกอยกคางว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นล้วนเข้าแถวอยู่ในพรรคเหยากวง สำนักไท่ซวี นิกายเหอฮวน นิกายอวี้กุย นิกายหมิงฝูไม่กี่สำนักนี้ พวกเขาล้วนเป็นสำนักและตระกูลเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่กับสำนักพวกนี้ มีมากมายที่ต่อให้ได้กล้วยไม้ทองใบคู่มา สำนักของตนก็หลอมโอสถสร้างรากฐานออกมาไม่ได้ ดังนั้นพวกสำนักใหญ่นี้จึงตั้งกฎไว้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรทุกท่านที่รอดชีวิตออกจากหุบเขาโยวเล่อได้ ขอเพียงเด็ดกล้วยไม้ทองใบคู่ได้หรือว่าได้สมบัติในฟ้าดินอื่นๆ ที่สามารถแลกโอสถสร้างรากฐานได้ ก็สามารถลงบันทึกที่สำนักที่ตนขึ้นอยู่ได้ หลังจากมอบของให้แก่สำนักแล้ว รอกลับไปถึงก็สามารถไปรับโอสถสร้างรากฐานได้แล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินชื่นชมว่า “การคำนึงถึงเช่นนี้ช่างรอบคอบนัก หากแจกโอสถสร้างรากฐานทันที ระหว่างทางกลับบ้านผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นก็อาจถูกผู้ที่มีใจดักฆ่าได้”

 

 

สิ่งที่มั่วชิงเฉินพูดนั้นไม่ผิด เวลานั้นที่เหล่าสำนักใหญ่ตั้งกฎนี้ขึ้นมา ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าที่เพิ่มมากขึ้น การสู้กันในแดนลี้ลับนับว่าเป็นการฝึกตนของศิษย์ ทว่าก็ต้องหยุดแต่พอดี หากสูญเสียมากไปจะเป็นการทำร้ายรากฐานแล้ว

 

 

“ถูกต้อง ไม่เพียงเท่านี้ ถึงเวลาผู้บำเพ็ญเพียรที่ไปรับโอสถสร้างรากฐานที่พรรคเหยากวงเรา ยังสามารถเลือกสร้างรากฐานที่นั่นได้ ขอเพียงจ่ายหินวิญญาณในจำนวนที่เหมาะสมก็ได้แล้ว” ต้วนชิงเกอเอ่ย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รับผิดชอบลงบันทึกที่แถวที่มั่วชิงเฉินอยู่เป็นคนเฉื่อยชา ทีแรกตอนที่เพิ่งเริ่มสองสามแถวนี้จำนวนคนล้วนไม่ต่างกันเท่าไร ทว่าเวลาเพียงครู่เดียว ก็กลายเป็นที่เขานี่คนมากที่สุดแล้ว

 

 

ด้วยการนี้ต้วนชิงเกอจึงล้อมั่วชิงเฉินอีกสองสามประโยค มั่วชิงเฉินกลับไม่รีบร้อน แต่กลับมองไปทางนิกายเหอฮวนนั่นเงียบๆ พยายามมองหาเงาร่างของหลิวหลิงจือ น่าเสียดายแถวของนิกายเหอฮวนห่างค่อนข้างไกล มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขวางอยู่ ดูอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่พบคนที่หา

 

 

ไม่สู้หลังจากบันทึกเสร็จแล้วตนค่อยไปหาดูทางนั้น ทว่า ทว่าพี่หลิงจือกลับไม่อยากรับตน ตนผลีผลามเข้าไปจะไม่เหมาะสมหรือไม่?

 

 

มั่วชิงเฉินที่ต่อสู้อย่างเด็ดขาดในแดนลี้ลับเจอกับเรื่องความรู้สึก กลับไม่รู้ควรทำเช่นไรดีซะแล้ว

 

 

ระหว่างที่คิดไม่ตกอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “พวกเจ้ามาลงบันทึกที่ข้านี่”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก เสียงนี้นางลืมไม่ลงเด็ดขาด นั่นคือเสียงของอาจารย์อาเยี่ยที่ปีนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแทบจะอยากฆ่านางปิดปาก

 

 

มองตามเสียงไป ผู้บำเพ็ญเพียรที่อาจารย์อาเยี่ยนั่น ไม่คิดว่าจะลงบันทึกหมดแล้ว ยามนี้เขากำลังมองมาทางนี้พอดี ชี้ครึ่งหลังของแถวที่นางอยู่แล้วเอ่ย

 

 

ในสายตาล้อเล่นของต้วนชิงเกอ มั่วชิงเฉินได้แต่ตามทุกคนเดินเข้าไป คิดๆ ดูแล้ว ไปยืนอยู่หลังสุด

 

 

การทำงานของอาจารย์อาเยี่ยประสิทธิภาพสูงตามคาด มองเห็นแถวค่อยๆ สั้นลง ถึงตามั่วชิงเฉินแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินอดลังเลขึ้นมาไม่ได้ นางไม่อยากเผชิญหน้ากับคนผู้นี้จริงๆ ไม่เพียงเพราะการพบกันครั้งแรกที่ไม่น่ายินดี ยังมีสาเหตุที่สำคัญกว่านั้น ปีนั้นเมื่อนางเข้าใกล้คนผู้นี้ ก็ถูกดึงดูดอย่างหักห้ามตนเองไม่ได้ มีปฏิกิริยาที่แปลกมากทั้งกายใจ เรื่องนี้ประหลาดเกินไป ประหลาดจนนางเกิดหวาดกลัว

 

 

“ยังไม่เข้ามาอีก เจ้าเสียเวลาอะไร?” เสียงเย็นเยียบลอยมา