แอบดึงดูดกันเงียบๆ
อาจารย์อาเยี่ยที่ทุกคนพูดถึงมีชื่อว่าเยี่ยเทียนหยวน เขาที่บนใบหน้าเขียนว่าคนไม่คุ้นเคยห้ามเข้าใกล้จู่ๆ เปิดปากเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยจึงแอบมองข้ามมา
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋สีหน้ายิ่งอ่อนโยนขึ้นอีก มองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกปราดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังแบะปาก มือยังคงยุ่งอยู่ แต่หูกลับตั้งขึ้นมาแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายการซุบซิบแผ่ซ่านออกในอากาศ ในใจแอบด่าไปประโยคหนึ่ง แล้วฝืนทนเดินไปข้างหน้า
แล้วก็เป็นจริงตามนั้น นางเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ ความรู้สึกประหลาดนั้นก็มาอีกแล้ว เสียงใจเต้นแรงจนตนยังได้ยิน พลังวิญญาณภายในร่างอยู่ไม่สุขขึ้นมา คิดจะหาทางออกไหลออกไปอยู่หน้าผู้ชายคนนั้น
มั่วชิงเฉินอดหน้าแดงไม่ได้ กลับไม่ใช่เพราะอาย หากแต่เป็นเลือดร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจบังคับได้
เยี่ยเทียนหยวนที่ชินกับการทำหน้าเย็นชาก็ชะงักแผ่วเบาเช่นกัน มองนางหนูน้อยที่ไม่มีอะไรเด่นตรงหน้าด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก
ทั้งสองคนต่างมองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย ในชั่วเวลาหนึ่งไม่มีความเคลื่อนไหวและคำพูดใดๆ กลับทำให้บรรยากาศคลุมเครือยิ่งขึ้นอีก
เหตุการณ์นี้ตกไปอยู่ในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่เดิมก็แอบเหล่ทางนี้อยู่แล้ว คนไม่น้อยตกตะลึงจนคางแทบจะตกลงมา แม้แต่ผู้นำขบวนระดับก่อแก่นปราณนั่น ก็ทนไม่ไหวต้องมองมาหลายครั้ง
เยี่ยเทียนหยวนได้สติคืนมาเป็นคนแรก เอ่ยด้วยเสียงไร้ความรู้สึกสิ้นดีว่า “มอบของและป้ายประจำตัวมา” สีหน้ากลับยิ่งเย็นชาขึ้นอีก ในตาฉายแววหงุดหงิดและรังเกียจขึ้นแวบหนึ่ง
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินแทบจะหาซอกบนพื้นมุดเข้าไป นางรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเข้าใกล้คนคนนี้ได้ ทีนี้ดีแล้ว เสียกิริยาต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเช่นนี้ จ้องผู้ชายคนหนึ่งเหม่อลอย ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน
เยี่ยเทียนเหยียนกวาดสายตาผ่านถุงที่มั่วชิงเฉินยื่นมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็บันทึกข้อมูลในป้ายประจำตัวลงในม้วนคัมภีร์หยกเฉพาะ เก็บถุงขึ้น แล้วคืนป้ายประจำตัวให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรับป้ายประจำตัวมา แทบจะหนีหัวซุกหัวซุนกลับไปที่ต้วนชิงเกอนั่น ไม่กล้ามองไปที่คนนั้นอีกแม้แต่ปราดเดียว
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังมีสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยตกอยู่บนตัวนาง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนหนึ่ง สายตาเหมือนมีดนั่นแทบจะอยากเจาะตัวนางให้เป็นรูให้ได้
ในแดนลี้ลับพวกมั่วชิงเฉินสองคนแม้ฆ่านักบำเพ็ญเพียรที่มาปล้นพวกนางไปไม่น้อย ทว่าเจอกับศิษย์สำนักเดียวกันยังคงพยายามไม่ปะทะกัน ด้วยเหตุนี้คนพวกนี้จึงไม่รู้ถึงความร้ายกาจของพวกนางสองคน ล้วนนึกว่าที่ออกมาได้เพราะอาศัยโชคช่วย ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงบางคนจึงไม่สะทกสะท้าน สายตาไม่เป็นมิตรยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนก็มองมาด้วยสายตาเป็นประกาย
มั่วชิงเฉินก็ช่างเถอะ ผมข้างหน้าของนางบังตาไว้ทำให้มองโฉมหน้าไม่ชัดเจน อีกทั้งยังเพราะดูเหมือนมีความสัมพันธ์ที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับอาจารย์อาเยี่ย ผู้บำเพ็ญเพียรชายพวกนั้นหลังจากผ่านความอยากรู้อยากเห็นในตอนแรกก็ไม่ได้มองมากอีก ทว่าหลังจากสายตาตกไปอยู่ที่ต้วนชิงเกอนั่น กลับถอนสายตาไม่ได้แล้ว
หญิงสาวที่บำเพ็ญเพียรแม้โฉมหน้าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทว่าเพราะมีพลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง สีผิว รูปร่าง บุคลิกเป็นสิ่งที่หญิงสาวธรรมดาไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนไหนก็ตามไปถึงโลกฆราวาสแล้วล้วนเรียกได้ว่าเป็นสาวงาม
ศิษย์พรรคเหยากวงแสนกว่าคน สัดส่วนของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่ว่าจะน้อยเพียงใดก็ยังเป็นคนจำนวนมหาศาลอยู่ดี ย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามเป็นธรรมดา ทว่าหากไม่เพราะพวกนางตบะ ฐานะสูง ผู้บำเพ็ญเพียรชายธรรมดาไม่กล้าอาจเอื้อม ก็เพราะบุปผามีเจ้าของแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรชายที่มอบกายให้ยิ่งไม่ใช่คนที่ผู้บำเพ็ญเพียรชายธรรมดาพวกนี้กล้าตอแยด้วย
โฉมของต้วนชิงเกอจัดอยู่ในชั้นแนวหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งพรรคเหยากวง ผู้บำเพ็ญเพียรชายพวกนี้พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว อดตะลึงในความงามดุจชาวสวรรค์ไม่ได้
ที่ยิ่งทำให้คนทนลงมือแทบไม่ไหวก็คือ ศิษย์น้องผู้นี้ตบะไม่สูง และยังเป็นศิษย์ฆราวาสอีกด้วย…
รอผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดลงบันทึกเสร็จ ภายใต้คำสั่งของผู้นำขบวนระดับก่อแก่นปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่กี่คนต่างอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออกมา พาศิษย์พวกนี้บินไปพรรคเหยากวง
ความคิดที่จะตามหาหลิวหลิงจือของมั่วชิงเฉินจึงได้ตกไป ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของอาวุธเวทเหินหาวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่อยากดึงความสนใจของคนอื่นอีก
อาวุธเวทรูปเรือทะลุผ่านชั้นเมฆ ท้องฟ้าดูแล้วยิ่งใสสะอาดขึ้นอีก ลมพายุและกระแสอากาศพวกนั้นถูกม่านป้องกันต้านไว้หมด ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ล่องไปตามลม ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีชีวิตรอดออกจากแดนลี้ลับส่วนใหญ่ล้วนได้ผลเก็บเกี่ยว พลางคิดถึงอนาคตที่สดใส จิตใจไม่ใช่ตุ้มๆ ต่อมๆ ที่ตอนที่มาจะเทียบได้
มั่วชิงเฉินก็ไม่ยกเว้น ไม่มีความรู้สึกทุ่มสุดตัว ไม่แน่ใจในอนาคตเหมือนยามมา จึงมีกะจิตกะใจมองลงไปข้างล่างจากบนเรือ
เทือกเขาสูงตระหง่านเรียงต่อกันสุดลูกหูลูกตา สายน้ำซัดสาด อีกทั้งมีทะเลสาบใหญ่น้อยเหมือนไข่มุกที่กระจายอยู่ บางทียังได้เห็นหมู่บ้านตัวเมือง คนที่มีขนาดเท่ามดกำลังคลื่นไหวอย่างช้าๆ ดูแล้วช่างเล็กกระจ้อยร่อย
คนพวกนี้ก็มีชีวิตของตัวเอง รักโลภโกรธหลง ความรักความแค้นพัวพัน ชื่อเสียงลาภยศ เพียงแต่ช่วงชีวิตหนึ่งกลับเหมือนการที่นางมองปราดหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เงยหน้า ก็ไม่รู้ว่าบนเมฆสีขาว มีมนุษย์ที่เหมือนเซียนกลุ่มหนึ่งนั่งเรือใหญ่กระบี่บิน บินผ่านไปโดยไม่หยุดสักนิด
แม้การบำเพ็ญเพียรยากลำบาก ต้องเผชิญอันตรายถึงแก่ชีวิตตลอดเวลา ทว่า มีประสบการณ์แสนวิเศษที่คนธรรมดาไม่มี ได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์มากมายปานนั้น วันหนึ่งอาจจะสามารถอาศัยความพลังของตนสะสางบุญคุณความแค้น อยู่อย่างตามใจ ต่อให้สุดท้ายคือการเข้าสู่วัฏสงสารหกภูมิ ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว มิใช่หรือ?
ทันใดนั้น สภาพจิตใจของมั่วชิงเฉินดูเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นเปิดทางที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ราวกับสามารถรับของที่มากยิ่งขึ้นได้
นางจมดิ่งอยู่ในความตระหนักที่อัศจรรย์นั้น ความคิดหนึ่งจู่ๆ ก็แล่นผ่านในใจอย่างงงๆ ในยามนี้ไม่สามารถดื่มสักหนึ่งจอก ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ
แต่แล้วจู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีพลังสายหนึ่งส่งผ่านมาจากด้านหลัง คนทั้งคนตกลงจากเรือบินลงไปตรงๆ
มั่วชิงเฉินตื่นจากภวังค์ในพริบตา แทบจะปล่อยเถาวัลย์โดยจิตใต้สำนึกพันไปที่กราบเรือ น่าเศร้าที่เรือบินเดินหน้าเร็วเหลือเกิน อีกทั้งนางยังตกลงมากะทันหัน พอออกห่างจากบริเวณของอาวุธเวทเหินหาวก็ไม่ได้รับการปกป้องจากม่านป้องกัน ลมที่รุนแรงพัดร่างกายของนางเหมือนใบไม้ร่วงปลิวลงไปข้างล่าง
“ศิษย์น้องชิงเฉิน!” เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ยามที่ต้วนชิงเกอตะโกนเหมือนใจจะขาด มั่วชิงเฉินก็ตกลงไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่เรือลำเดียวกันและอยู่บนอาวุธเวทโบยบินต่างโกลาหลขึ้นมา
แต่กลับเห็นเงาร่างสีเขียวอีกสายหนึ่งโฉบลงไปเหมือนดาวตก เร็วจนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณมองไม่ชัดว่าคืออะไร
จนกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรบนอาวุธเวทรูปใบไม้พบว่าคนบังคับอาวุธเวทหายไปแล้ว ถึงร้องด้วยความตกใจว่า “คืออาจารย์อาเยี่ย!”
“จื๊ดๆ ทีนี้ศิษย์น้องเยี่ยสร้างปัญหาใหญ่ให้นางหนูน้อยนั่นแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋พลางบังคับเรือบินพลางส่งเสียงทางจิตกับผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารก
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังน้ำเสียงไม่พอใจมากว่า “สร้างปัญหาให้นางอะไร ข้าว่ากลับเป็นนางที่ชอบสร้างปัญหาทุกครั้ง! แต่ศิษย์น้องเยี่ยสิ อยู่ดีๆ ไปช่วยนางหนูนั่นทำอะไร หรือว่าจริงที่ว่าเขา…”
“ศิษย์น้อง ข้าว่าหากเจ้าไปช่วยได้ เจ้ายังวิ่งเร็วกว่าศิษย์น้องเยี่ยอีกนะ อาวุธเวทเหินหาวของพวกเราไม่กี่คนนี้เป็นของทางสำนัก สามารถบังคับอาวุธเวทเหินหาวขนาดใหญ่เช่นนี้พาคนมากมายเพียงนี้บินไปด้วยก็ไม่เลวแล้ว มีเพียงอาวุธเวทเหินหาวของศิษย์น้องเยี่ยที่เป็นของเขาเอง อาวุธเวทที่จำเจ้านายใช้พลังวิญญาณน้อย ใช้ขึ้นมาคล่องแคล่วง่ายดาย นี่ถึงสามารถแยกตัวออกไปช่วยคน ข้อนี้กลับเป็นเจ้าที่คิดมากแล้ว?”ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยิ้มตาหยีแล้วส่งเสียงทางจิต
“ศิษย์พี่อู๋ นี่ท่านหมายความว่าเช่นไร หรือว่าข้ายังจะสนใจนางหนูน้อยคนหนึ่งหรืออย่างไร ข้าแก่กว่านางหกเจ็ดสิบปีเลยนะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกเอ่ยอย่างโมโห
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋คิดในใจในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรต่อให้แก่กว่าหลายร้อยปีก็ไม่มีปัญหา ปากกลับเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเจ้าคิดมากอีกแล้ว คนอย่างเจ้าปากร้ายใจดี ไม่ว่าศิษย์คนไหนตกลงไปขอเพียงช่วยได้ก็ต้องลงไปช่วยอยู่แล้ว เพียงแต่ท่าทางที่ศิษย์น้องเยี่ยที่มีต่อนางหนูนั่นก็ค่อนข้างแปลกจริงๆ เจ้าก็รู้ เขาแทบจะไม่พูดกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเลย”
“ข้าก็ว่าแล้ว ศิษย์น้องเยี่ยต้องมีปัญหาแน่นอน ทว่าพูดก็พูดเถอะ ข้าจำได้ว่าสมัยเด็กเขาไม่ได้ทั้งนิสัยเสียทั้งดื้อดึงเช่นนี้นี่นา” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าทารกเอ่ยเหมือนคนแก่
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถอนหายใจว่า “เขาก็ไม่มีทางเลือก มีญาติร่วมสายเลือดอยู่ระดับก่อกำเนิดคนหนึ่ง ตนก็เข้าระดับสร้างรากฐานระยะกลางตั้งแต่อายุสามสิบ สวมหัวโขนของอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งพรรคเหยากวง ที่ยิ่งหายากกว่านั้นคือมีร่างหยางบริสุทธิ์ที่พันปีจะได้เจอสักครั้ง หากได้ผสานกับเขา ไม่พูดถึงฐานะที่สูงศักดิ์ ตัวผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นเองก็ได้อาศัยร่างหยางบริสุทธิ์นี้เพิ่มตบะขึ้นอย่างรวดเร็ว ขนาดท่าทางเขาในยามนี้เป็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพวกนั้นยังแห่กันวิ่งเข้าใส่ หากอ่อนโยนใส่พวกนางละก็ เขายังจะมีทางรอดหรือ”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่กี่คนพาศิษย์ทั้งหลายเดินหน้าต่อ ไม่กังวลเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่นำขบวนนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของอาวุธเวทเหินหาวอย่างสงบ ดูเหมือนเข้าฌานแล้ว
สูญเสียการปกป้องจากม่านป้องกัน มั่วชิงเฉินที่มีเพียงตบะระดับหลอมลมปราณถูกกระแสอากาศกลางอากาศอัดจนร่างกายเจ็บปวดรุนแรง ต้องเคลื่อนพลังวิญญาณมาฝืนต้านไว้ถึงได้รอดจากวิกฤติถูกลมฉีกร่างกายออก ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนยังสามารถได้ยินเสียงกระดูกในร่างกายดังกร๊วบๆ
ตาเห็นร่างกายตกลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณในร่างก็หมดไปอย่างรวดเร็วอีก ดูเหมือนจะหลบไม่พ้นจุดจบของการที่ร่างกายแหลกเหลวซะแล้ว
มั่วชิงเฉินหลับตาลง บอกไม่ถูกว่ายามนี้รู้สึกเช่นไร เมื่อครู่ยังเป็นหนทางที่สดใสรอนางอยู่ เพียงพริบตาก็ชีวิตน่าเป็นห่วงซะแล้ว หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมายากจะคาดเดาจริงๆ
แต่แล้วในชั่วพริบตาที่พลังวิญญาณกำลังจะเหือดแห้งนั้นกลับตกเข้าสู่อ้อมกอดที่ร้อนแรงอันหนึ่ง มั่วชิงเฉินที่ใจเต้นเหมือนฟ้าร้องลืมตาขึ้นในบัดดล เบื้องหน้าคือใบหน้าคมสันหน้าหนึ่ง
มั่วชิงเฉินถูกพลังวิญญาณของเยี่ยเทียนหยวนป้องกันไว้ ความรู้สึกไม่สบายหายไปมาก ทว่าความรู้สึกประหลาดที่รุนแรงยิ่งขึ้นกลับถาโถมมาเหมือนน้ำขึ้น ในยามที่ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนอ่อนแอยิ่งเช่นนี้ พลังในการยับยั้งชั่งใจตนเองลดลงอย่างมาก นางยื่นมือโอบเอวของคนคนนั้นไว้อย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ ร่างกายแนบชิดกับตัวเขา
เยี่ยเทียนหยวนสะดุ้ง ไม่ได้อาละวาดอย่างผิดคาด แต่กลับกอดคนในอ้อมกอดไว้แน่นยิ่งขึ้น
กระแสไฟเสียวซ่านชาๆไหลไปทั่วร่างมั่วชิงเฉิน พลังวิญญาณที่พรั่งพรูในร่างกายไม่มีที่ระบาย เพลิงแท้สีฟ้าที่จุดตันเถียนมอดไหม้ขึ้น นางที่สูญเสียสติสัมปชัญญะลืมการสงวนท่าทีจนสิ้น กอดคนนั้นไว้แน่น ริมฝีปากสีแดงประทับไปบนริมฝีปากที่บางและเย็นเฉียบของเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนหลบโดยจิตใต้สำนึก ริมฝีปากที่อุ่นและนุ่มยื่นเข้ามาใกล้อีก ในที่สุดเขาก็ไม่ปฏิเสธอีกแล้ว ตักตวงความอุ่นนุ่มที่ส่งมาอย่างร้อนแรง ลิ้มรสความหวานของนาง
ในยามนี้ สติสัมปชัญญะ ศีลธรรม ความอายทั้งหมดล้วนจากมั่วชิงเฉินไปไกล นางรู้สึกได้เพียงความอัศจรรย์ของรสชาติเช่นนี้ อัศจรรย์จนนางลืมว่าตัวอยู่ที่ใด และกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เสียงครางละเอียดยิบถูกเขาดักไว้ระหว่างริมฝีปาก ท่ามกลางความมืดฟ้ามัวดินมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าใต้เท้าหยุดกึก ในที่สุดทั้งสองคนก็ตกถึงพื้นแล้ว
มั่วชิงเฉินยังไม่ทันได้สติคืนมา ร่างกายก็ถูกผลักอย่างแรงล้มลงกับพื้น เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นเยียบจนคนตัวสั่นงันงก ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าใช้วิชามารอะไรกันแน่?”