คำพูดร้ายกาจดุจดาบสองคม
คำพูดเย็นดุจน้ำแข็งเข้าไปในหูมั่วชิงเฉินทีละคำ ราวกับถูกเฆี่ยนด้วยแส้ที่แช่ในน้ำเกลือ หัวใจบีบรัดแน่น เจ็บ
ถูกเยี่ยเทียนหยวนจ้องมองจากด้านบน มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อนเป็นไฟน่าอึดอัดใจ แต่กลับแก้ตัวไม่ออกสักคำเดียว
ความจริงก็อยู่ตรงหน้า นางเป็นฝ่ายไปกอดเขาจูบเขา หรือจะให้นางพูดว่าข้าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับท่านเลย เพียงแต่ควบคุมร่างกายของตนไม่ได้เท่านั้นเองเช่นนั้นหรือ?
เห็นมั่วชิงเฉินก้มหน้าไม่พูดสักคำ เสียงอันเย็นชาของเยี่ยเทียนเหยียนแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดจึงไม่พูด หรือว่า…หรือว่าเจ้าเป็นสายลับของนิกายเหอฮวนหรือพรรคมาร?”
พูดจบเขาก็นั่งยองๆ ลงมา ยื่นมือจับข้อมือของมั่วชิงเฉินตรวจสอบขึ้นมา ผ่านไปชั่วครู่ก็ปล่อยออก ใบหน้าฉายแววประหลาด ดูเหมือนคิดอะไรไม่ตก
ความอัปยศอดสูอย่างยิ่งยวดพุ่งขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน นางจะเสกคาถามารอะไรได้ เมื่อเข้าใกล้เขาตนก็เปลี่ยนไปอย่างประหลาดบอกไม่ถูก นางยังรู้สึกว่าเป็นเขาต่างหากที่เสกคาถามารใส่นางน่ะ!
ก็เพียงเพราะว่าตนฐานะต่ำต้อย ตบะต่ำ เขาดูแล้วตนกับเขาต่างกันราวฟ้าดิน ดังนั้นจึงคิดโดยปริยายว่าตนใช้วิธีสกปรกเพราะใฝ่สูงอยากเกาะเขา
ฝืนทนความไม่สบายของร่างกาย มั่วชิงเฉินยันมือกับพื้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าว่า “เรียนท่านอาจารย์อา ผู้น้อยเป็นศิษย์ที่เพิ่งอยู่ระดับหลอมลมปราณ ไม่รู้คาถามารอะไร หากอาจารย์อาไม่มีสิ่งใดจะสั่งแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
พูดจบมั่วชิงเฉินหันหลัง ยกเท้าเดินไปข้างหน้า
“หยุดก่อน!” เสียงผู้ชายดังมาจากด้านหลัง
มั่วชิงเฉินหยุดเดิน แต่กลับไม่หันหลังไป
“เจ้าคิดจะไปไหน?” เยี่ยเทียนหยวนถาม
“ผู้น้อยย่อมต้องกลับพรรคเหยากวงอยู่แล้ว หากอาจารย์อาไม่มีสิ่งใดสงสัย ผู้น้อยขอล่วงหน้าไปก่อนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ รู้สึกมีของบางอย่างพุ่งขึ้นคอหอย จึงรีบเม้มปากแน่น แล้วเดินต่อไปยังข้างหน้า
มองดูแผ่นหลังที่ยืดตรงของหญิงสาว แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น จู่ๆ เหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนก็แวบผ่านสมองเยี่ยเทียนหยวน เพียงขยับตัวเขาก็มาถึงข้างหน้านาง จับนางแล้วกระโดดขึ้นกระบี่บิน กลายเป็นแสงสายหนึ่งหายวับไปในขอบฟ้า
กระบี่บินนี่เป็นอาวุธเวทเหินหาวธรรมดา ย่อมเทียบไม่ได้กับอาวุธเวทเหินหาวรูปใบไม้ของเยี่ยเทียนหยวนเป็นธรรมดา ทั้งสองคนจนถึงยามอาทิตย์อัสดงถึงเร่งมาถึงพรรคเหยากวง
“นั่นอาจารย์อาเยี่ยนี่!” เห็นเยี่ยเทียนหยวนพาหญิงสาวนางหนึ่งขี่กระบี่บินโฉบผ่าน ศิษย์ที่รักษาประตูร้องออกมาด้วยความตกใจ
ระหว่างทางมีศิษย์ไม่น้อยเงยหน้าขึ้นดู แล้ววิจารณ์ขึ้นมาไม่ขาดสาย
“ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ อาจารย์อาเยี่ยถูกใจศิษย์หญิงฆราวาสธรรมดาคนหนึ่ง” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งพูดอย่างได้ใจ หากมีคนคุ้นเคยก็จะรู้ว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งกลับจากหุบเขาโยวเล่อเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ ตกใจจนเบิกตาโต “ไม่คิดว่าข่าวลือจะเป็นจริง ข้ายังนึกว่าเป็นแค่คำเล่าลือแน่ะ…”
“ฮือๆๆ ที่แท้ที่ศิษย์พี่จางพูดเป็นความจริง มีปีศาจจิ้งจอกเกาะแกะอาจารย์อาเยี่ยจริงๆ ด้วย” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งปิดหน้าร้องไห้
เพราะว่าเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินขี่กระบี่เล่มเดียวกันกลับมา ด้วยเหตุนี้คำเล่าลือที่ลือมาจากศิษย์ที่กลับมาจากแดนลี้ลับยิ่งดูน่าเชื่อถือขึ้น ในเวลาสั้นๆ ข่าวลือหลากหลายรูปแบบกระจายไปทั่วพรรคเหยากวงด้วยความเร็วที่เร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก
ยามนี้มั่วชิงเฉินยังไม่รู้ ว่าคลื่นลมที่เกิดจากเยี่ยเทียนหยวนครั้งนี้ไม่ได้ผ่านไป ตรงกันข้ามกลับยิ่งลือยิ่งใหญ่โต
เยี่ยเทียนหยวนบังคับกระบี่บินไปถึงสถานที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งที่เขาชิงมู่ถึงร่อนลงมา เพิ่งร่อนลงก็โยนมั่วชิงเฉินลงไปเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน เหยียบอยู่บนกระบี่บินพูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีแผนการอะไร ต่อไปห้ามเข้าใกล้ข้าอีก มิเช่นนั้น…”
พูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่อ แต่เหยียบกระบี่บินหันหลังจากไป
มั่วชิงเฉินมองดูผู้ชายที่เหยียบกระบี่จากไปไกลอย่างเย็นชา ผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ ก็กระอักเลือดออกมา นางลุกขึ้นเช็ดมุมปากอย่างไม่แยแส เดินไปทางที่พำนักของต้วนชิงเกอช้าๆ
อาจารย์อาเยี่ย คำพูดของท่านข้าจำไว้แล้ว!
เยี่ยเทียนหยวนร่อนลงที่เขาโฮ่วเต๋อ เดินเข้าโถงประชุมส่งมอบภารกิจ
เห็นเยี่ยเทียนหยวนเข้ามา ผู้เฒ่าที่นั่นอยู่ในโถงรีบลุกขึ้นมา ยิ้มว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
ผู้เฒ่ามีตบะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย กับเยี่ยเทียนหยวนย่อมเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเป็นธรรมดา
“ศิษย์พี่เห่า นี่เป็นข้อมูลที่บันทึกในภารกิจครั้งนี้ นี่คือผลเก็บเกี่ยวของภารกิจ” เยี่ยเทียนหยวนยื่นคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งและถุงเก็บวัตถุใหญ่ๆ น้อยๆ ข้ามไป
ทั้งสองคนส่งมอบป้ายภารกิจและสิ่งของกันแล้ว ผู้เฒ่าวางของไว้ข้างๆ อีกประเดี๋ยวยังต้องตรวจของในถุงทีละใบตามข้อมูลที่บันทึกไว้ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำเสร็จได้ในเวลาสั้นๆ
“ศิษย์น้อง นี่คืออาวุธเวทเหินหาวของเจ้า อาจารย์อาฝูหมิงสั่งข้ามอบให้เจ้า” ผู้เฒ่ายื่นใบไม้สีมรกตยาวสองนิ้วกว่าใบหนึ่งข้ามไป
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือรับแล้วเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่เห่าข้าขอตัวก่อน”
“แค่กๆ ศิษย์น้องเยี่ย ได้ยินว่าเพราะช่วยคนจึงทำให้เจ้าเสียเวลา ศิษย์หญิงคนนั้น…ช่วยกลับมาได้หรือไม่?” ผู้เฒ่าถามอย่างระมัดระวัง กลับปิดบังไฟแห่งการซุบซิบในตาไม่มิด
เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว ท่าทางกลับไม่รังเกียจเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ลำบากศิษย์พี่เห่าต้องเป็นห่วงแล้ว ย่อมต้องช่วยกลับมาได้อยู่แล้ว”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนหันหลังจากไป ผู้เฒ่าจึงได้แต่กลืนคำพูดที่จะพูดต่อลงไป
เพิ่งถึงหน้าประตู ผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างท้วมคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา เห็นเยี่ยเทียนหยวนแล้วสีหน้าตื่นเต้นมาก อ้าปากถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากลับมาแล้ว เป็นเช่นไร ศิษย์หญิงคนนั้นช่วยกลับมาได้หรือไม่?”
เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งทันที มองเขาปราดหนึ่งแล้วเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างท้วมลูบศีรษะ เดินเข้าไปว่า “ศิษย์พี่เห่า ศิษย์น้องเยี่ยเขาเป็นอะไรหรือ ปกติเพียงแต่พูดจาไม่ไว้หน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมิใช่หรือ เหตุใดไม่เห็นหน้าสิบกว่าวันก็กินเรียบทั้งชายทั้งหญิงแล้วล่ะ?”
ฟังคำพูดชอบกลของผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ ผู้เฒ่าฝืนกลั้นหัวเราะว่า “ศิษย์น้องซุน เจ้าก็อย่างครุ่นคิดอีกเลย รีบช่วยข้าทำงานเถอะ”
พูดพลางชี้ถุงเก็บวัตถุและม้วนคัมภีร์ที่อยู่ข้างๆ ในใจแอบคิดว่า ช่วยไม่ได้ ใครให้เด็กนี่เป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อนล่ะ!
เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งกลับถึงยอดเขาหลักของเขาหลิวหั่ว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแต่งตัวเหมือนสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาคำนับว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเจินจวินเชิญท่านไปที่ที่พำนักของท่านเจ้าค่ะ”
ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเยี่ยเทียนหยวนกลับมาท่าทางเป็นคนไม่คุ้นเคยอย่าเข้าใกล้อีกครั้ง เดินเข้าไปในตำหนักโดยไม่พูดสักคำ
ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงสีหน้าอิ่มเอิบ ส่วนหน้าของศีรษะเป็นเงาวาว คาดไม่ถึงว่าจะศีรษะล้านด้านบน!
เขากำลังถือพัดสานขาดๆ อันหนึ่งโบกพัดเป็นครั้งคราว เห็นเยี่ยเทียนหยวนเข้ามายังไม่รอเขาพูดอะไร ก็ยิ้มตาหยีเปิดปากว่า “เทียนหยวน เจ้ามานี่”
เยี่ยเทียนหยวนชะงัก
“มานี่ รีบมานี่เร็ว” ชายศีรษะล้านใช้พัดสานขาดๆกวักเรียกเขา
เยี่ยเทียนหยวนฝืนเดินเข้าไป คำนับว่า “ท่านปู่ทวด”
ผู้บำเพ็ญเพียรศีรษะล้านคนนี้ ก็คือเสวียนหั่วเจินจวินเจ้าหุบเขาแห่งเขาหลิวหั่ว ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้สง่างาม
บัดนี้เขาอายุนับพันปีแล้ว เยี่ยเทียนหยวนที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบปีจึงบอกไม่ถูกแล้วว่าเป็นหลานรุ่นที่เท่าไรของเขาแล้ว
ตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนหยวนถูกเขาพามาพรรคเหยากวงลงมือสั่งสอนด้วยตนเอง เพียงแต่ติดที่ตบะ แม้จะเรียกเสวียนหั่วเจินจวินว่าปู่ทวด กับผู้บำเพ็ญเพียรอื่นกลับเรียกตามเขตแดน รอเพียงถึงเวลาทะลวงระดับก่อแก่นปราณจะได้รับไว้เป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างถูกต้อง
นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งพรรคเหยากวงต่างรู้กัน ดังนั้นต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ต้องเกรงใจเยี่ยเทียนหยวนสามส่วน ต้องรู้ว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทุกคนจะมีคุณสมบัติได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด
“แหะๆ ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าช่วยนางหนูน้อยคนหนึ่งไว้ ยังได้ยินว่า…” เปิดปากอีกที ภาพพจน์ของอาวุโสผู้สูงส่งหายไปไม่เหลือหลอ สีหน้าดูแล้วยังตื่นเต้นกว่าผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างท้วมที่พบที่โถงประชุมของเขาโฮ่วเต๋ออีก
ข้าว่าแล้ว!
เยี่ยเทียนหยวนแอบกัดฟัน สีหน้ายิ่งบึ้งขึ้นอีกว่า “ท่านปู่ทวด หากไม่มีอะไร เทียนหยวนขอตัวก่อนขอรับ!” พูดจบหันหลังเดินออกไป
“เฮ่อ เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ” เห็นเยี่ยเทียนหยวนจากไปเหมือนไม่ได้ยิน เสวียนหั่วเจินจวินส่ายศีรษะ พึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่ นอกจากบำเพ็ญเพียรแล้วเหตุใดเรื่องอื่นๆ ถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ?”
ผ่านไปเนิ่นนาน ถอนหายใจว่า “บำเพ็ญเพียรเร็วเกินไป สำหรับเขาแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องดี…”
ส่วนเพราะสาเหตุอะไร สุดท้ายยังคงซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสีหน้าที่คลุมเครือไม่ชัดเจนของเขา
มั่วชิงเฉินเดินโซซัดโซเซช้าๆ มาถึงหน้าประตูลานบ้าน ผลักประตูเข้าไปก็เห็นต้วนชิงเกอท่าทางร้อนรน เดินไปเดินมาไม่หยุดอยู่ในลานบ้านพอดี ต่างกับท่าทางอ่อนโยนใจเย็นเวลาปกติราวกับคนละคน
มั่วชิงเฉินเกิดอบอุ่นในใจ เรียกว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ”
ต้วนชิงเกอรีบเงยหน้าขึ้น วิ่งมาด้วยความยินดีว่า “ศิษย์น้อง ดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมาแล้ว! แม้คนอื่นต่างบอกว่าอาจารย์อาเยี่ยไปช่วยเจ้า ต้องไม่เป็นไรแน่นอน ทว่าในใจข้ายังคงตุ้มๆ ต่อมๆ”
ได้ยิน ‘อาจารย์อาเยี่ย’ สามคำ มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ต้วนชิงเกอเฉลียวฉลาดปานใด ไม่ล้อนางเล่นเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว ตรงกันข้ามกลับกลืนคำถามทั้งหมดลงไปว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย?”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บเพราะกระแสปั่นป่วนในอากาศ พักฟื้นสักระยะก็หายแล้ว ถูกแล้ว โอสถสร้างรากฐานแจกหรือยัง?”
ต้วนชิงเกอพลางพยุงมั่วชิงเฉินเข้าไปในห้องพลางเอ่ยว่า “จะเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องจดบันทึกข้อมูลตรวจสอบสิ่งของ ตามระเบียบเทียบจำนวนที่จะแจกให้แต่ละคน จากนั้นยังต้องเปิดเตาหลอมโอสถ ค่อยดูตามจำนวนโอสถสร้างรากฐานที่หลอมออกมาได้ตัดสินขอบเขตในการแจก มีสมุนไพรทิพย์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนเก็บได้ถ้ายามปกติอาจแลกเป็นโอสถสร้างรากฐานไม่ได้ ทว่าหากโชคดีครั้งนี้ได้โอสถปริมาณมากละก็ ก็อาจได้รับแบ่งสักหนึ่งเม็ด”
“ศิษย์พี่ชิงเกอ ข้าพบว่าเจ้าช่างรู้เรื่องมากมาย” มั่วชิงเฉินถอนหายใจ
ต้วนชิงเกอเม้มปากยิ้มว่า “นี่มีอะไรน่าแปลก ในสามปีที่เจ้ากักตนบำเพ็ญเพียร ข้าไปทำภารกิจบ่อยๆ นะ ย่อมได้ยินข่าวคราวมากมายเป็นเรื่องธรรมดา”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วยิ้มระทมว่า “จำได้ว่าปีนั้นตบะเจ้ายังต่ำกว่าข้าเล็กน้อย ทว่าสองสามปีนี้ทำภารกิจมากมายเช่นนั้น ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรกลับเร็วกว่าข้าเสียอีก ความรู้ก็กว้างไกลไปมาก”
ต้วนชิงเกออ้าปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
มั่วชิงเฉินก็ไม่ใส่ใจ ใครไม่มีความลับของตนบ้างล่ะ ศิษย์พี่ที่ละมุนอ่อนโยนผู้นี้ในเรื่องการบำเพ็ญเพียร ต้องมีที่ที่ไม่เหมือนผู้อื่นที่ให้คนรู้ไม่ได้เป็นแน่ นี่ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจไล่ถามได้
ผ่านไปห้าหกวัน ภายใต้การหล่อเลี้ยงของโอสถ อาการบาดเจ็บของมั่วชิงเฉินกลับเป็นปกติ เมื่อคิดได้ว่าอาศัยอยู่ที่ต้วนชิงเกอนี่ไม่ใช่แผนในระยะยาว จึงร่ำลาต้วนชิงเกอ
ต้วนชิงเกอลังเลครู่หนึ่งว่า “ศิษย์น้อง ครั้งนี้เจ้าตกจากอาวุธเวทอย่างน่าสงสัย หลังจากกลับไปแล้วต้องระวังตัวให้มาก”
“ข้ารู้” มั่วชิงเฉินพยักหน้า แล้วเสกคาถาเหยียบลมจากไป
เพิ่งก้าวเข้าลานบ้านได้หนึ่งก้าว ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกันชะงักทีหนึ่งก่อน จากนั้นคนหนึ่งในนั้นรีบยกมือขึ้น แสงทองสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป
มั่วชิงเฉินมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นอย่างสงสัย ถามเสียงเย็นชาว่า “เหตุใดเจ้าเห็นข้าแล้วจึงปล่อยยันต์ส่งสาร?”