ต่อให้ยอมอ่อนข้อก็ยากจะรักษาการใหญ่
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ร่วมลานบ้านกับมั่วชิงเฉิน ทั้งหมดมีสามคน นอกจากหูเยียนหรานที่ถูกนางฆ่าแล้ว อีกสองคนเพราะตบะไม่ถึง จึงไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบของหุบเขาโยวเล่อครั้งนี้
เพราะว่ามั่วชิงเฉินเลื่อนขึ้นมาจากศิษย์จิปาถะเมื่อก่อนสองคนนี้จึงมีใจดูถูก ไม่ค่อยคุยกับนางนัก
พอดีกับมั่วชิงเฉินก็ชอบที่ได้อยู่อย่างสงบ รักษาระยะห่างกับพวกนาง การพูดจาเสียงร้ายกาจแบบนี้ ในหลายปีนี้ยังถือเป็นครั้งแรก
มั่วชิงเฉินที่ผ่านการเข่นฆ่า เดินออกจากแดนลี้ลับตะโกนถามแบบนี้ จึงมีพลานุภาพที่มองไม่เห็น ทำให้สองสาวชะงักทันที
ผ่านไปชั่วครู่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ปล่อยยันต์ส่งสารถึงเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าปล่อยอะไร เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
เห็นปฏิกิริยาของนาง มั่วชิงเฉินยิ่งแน่ใจว่าต้องมีปัญหา
ตนไม่ได้กลับมานานถึงเพียงนี้ เพิ่งโผล่หน้ามานางก็ปล่อยยันต์ส่งสาร เช่นนั้นจะต้องแจ้งคนอื่นเป็นแน่ ดูจากสีหน้าของพวกนางแล้ว เห็นชัดว่าคนที่ถูกแจ้งไม่ใช่สหายของนาง ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่มาอยู่พรรคเหยากวงนอกจากต้วนชิงเกอแล้ว นางก็ไม่มีสหายอะไรจริงๆ
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินไม่พูดสักคำ หันหลังวิ่งออกไป
“เอ๊ะ เจ้าไปไม่ได้!” ผู้บำเพ็ญเพียรข้างหลังเรียกอย่างร้อนรน เห็นมั่วชิงเฉินไม่ยอมหยุดแม้แต่น้อย สองสาวจึงรีบไล่ตามไป
มั่วชิงเฉินวิ่งออกไปไม่กี่สิบจั้ง ก็มีแสงสายหนึ่งวาดผ่านขอบฟ้า ตามด้วยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งกระโดดลงจากอาวุธเวท ขวางอยู่หน้ามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหยุดเท้าโดยพลัน มองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตรงหน้า
เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้เกล้าผมทรงเมฆาสูง ตารูปหงส์เป็นประกาย ใส่ชุดกระโปรงยาวชาววังสีแดง เผยคอระหงขาวดุจหิมะ กระดูกไหปลาร้าอันประณีตวับๆ แวมๆ ภายใต้ผ้าแพรบาง
“นางก็คือมั่วชิงเฉินคนนั้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตาหงส์จ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง คิ้วโก่งขมวดแน่น กลับถามผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เร่งรีบวิ่งมาข้างหลังสองคน
“เรียนอาจารย์อา คือนางเจ้าค่ะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหนึ่งในนั้นหอบหายใจว่า ในใจแอบว่าเหตุใดตบะพอๆ กันแท้ๆ นางกลับวิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก
ได้ยินคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังส่ายสายตาจ้องมั่วชิงเฉินไว้อีกครั้ง หยุดอยู่บนใบหน้านางชั่วครู่ แล้วหัวเราะฟู่ว่า “หึ ข้ายังนึกว่าจะสวยหยาดฟ้ามาดินสักเพียงไหน ที่แท้ก็เป็นนางหนูกะโปโลคนหนึ่ง!”
มั่วชิงเฉินแน่ใจว่าตนไม่รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตรงหน้า ทว่านางอุตส่าห์วางแผนถึงเพียงนี้เพื่ออยากพบตน ตกลงเพราะอะไรกันแน่ ช้าก่อน คงไม่ใช่ความยุ่งยากที่คนคนนั้นนำมาให้หรอกนะ…
เห็นนางหนูน้อยที่ยังละอ่อนยืนตัวตรงสง่าต่อหน้าตน เสื้อเขียวที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร กลับขับนางจนดูเหมือนต้นหลิวอ่อนที่เพิ่งแตกหน่อ ในใจผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังรู้สึกหงุดหงิดแวบหนึ่ง จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เป็นเช่นไร เห็นข้าก็ไม่ทำความเคารพเช่นนั้นหรือ ช่างเป็นนางหนูป่าเถื่อนที่ใช้หน้าตายั่วยวนคนตามคาดจริงๆ ไม่รู้ระเบียบ!”
คำพูดนี้ลบหลู่คนยิ่งนัก มั่วชิงเฉินที่ใจเย็นมาตลอดโมโหจนตัวสั่น หรือว่าหญิงแก่นี่กับเจ้าสารเลวนั่นเป็นพวกเดียวกัน เหตุใดต่างพูดกับตนเช่นนี้!
พอคิดเช่นนี้แล้ว อดยิ่งโมโหคนผู้นั้นขึ้นมาไม่ได้ บัดนี้นางแน่ใจได้แล้วว่า หญิงสาวนี่ต้องมาถามหาความรับผิดชอบตนเพราะเขาแน่นอน
ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินยังคงคำนับหนึ่งทีว่า “ท่านผู้อาวุโส”
ความแตกต่างของตบะวางอยู่ตรงนี้ นางไม่ก้มศีรษะไม่ได้
“ท่านผู้อาวุโส?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังทวนคำพูดซ้ำหนึ่งรอบ เอ่ยอีกว่า “เจ้าไม่ได้ยินพวกนางเรียกอย่างไรหรือ?”
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง สายตาจ้องไปบนพื้น “เรียนท่านผู้อาวุโส มีเพียงสำนักเดียวกัน ผู้น้อยถึงกล้าเรียกอาจารย์อา”
กฎของพรรคเหยากวง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าก่อแก่นปราณจำเป็นต้องใส่ชุดของสำนัก ไม่ว่าใครจะฐานะพิเศษเพียงใดก็ไม่อาจละเมิดกฎได้
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ตบะอยู่ระดับสร้างรากฐาน กลับแต่งตัวด้วยชุดชาววัง มั่วชิงเฉินกล้ามั่นใจว่านางไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง เรียกว่าผู้อาวุโส อย่างไรก็ไม่ควรถูกหาข้อผิดพลาดได้
ทว่าหากสำนักที่ทั้งสองคนอยู่ความสัมพันธ์ดีต่อกัน ตบะก็ใกล้เคียงกันละก็ การเรียกศิษย์พี่น้องด้วยความเกรงใจก็ย่อมทำได้
ต่อให้มั่วชิงเฉินไม่สนใจเรื่องโลกภายนอกอย่างไร ความรู้พื้นฐานเรื่องมารยาทเช่นนี้อย่างไรก็ยังมี
พูดกลับมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์พรรคเหยากวง เหตุใดสามารถเข้าออกอย่างอิสระ และยังโอหังถึงเพียงนี้?
ระหว่างที่มั่วชิงเฉินรีบใช้ความคิดอยู่ กลับรู้สึกมีลมสายหนึ่งซัดมา นางเสกคาถาเหยียบลมโดยไม่รู้ตัว ฝีเท้าก้าวถอยหลังไป กลับได้ยินเสียง ‘เพียะ’ เสียงหนึ่งดังขึ้น แก้มซ้ายเจ็บปวดแสบปวดร้อนในทันใด
“เหตุผลข้างๆ คูๆ วาจาคมคายนัก เจ้าก็คือใช้คำพูดไพเราะเสนาะหูพวกนี้ทำให้ศิษย์พี่เยี่ยหลงใหลใช่หรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเอ็ดเสียงดุดัน
ค่อยๆ มีศิษย์ที่เดินทางผ่านไปผ่านมาเริ่มมุงดู ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย เพียงแต่ปล่อยพลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกดดันมั่วชิงเฉิน
ดีที่มั่วชิงเฉินจิตสัมผัสค่อนข้างแข็งแกร่งมาแต่กำเนิด ตอนที่อยู่ในแดนลี้ลับก็เคยสู้เป็นสู้ตายกับอสูรปีศาจชั้นสองที่มีตบะเทียบเท่าระดับสร้างรากฐานระยะต้น จึงไม่ถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นภายใต้แรงกดดันตามที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้คาดไว้ ในทางกลับกันกลับยืดหลังตรง
“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่ใกล้พูดจาข้างๆ คูๆ ยิ่งไม่ได้เกาะแกะท่านอาจารย์อาเยี่ยเหมือนที่ท่านว่ามาเช่นนั้น…”
มั่วชิงเฉินยังพูดไม่จบ เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นอีกที แก้มข้างขวาแดงบวมขึ้นมาเช่นกัน
“ศิษย์น้องผู้นี้เหตุใดจึงไปตอแยกับท่านอาจารย์อาระดับสร้างรากฐานล่ะ?” ศิษย์ที่มุงดูอยู่มีคนหนึ่งแอบถามขึ้น
“คนผู้นั้นไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง” ศิษย์อีกคนหนึ่งกล่าว
คนที่ถามก่อนหน้าร้องอย่างตกใจว่า “อะไรนะ ไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง คาดไม่ถึงเลยว่าจะโอหังเพียงนี้?”
อีกคนหนึ่งรีบกระตุกเขาทีหนึ่งว่า “เจ้าเสียงเบาหน่อย ถูกได้ยินเข้าจะโชคร้ายนะ แม้นางไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง ทว่าฐานะไม่ธรรมดา อย่าว่าแต่อาจารย์อาพวกนั้น แม้แต่ท่านปรมาจารย์พบเข้าก็ต้องยอมให้สามส่วน”
“เพราะเหตุใดล่ะ?”
อีกคนหนึ่งค้อนเขาปราดหนึ่งว่า “ข้าถึงว่าเจ้าอย่าเอาแต่บำเพ็ญเพียรอย่างโง่ๆ คนผู้นี้เป็นหลานสาวของเจ้าหุบเขาเขารั่วสุ่ย ได้ยินมาว่าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักรั่วสยา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ตามอาจารย์อาเยี่ยกลับมาเมื่อหลายปีก่อนก็คือนาง!”
“หา ที่มาใหญ่โตเพียงนี้ เช่นนั้นเหตุใดศิษย์น้องผู้นั้นยังกล้าไปตอแยด้วยล่ะ หรือว่าอยากตาย?” คนก่อนหน้าสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง
อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้านี่บำเพ็ญเพียรจนโง่แล้วจริงๆ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินว่าอาจารย์อาเยี่ยชอบแม่นางน้อยเข้าคนหนึ่งหรือไร คิดว่าก็คือศิษย์น้องผู้นี้แล้ว ท่านผู้อาวุโสผู้นั้นร้ายกาจนักแล ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมากมายที่เกาะแกะอาจารย์อาเยี่ยล้วนถูกนางจัดการมาก่อน เอาล่ะ เจ้ารีบดูเถอะ”
“ท่านผู้อาวุโส หากท่านไม่เชื่อ เหตุใดไม่ไปถามอาจารย์อาเยี่ยเองเจ้าคะ เหตุใดต้องทำให้ศิษย์ระดับหลอมลมปราณเช่นผู้น้อยต้องลำบากใจด้วย?” มั่วชิงเฉินพยายามอดทนไว้ไม่ให้ลงมือ อย่าว่าแต่ตนไม่ใช่คู่มือของเขาเลย คำวิจารณ์ของคนที่มุงดูเมื่อครู่ ล้วนถูกนางได้ยินหมดแล้ว
ตนเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตบะต่ำต้อยไม่มีที่พึ่งคนหนึ่ง หากสู้กับนางขึ้นมา ต่อให้นางฉวยโอกาสฆ่าตนเสีย ก็ไม่มีคนออกหน้าแทนตน ต่อให้นางไม่ลงมือฆ่าแกงกัน ขอเพียงประมือกัน เกรงว่าผลสุดท้ายคนที่ถูกลงโทษก็ยังคงเป็นตนเองอยู่ดี
หรือว่า นี่ก็คือแผนของนาง?
เสียงเพียะๆ ดังขึ้นอีกสองเสียง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงเห็นดาวตรงหน้า ฝีเท้าโซเซไปทีหนึ่ง
“ข้าจะดูเจ้ายังจะปากแข็ง…”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังขยับตัวอีก กลับได้ยินเสียงหนึ่งว่า “ศิษย์น้องหรวน ได้โปรดยั้งมือด้วย”
ทุกคนมองไป เห็นเพียงผู้ชายดูแล้วอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งเดินเข้ามา ตาเล็กจนดูไม่ออกว่าลืมอยู่หรือหลับอยู่ คือศิษย์ผู้ดูแลที่ปีนั้นพามั่วชิงเฉินขึ้นเขาชิงมู่นั่นเอง
“เจ้าเป็นใคร?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังยกคิ้วว่า กลับไม่ได้เก็บงำพลานุภาพเพราะคนที่มามีตบะสูงกว่าตนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง
คนที่มาบ่นในใจว่า พรรคเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลายร้อยคน เจ้าเป็นคนนอกคนหนึ่งไม่รู้จักก็เป็นเรื่องธรรมดา กลับเป็นแม่เจ้าประคุณรุนช่องท่านนี่สิชื่อเสียงด้านความโอหังในพรรคเหยากวงข้ากลับไม่มีคนไม่รู้จัก ปากกลับเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ศิษย์น้องหรวน ข้าแซ่เฉียน เป็นศิษย์ผู้ดูแลของเขาชิงมู่ ไม่ทราบนางหนูที่ไม่รู้ความนี่ไปทำอะไรให้ศิษย์น้องโกรธ หากมีที่นางทำไม่ถูก ศิษย์น้องต้องบอกข้านะ ข้าต้องมอบนางให้ศิษย์พี่ที่โถงลงทัณฑ์ ให้ลงโทษอย่างสาสมแน่นอน”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังถลึงตาหงส์ ฮึเสียงเย็นว่า “เป็นเช่นไรล่ะ ข้าก็คิดจะสั่งสอนนางหนูน้อยนี่กับมือ ไม่ได้หรืออย่างไร?”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนโกรธอยู่ในใจ ไม่คิดว่าหญิงผู้นี้ถือว่ามีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งจึงเอาแต่ใจเช่นนี้ ไม่ไว้หน้าตนแม้แต่น้อย ใบหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ ว่า “ศิษย์น้องหรวนพูดอะไรเช่นนั้น นางเป็นเพียงนางหนูน้อยระดับหลอมลมปราณบังอาจกล้าทำให้เจ้าโกรธ ต่อให้ตีจนปางตายก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ศิษย์พี่ก็เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงเตือนศิษย์น้องประโยคหนึ่ง ผู้ชายในโลกนี้มักทะนุถนอมอิสตรี ผู้บำเพ็ญเพียรก็ยากจะยกเว้น”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังได้ยินคำพูดข้างหลังแล้ว สีหน้าเริ่มอ่อนไหวขึ้นมา กลับไม่ยอมที่จะปล่อยมั่วชิงเฉินไปทั้งอย่างนี้ ปากก็แข็งว่า “ฮึ ผู้ชายล้วนโง่เช่นนี้!”
“หึๆๆ ศิษย์น้องหรวน เช่นนั้นข้าก็จะพานางหนูนี่ไปแล้วนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนพูดพลางส่งสายตาให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเพิ่งเดินได้ก้าวเดียว ก็ได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังว่า “ช้าก่อน ข้าจะขอดูอย่างละเอียดหน่อยว่านางหนูนี่มีตรงไหนที่เหนือกว่าคนอื่นกันแน่”
พูดพลางเดินขึ้นหน้ามายื่นมือออก คาดไม่ถึงว่าคิดจะเปิดผมหน้าของมั่วชิงเฉินขึ้น
ต่อให้ถูกตบหน้าหลายที ใบหน้ามั่วชิงเฉินยังสุขุมอยู่ได้ ทว่าการกระทำของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี้กลับทำให้นางตกใจสะดุ้งเฮือก
นางเข้าใจดีเหลือเกินว่าหน้าตาตนบัดนี้จะนำความยุ่งยากอะไรมาให้บ้าง หากวันนี้เปิดเผยต่อหน้าผู้คน นางที่ยังไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง ต่อไปอย่าคิดจะมีชีวิตสงบสุขเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตั้งใจบำเพ็ญเพียรเลย!
“แค่กๆ ศิษย์น้องหรวน เจ้าจำต้องทำเช่นนี้หรือ มีเรื่องหนึ่งศิษย์พี่ลืมบอกไป ที่นี่เป็นสถานที่ที่อาจารย์อาเหอกวงดูแล อาจารย์อารักความสงบ ยิ่งไม่ชอบให้มีคนมาทะเลาะในที่ของท่าน ศิษย์พี่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์อาเหอกวง มาเตือนสติศิษย์น้องทีหนึ่ง ทว่าศิษย์น้องเจ้าวางใจได้ นางหนูนี่ข้าพากลับไป ต้องลงโทษให้เข็ดหลาบแน่นอน”
ไม่รู้ใช่เพราะชื่อเสียงของนักพรตเหอกวงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังเกิดกลัวขึ้นมาหรือไม่ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเบิ่งตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่งว่า “สบายเจ้าแล้ว นางหนูบ้า ยกเว้นเจ้าอย่าออกจากเขาชิงมู่ ไม่เช่นนั้น…”
จนกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังไปไกล ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกวาดสายตาผ่านผู้คนที่มุงดูปราดหนึ่ง ตะคอกว่า “พวกเจ้าว่างขนาดนี้หรือ ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรหรืออย่างไร?”
คนที่มุงดูกระจายไปทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกวาดสายตาเย็นชามาที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกับมั่วชิงเฉิน สองสาวหดตัว เอ่ยอย่างว่าง่ายว่า “อาจารย์อาเฉียน…”
“หุบปาก พวกเจ้าไปโถงลงทัณฑ์ตอนนี้เลย!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ็ดว่า
“อาจารย์อาเฉียน พวกเราก็ทำเพราะความจำใจ…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งพูดอย่างน้อยใจ
แรงกดดันสายหนึ่งส่งผ่านมา สองสาวล้มลมกับพื้นพร้อมกัน ไม่กล้าเถียงอะไรอีก ลุกขึ้นมาแล้วรีบจากไปโดยไว
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนมองมั่วชิงเฉินที่หน้าบวมมากปราดหนึ่ง ถอนใจว่า “เจ้ากลับไปเถอะ”
มั่วชิงเฉินย่อเข่า “ขอบคุณอาจารย์อาเฉียนเจ้าค่ะ”
“อย่าขอบคุณข้า จะขอบคุณก็ขอบคุณนักพรตเหอกวงเถอะ” อาจารย์อาเฉียนพูดพลางขี่กระบี่จากไป
มั่วชิงเฉินชะงักงัน หันหลังยกเท้ากำลังจะไป กลับต้องหยุดลงอีก
ไม่ไกลออกไป เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร