ตอนที่ 5 ดึงพลังลมปราณเข้าร่าง

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 5 ดึงพลังลมปราณเข้าร่าง Ink Stone_Romance

ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์มาเกือบหมื่นปี แม้ว่าจะไม่รู้หนทาง แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากประสาทเซียนได้ คนที่ถูกเสวียนหั่วใช้ประสาทเซียนสำรวจ พวกที่รู้ตัวก็เกร็งไปหมด ส่วนที่ไม่รู้ตัวก็ยังคงทำนั่นทำนี่ โดยเฉพาะคนบ้าที่สำนักนอกที่คิดไปเองว่าตนเองเก่งกาจมีคุณสมบัติเป็นแกนวิญญาณคู่ที่แสนโดดเด่น ทำให้เสวียนหั่วต้องสำรวจอยู่นาน แกนวิญญาณคู่วารีพฤกษา แบบครึ่งต่อครึ่งเสียด้วย  ไม่ได้ต่างอะไรจากคุณสมบัติแกนวิญญาณสามธาตุ พูดดีๆเสียหน่อยก็คือคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าพอพินิจดูสักพัก เสวียนหั่วก็พบเป้าหมายที่หมายตาอย่างรวดเร็ว เขาไปขอข้าววิเศษจากศิษย์ผู้ดูแลที่นา ศิษย์ผู้นั้นมองข้าววิญญาณเบื้องหน้าตนเองหายวับไปกับตา โดยมีขวดขนาดเล็กมาแทนที่ ทันทีที่เปิดดู ก็พบว่าเป็นยาเสริมลมปราณเม็ดหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมกับพลังบำเพ็ญเพียรในตอนนี้ของเขา แถมเป็นยาคุณภาพสูงเสียด้วย เขาจึงไม่สนใจว่าใครจะเอาเม็ดข้าวสารวิญญาณไป อย่างไรเสียข้าวสารวิญญาณก็แลกเปลี่ยนเม็ดยาล้ำค่าขนาดนี้ไม่ได้ จากนั้นผักวิญญาณอีกหลายชนิดก็หายตามไป เสวียนหั่วคิดไปคิดมา ก็แวะกลับไปจับไก่ฟ้าชั้นเลิศขั้นหนึ่งที่เขาดูแคลนหลายตัวมาด้วย และรีบกลับเรือนของตนเอง เมื่อไปถึงก็เห็นเด็กน้อยนั่งคุดคู้เนื้อตัวสั่นระริกกอดห่อผ้ากลางอากาศหนาวอย่างน่าสงสาร ชวนให้ย้อนนึกถึงคำพูดของตน “รอข้าอยู่ที่นี่แหละ” ขึ้นมา เสวียนหั่วกุมขมับ ช่างเป็นเด็กซื่อจริงๆ เขาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้ากระท่อมไม้ไผ่

ถ่ายทอดพลังเซียนของตนเองเข้าไปไหลเวียนในร่างกายเด็กหญิง เพื่อขับไล่ไอเย็นในร่างกาย

เพื่อที่จะให้อาจารย์ประทับใจ หลิวหลีจึงยืนรอเสวียนหั่วท่ามกลางลมหนาว จนนางรู้สึกชาไร้ความรู้สึก ขณะที่สตินางพร่าเบลอก็รู้สึกว่ามีคนอุ้มนางขึ้น แล้ววางนางลงบนเตียง มีมืออุ่นๆทาบทับบนแผ่นหลัง แล้วจากนั้นก็อุ่นไปทั้งร่างกาย

“ท่านอาจารย์” หลิวหลีตะโกนออกมาเมื่อเห็นอาจารย์ของตน

“เด็กโง่ เป็นความผิดของอาจารย์เอง ที่ลืมว่าเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เจ้ารอก่อน เดี๋ยวอาจารย์จะไปทำอาหารให้เจ้ากิน” เสวียนหั่วเพิ่งจะตระหนักเรื่องที่ศิษย์ของตนนั้นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะนางเป็นร่างวิญญาณอัคคี เขาคงได้หาลูกศิษย์ใหม่แน่ ทำอาหารคงเป็นแค่เรื่องง่ายๆกระมัง

เสวียนหั่วกดลูกศิษย์ให้ล้มตัวนอนลงบนเตียง จากนั้นจึงเริ่มทำอาหาร ข้างๆหม้อปรุงยาที่เขาหวงแหนด้านมี ข้าวสารวิญญาณ ผักวิญญาณและไก่ฟ้าที่ตนจับมา คงจะเหมือนการปรุงยานั่นแหละ เสวียนหั่วลงมืออย่างคล่องแคล่ว ใส่ข้าววิญญาณ ผักวิญญาณ และไก่ฟ้าลงในหม้อปรุง แล้วก็ได้ยินเสียงดังตู้ม เสวียนหั่วปรมาจารย์ปรุงยาระดับ 9 ที่ไม่ทำอาหารมานานราว 300 ปี แต่บัดนี้กลับทำอาหารเพื่อศิษย์ตัวน้อย และเป็นครั้งแรกที่หม้อปรุงยานี้ระเบิดในรอบ 300 ปี เขาลูบใบหน้าที่ดำปี๋จากระเบิด การทำอาหารช่างยากเย็น จนทำให้ที่เป็น 1ใน 3 ของปรมาจารย์ผู้ปรุงโอสถระดับที่ 9 ต้องยอมแพ้ ขณะที่เสวียนหั่วกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด หลิวหลีที่ได้ยินเสียงดังก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที เมื่อนางไปถึงก็เห็นอาจารย์ของตนอยู่ในสภาพประหลาด

“ท่านอาจารย์ ท่านทำอะไรอยู่หรือ?” เรื่องง่ายๆอย่างการทำอาหาร คงไม่ทำให้อาจารย์ลำบาก แต่การระเบิดรุนแรงเช่นนี้ อาจารย์คงจะทำของเลอเลิศอะไรแน่

“แค่ก แค่ก อาจารย์กำลังจะทำอาหารให้เจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะยากขนาดนี้ “เสวียนหั่วรู้สึกลำบากใจ ศิษย์อยากกินข้าว แต่ตนเองยังทำให้ไม่ได้ ชวนให้รู้สึกเศร้าใจ

ปรุงอาหารหรือ! หลิวหลีราวกับได้ยินเรื่องโกหก ปรุงอาหารจนระเบิดตูมตามแบบนี้  ท่านอาจารย์  ท่านทำให้ศิษย์เลื่อมใสจริงๆ เมื่อมองสิ่งที่ไหม้เกรียมตรงหน้า มีข้าว ผัก และสีเลือดของเนื้อสัตว์ ตอนนี้หลิวหลีไม่เข้าใจว่าอาจารย์ของตนทำอาหารได้โง่เง่า หรือตัวนางเองที่โง่เง่ากันแน่

“ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์ทำเถอะ” หลิวหลีพูดอย่างจนปัญญา เมื่อเตรียมจะทำความสะอาด เสวียนหั่วก็ใช้มนตราทำความสะอาดแล้ว และวางมาดสูงส่งเช่นใหม่อีกครั้ง ถึงขนาดจัดการสภาพห้องที่วุ่นวายนั้นให้มีระเบียบอีกครั้ง

หลิวหลีมองซ้ายทีขวาที ก็ไม่เห็นฟืน ถ้าไม่มีฟืนแล้วจะปรุงอาหารได้อย่างไร

“ท่านอาจารย์มีฟืนหรือไม่ เดี๋ยวศิษย์จะไปหยิบเอง” หลิวหลีกล่าว

“ฟืนหรือ” เอาไว้จุดไฟสินะ คราวนี้เสวียนหั่วเข้าใจตรงกับหลิวแล้ว

เขาโบกมือเล็กน้อยก็มีไฟจุดขึ้นใต้เตาปรุงยา หลิวหลีอ้าปากค้าง เขาสามารถเสกไฟขได้ สุดยอดจริงๆ เสวียนหั่วไม่รู้เลยว่าแค่กระบวนมือเดียวของเขา ก็ทำให้ศิษย์ตัวน้อยบูชาเขาแล้ว

“ยังไม่มีน้ำ” หลิวหลีเอ่ย

ทันใดนั้นก็มีขวดหยกปรากฏขึ้นตรงหน้า นี่มันโดเรมอนชัด ๆ

นางเทน้ำลงหม้อสามขาจากนั้นก็ใส่ข้าววิญญาณลงไป ใช้แท่งหยกแทนตะหลิว เสวียนหั่วที่ดูอยู่มุมปากกระตุกยิ้ม ไม้คั่นหน้าต่างของเขาใช้หั่นผักไม่ได้ หลิวหลีจึงใช้มือฉีกผักเป็นชิ้นๆ จากนั้นจึงใส่ลงไป ผัดให้เข้ากันจนส่งกลิ่นหอมโชยออกมา หลิวหลีมองอาหารในหม้อ ก่อนจะบอกเสวียนหั่วว่าใช้ได้แล้ว จากนั้นก็เห็นหลิวหลีใช้ถ้วยชาที่เป็นของตกแต่งมาใส่อาหาร

อาหารมื้อแรกของหลิวหลีหลังจากที่มาถึงที่นี่เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มองอาหารที่ควันลอยโชยออกมา หลิวหลีอยากร้องไห้อย่างปลาบปลื้ม ในที่สุดก็ได้กินข้าวเสียที

“ท่านอาจารย์ ข้าให้ท่านถ้วยหนึ่ง” พูดจบหลิวหลีก็เริ่มกินข้าว นางหิวมาก เสวียนหั่วมองอาหารที่ร้อนระอุในมือ ในใจเขารู้สึกแปลกพิกลเหมือนหลงลืมอะไรไปบางอย่าง เสวียนหั่วที่กำลังจะเริ่มกินข้าวก็ได้ยินเสียงลูกศิษย์บอกอิ่มแล้ว พอได้สติ เขาก็บอกตัวเองอิ่มแล้ว อิ่มแล้ว มองข้าวสารและผักวิญญาณรอบตัว ราวเส้นที่เคยขาดผึงในสมองก็ประสานกันจนสนิทดี ศิษย์เป็นคนธรรมดา และเพิ่งได้กินอาหารวิญญาณเป็นครั้งแรก

“ท่านอาจารย์ ที่นี่มีห้องน้ำหรือไม่ ข้าอยากเข้าห้องน้ำ” หลิวหลีวิ่งมาหาเขาอย่างกระวนกระวาย มือกุมท้อง ใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นไหลโทรมร่าง หลิวหลีสับสน เมื่อครู่กำลังจะเก็บกวาด หลังจากกินอิ่ม กระเพาะเติมจนเต็ม ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็คงดี แต่จู่ๆนางก็ปวดท้องขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้นางอยากจะไปห้องน้ำจนทนไม่ไหว กลั้นไม่ไหวแล้ว

เสวียนหั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สะบัดมือ หลิวหลีก็หายไปทันที หวังว่าศิษย์จะทนไหว เมื่อมนุษย์ทั่วไปกินอาหารที่มีพลังวิญญาณเช่นนี้ ร่างกายก็จะขับสิ่งแปดเปื้อนออกมา เขาต้องไปดูว่ายังมีน้ำผึ้งวิญญาณหรือไม่ อาหารที่อ่อนโยนคงจะพอทุเลาอาการของนางได้ แต่ศิษย์ที่เป็นร่างวิญญาณนั้นไม่ใคร่จะแปดเปื้อนนัก ช่วยเอื้อให้เข้าสู่สมาธิได้ง่ายขึ้น

หลิวหลีเดินออกจากห้องน้ำด้วยอาการขาสั่น ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายอ่อนแรง อยากจะแหงนหน้ามองฟ้าในมุม 45 องศา สวรรค์ ท่านกลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่ ต่อมานางถูกเสวียนหั่วพาออกไป ในมือถือถ้วยที่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมา แต่หลิวหลีกลับไม่กล้าดื่ม แค่กินโจ๊กยังเป็นขนาดนี้ นางยังจะกล้าดื่มกินสิ่งใดได้อีก

“ศิษย์เอ๋ย เจ้าวางใจเถอะ น้ำผึ้งวิญญาณนี่อ่อนโยน เจ้าดื่มได้” ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าหลิวหลีกำลังคิดอะไรอยู่ เสวียนหั่วอธิบายพลางใช้มือลูบจมูกอย่างรู้สึกผิด

หลิวหลีกกระชับแก้วในมือตนแล้วดื่มเข้าไป นางรู้สึกถึงไออุ่นที่ไหลลงท้อง ในที่สุดก็ทุเลาลงแล้วหลิวหลีถอนหายใจ หลังจากเครียดมาทั้งวันก็ผ่อนคลายลง ทั้งยังรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ อยากนอนจะแย่แล้ว

“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้เจ้ายังนอนไม่ได้” ถึงจะมองออกว่าหลิวหลีง่วงมากแล้ว แต่ว่าเสวียนหั่วก็ยังขัดนาง อนิจจา ตอนนี้ร่างกายของนางแทบจะปราศจากสิ่งแปดเปื้อน เป็นเวลาดีที่จะดึงพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกาย ศิษย์เอ๋ย เจ้าดึงพลังลมปราณเข้าร่างกายก่อนแล้วอยากจะนอนนานเท่าใดก็ย่อมได้

“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” หลิวหลีสติหลุด นางเป็นเด็กวัยกำลังโต ต้องการเวลาพักผ่อน เหตุใดอาจารย์ของนางจึงไม่ยอมให้นางนอน แล้วตอนนี้ถ้านางไม่บำเพ็ญเซียนจะยังทันไหม

“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้ร่างกายของเจ้าแทบไร้สิ่งแปดเปื้อน เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะดึงพลังลมปราณเข้าร่างกาย” เขามองออกว่าหลิวหลีไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน

“ดึงพลังลมปราณเข้าร่างกายหรือ?” สมองที่พร่าเลือนของนางได้สติขึ้นไม่น้อย นี่เหมือนจะเป็นก้าวแรกของการบำเพ็ญเพียร เดินเป็นหมื่นก้าวก็ทำมาแล้ว ขั้นตอนสำคัญเช่นนี้จะมาชะงักได้อย่างไร

“ท่านอาจารย์ศิษย์ควรจะทำเช่นไร” หลิวหลีหยิกตัวเอง เพื่อให้ถามออกไปอย่างมีสติ

“กำหนดจิตไปตามเส้นทางที่อาจารย์ชี้นำ” เมื่อเห็นท่าทางของลูกศิษย์ เสวียนหั่วจึงรู้สึกโล่งใจมาก ศิษย์ของเขาช่างยอดเยี่ยม หลังจากพูดจบเส้นที่เสวียนหั่วให้ก็ไหลวนในร่างของหลิวหลี

หลิวหลีทำตามที่คำพูดอาจารย์ ตั้งท่าเรียบร้อย จากนั้นก็รู้สึกถึงกระแสอุ่นๆที่ไหลวนอยู่ในร่างกาย ที่ไหลวนตามอาจารย์อย่างติดๆขัดๆในตอนแรก แล้วค่อยๆไหลลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ และนางก็รู้สึกราวกับว่ารอบตัวนางมีแสงสว่างส่องประกาย เป็นดวงไฟสีแดงดวงเล็กๆราวหิ่งห้อย แต่น่ารักกว่า ดวงไฟเหล่านั้นแตะตัวหลิวหลีแล้วก็ลอยห่างออกไป แล้วลองลอยกลับเข้ามาใกล้อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปมา

หลิวหลีเล่นกับพวกมันอย่างนึกสนุก ดวงไฟสีแดงดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของหลิวหลี จึงเล่นไล่จับกับนาง หลิวหลีคิดได้ว่านางกำลังอยู่ในระหว่างบำเพ็ญเพียร จึงใช้นิ้วชี้ที่ตัวเองเพื่อบอกเหล่าดวงไฟว่านางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ ความหมายคือรอนางฝึกเสร็จก่อนแล้วค่อยเล่นกันต่อ ดวงไฟเหล่านั้นงุนงงไปน้อยๆ พวกมันมีความสุขมากที่ได้เล่นกับหลิวหลี และดูเหมือนพวกมันจะเข้าใจอะไรๆ จึงแปลงร่างเป็นวงกลมตามที่หลิวหลีเคลื่อนไหว เสวียนหั่วที่สังเกตท่าทางของหลิวหลีมาโดยตลอดย่อมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของนางอยู่แล้ว

“เด็กน้อยผู้มีบุญบารมี สมกับเป็นรากวิญญาณอัคคี เป็นที่รักของเหล่าเซียนอัคคีโดยกำเนิด เมื่อดึงพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายก็รู้สึกได้ถึงพลังเซียนอัคคี และดึงมันเข้าภายในร่างแถมยังจะบอกขั้นที่ 2 ให้นางอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็สามารถวางใจให้นางไปเรียนปรุงยากับหอโอสถ เพื่อเรียนพื้นฐานของยาได้แล้ว” เสวียนหั่วพึมพำ ขณะมองหลิวหลีที่โคจรพลังเซียนครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ใช่แล้ว เสวียนหั่วรู้สึกว่าแม้ว่าตนจะเป็นอาจารย์ แต่ก็ไม่คิดจะสอนความรู้พื้นฐานแก่หลิวหลี แต่จะให้นางศึกษากับเหล่าศิษย์ที่เข้ามาใหม่ของสำนักโอสถ ศิษย์ตัวน้อยก็ยังคงต้องการมิตรสหาย

หลิวหลีรู้สึกว่าภายในร่างกายของนางเต็มอิ่มแล้ว จึงออกจากสมาธิ

“ศิษย์ข้า ยินดีด้วย เจ้าได้เข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนแล้ว บัดนี้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญขั้นที่ 1 แล้ว”

“นี่สำเร็จแล้วหรือ?” หลิวหลีรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยทั้งยังประหลาดใจ นับว่าตนเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างเป็นทางการแล้ว

“เดิมทีข้าจะสอนการดูดซึมพลังเซียนอัคคีให้เจ้า แต่ว่าดูเหมือนเจ้าจะเป็นแล้ว” ศิษย์ของเขาฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ ถ้ามีหน้ามีตาขึ้นมาจะทำอย่างไรดี

หลิวหลียังคงสับสน จึงครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึง  ‘หิ่งห้อยสีแดง’ ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ

“บรรยายได้น่าสนใจจริงเชียว ศิษย์เอ๋ยนี่คือเคล็ดวิชาเจ้ารับไปเสียสิ” เสวียนหั่วส่งคัมภีร์ให้หลิวหลี แต่พบว่าเจ้าตัวกลับไม่รับไว้ แล้วยังโอดครวญ

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ของท่านอ่านหนังสือไม่ออก” หลิวหลีร้องออกมาแบบไม่มีน้ำตา คนใช้เวลา 1 ใน 5 ของชีวิตไปกับการเรียนหนังสือ กลับอ่านหนังสือไม่ออก น่าเศร้าใจนัก

“อืม” เสวียนหั่วคิดแผนการตั้งมากมาย แต่กลับไม่เคยพิจารณาเรื่องที่ศิษย์ของตนเองไม่รู้หนังสือ อืม เขามองศิษย์ตัวน้อย เอาเถอะ เขาจะมองข้ามไปก่อนแล้วกัน ดูเหมือนว่าก่อนที่จะให้ศิษย์เรียนความรู้พื้นฐานนั้นควรให้นางไปเรียนรู้ที่โถงแห่งปัญญาก่อน

………………………………………………………………………