ตอนที่ 6 รื้อปรับพื้นฐาน

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 6 รื้อปรับพื้นฐาน Ink Stone_Romance

หลิวหลีรู้สึกโศกเศร้า อาจารย์คงจะคิดว่านางเป็นพวกไม่มีการศึกษาล่ะสิ นางเรียนจบได้ใบประกาศเชียวนะ แต่นางอ่านอักษรเฉ่าซูพวกนี้ไม่ออกหรอก อักษรจีนตัวเต็มก็ยังพอรู้บ้าง แต่อักษรเฉ่าซูพวกนี้นางไม่รู้เลยจริงๆ การบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องที่สำคัญ หากผิดพลาดไปแม้แต่ตัวเดียวก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อชีวิตน้อยๆของนาง นางจะต้องสู้ ต้องเรียนรู้

เสวียนหั่วตัดสินใจส่งศิษย์ของตนไปที่โถงแห่งปัญญา เป็นถึงศิษย์ของเสวียนหั่วจะไม่รู้หนังสือได้อย่างไร เขาชื่นชมศิษย์ตนเองที่ไม่หลับหูหลับตาดึงดันจะฝึกวิชา

“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะส่งเจ้าไปที่โถงแห่งปัญญาก่อน หลังจากที่เจ้าอ่านออกเขียนได้ แล้วไปหอโอสถเพื่อร่ำเรียน ‘ศาสตร์สมุนไพร’ ก่อน จงจำไว้ว่าเจ้าต้องเรียนรู้จนคุ้นเคยทั้งภาพและตัวอักษรเป็นอย่างดี” เสวียนหั่วกำชับศิษย์ของเขา

“ศิษย์ทราบแล้ว” หลิวหลีพยักหน้า จุดนี้เข้าใจได้ เหมือนหมอที่ตนเองต้องรู้แจ่มแจ้งก้อนจะสามารถจัดยาให้คนป่วยได้ จะให้เกิดเรื่องผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

“รอเจ้าร่ำเรียนเสร็จแล้วให้บีบตราหยกนี้ให้ละเอียด อาจารย์จะมารับเจ้า” เสวีนหั่วคิดอยู่สักครู่หลังจากนั้นจึงยื่นหยกให้แก่หลิวหลี นางรับมาแล้ววางลงอย่างระมัดระวัง

“นี่คือแหวนเก็บของ อาจารย์ใช้ตอนอยู่ในช่วงพื้นฐาน ด้านในมีขนมและยาฉุกเฉินอยู่ จำไว้ว่าห้ามกินตามอำเภอใจ แม้ว่าจะเป็นแค่ยาแต่การอาศัยยาเพื่อฝึกบำเพ็ญ ไม่เพียงแต่จะทำให้พื้นฐานไม่มั่นคง และยังเป็นการขัดขวางการบำเพ็ญเพียรในภายหน้าด้วย” เสวียนหั่วหยิบแหวนออกมาอธิบาย

“ศิษย์จะจำไว้” หลิวหลีตอบอย่างหนักแน่น เหตุผลเช่นนี้นางเห็นมาเยอะ และมีภาพจำอยู่บ้าง

“หลิวหลี เจ้าเป็นธาตุไฟ แม้จะมองด้วยดวงตาไม่ออก แต่ก็มิอาจปิดบังพวกตาหลักแหลมได้หรอก นี่เป็นของที่อาจารย์ได้มาจากศิษย์พี่ของอาจารย์เมื่อนานมากแล้ว มีสรรพคุณช่วยปิดบังคุณสมบัติพิเศษได้” เสวียนหั่วไตร่ตรองดูแล้ว คุณสมบัติของนางนั้นเป็นปัญหา อนิจจา…ข้าเป็นอาจารย์ที่ดีที่คอยเป็นห่วงศิษย์จริงๆ ถึงได้หยิบของที่ได้จากศิษย์พี่เมื่อนานมาแล้วออกมา เป็นกระดิ่งใบเล็กคู่หนึ่ง

“เจ้าค่ะ อาจารย์” หลิวหลีคิดได้ว่านางเป็นหญิงสาวที่มีคุณสมบัติของบุรุษ นางกระตุกปากยิ้มอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว นางห้อยกระดิ่งไว้บนมวยผมทั้งสองข้าง เสียงกรุ๊งกริ๊งยิ่งทำให้นางดูน่ารักขึ้น

“อาจารย์จะส่งเจ้าตรงนี้” เสวียนหั่วมองศิษย์น้อยของตน ว่าไปแล้ว นางเข้าใจจริงๆหรือไม่ นะ หรือจะให้ท่านเทียนเย่าช่วยจับตาดูนางดี

เทียนเย่ามองหลิวหลีที่เกือบจะเป็นศิษย์เขา แต่บัดนี้กลายเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ลุง พอคิดถึงคำฝากฝังของอาจารย์ลุง อาจารย์ลุง ท่านให้ข้าดูแลศิษย์น้อง ดีแล้วหรือ ขณะมองเด็กสาวคนนี้ด้วยสายตาที่เป็นกังวล อาจารย์ลุง…ท่านก็ไม่ได้ถนัดดูแลเด็กนักหรอก เอาเถอะ

“จื่ออิน เจ้าพาหลิวหลีไปที่โถงแห่งปัญญา” เขาเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงเรียกหาศิษย์คนโตของตนเอง

“ขอรับ อาจารย์ นี่เป็นศิษย์น้องที่ท่านรับมาใหม่หรือขอรับ” จื่ออินถามอาจารย์ วันนี้ประจวบเป็นวันครบรอบรับศิษย์ในรอบ 5 ปีพอดี นี่คงจะเป็นศิษย์น้องคนใหม่ มวยผมห้อยกระดิ่งเล็กๆส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง น่ารักมาก เอ๊ะ…พลังลมปราณอยู่ในขั้นที่หนึ่ง คุณสมบัติไม่เลวเลย

“แค่กๆจื่ออิน นี่เป็นแขกคนสำคัญของอาจารย์ อาจารย์ไหว้วานให้สอนหนังสือและสมุนไพรแก่นาง เจ้าเตรียมไปหาลานเล็กๆ ที่เงียบสงบ แต่ก่อนอื่นพานางไปโถงแห่งปัญญาเสียก่อน” ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ก็อยากจะหาศิษย์น้องให้เจ้า แต่เด็กสาวคนนี้เป็นอาจารย์อา หากบอกเจ้า เจ้ายังกล้าจะสั่งสอนอะไรนางหรือไม่ล่ะ

“จื่ออินรับทราบขอรับ” แขกคนสำคัญอย่างนั้นหรือ หรือจะเป็นลูกรักของคนสกุลใด ต่อมาจื่ออินก็ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ไม่ได้บอกตัวตนของหลิวหลีแก่เขา

“ศิษย์น้อง เจ้าชื่ออะไรหรือ” จื่ออินถามอย่างกระตือรือร้น

คำว่า ‘ศิษย์น้อง’ช่างเป็นการดูแคลนนางนัก อย่าเห็นนางเล็กแล้วรังแกนาง นางไม่รู้ว่าพี่ชายที่ดูใจดีตรงหน้าเป็นศิษย์หลานของนาง จนหลิวหลีได้เริ่มรู้จักสมุนไพร นางจึงได้เริ่มได้รู้ ‘อย่าตัดสินคนที่ภายนอก

“หลี่หลิวหลี”

“หลิวหลี ช่างเป็นชื่อที่ดีนัก” จื่ออินอุทาน ดูเหมือนศิษย์น้องจะตื่นเต้นทีเดียว

“ศิษย์น้องหลิวหลี เจ้าชอบเรือนนี้หรือไม่” ทั้งสองคุยกันไม่กี่ประโยคก็เดินมาถึงเรือนพักผ่อนอันเงียบสงบ เป็นเรือนรับรองที่จื่ออีมักจะพาแขกมาพักรับรอง

“ชอบเจ้าค่ะ” หลิวหลีนางชอบจริงๆ เพราะที่นี่มีครัวเล็กๆ นางจึงเดินเข้าครัวอย่างร่าเริง เพียงแต่ เหตุใดครัวจึงว่างเปล่าเช่นนี้!

“ศิษย์พี่จื่ออิน ข้าสามารถซื้ออุปกรณ์ครัวได้หรือไม่” หลิวหลีตกใจ หากทำอาหารไม่ได้คงเศร้าใจน่าดู

จื่ออินรู้สึกว่าตนเองน่าจะได้ยินผิดไป ทำอาหารหรือ ไม่ได้ยินคำนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ว่าในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ที่ดี จะตอบเรื่องง่ายๆเช่นนี้ไม่ได้อย่างไร

“ศิษย์น้องหลิวหลีวางใจเถอะ ศิษย์พี่จะจัดการให้เจ้าอย่างดี แต่ตอนนี้เจ้าควรไปโถงแห่งปัญญาเสียก่อน” จื่ออินตบหน้าอกรับรอง

ณ โถงแห่งปัญญา หลังจากฝากฝังหลิวหลีกับศิษย์หลานคนใดไม่รู้ จื่ออินก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะไปบอกทางกลับที่พักให้หลิวหลี นางหน้าแดงน้อยๆ ขณะเดินเข้าไปในโถงแห่งปัญญา พูดแล้วต้องมาเรียนรวมกับพวกเด็กอายุน้อยนางก็รู้สึกอายขึ้นมา จึงตั้งปณิธานว่าต้องรีบเรียนจบโดยเร็ว

จ้าวจวินมองเด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่มองตนเองด้วยแววตามุมานะ ก็รู้สึกชื่นชมอย่างมาก เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนจริงๆ

หลังจากเรียนเสร็จ หลิวหลีกำลังเก็บของของตน พวกเด็กก็กรูมาหานาง

“เจ้าเป็นนักเรียนแทรกชั้นหรือ” เสียงเด็กน้อยที่ไพเราะก็ดังขึ้นข้างหู

‘แทรกชั้น’ ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินศัพท์ปัจจุบันขนาดนี้จากปากเด็กน้อยเช่นนี้ หรือว่าคำนี้จะใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

“อืม ข้าชื่อหลี่หลิวหลี” หลิวหลีตอบอย่างเป็นมิตร

“หลี่หลิวหลี ข้าชื่อโจวอี” เด็กน้อยที่ชื่อโจวอีเอ่ยอย่างร่าเริง

“โจวอี สวัสดี” เขาจะต้องมีพี่น้องชื่อโจวมั่วแน่ๆ หลิวหลีคิดในใจ

“จริงสิ นี่คือลูกพี่ลูกน้องของข้า โจวมั่ว” โจวอีแนะนำเด็กอีกคนให้รู้จัก

หลิวหลีอึ้งไป มีคนชื่อโจวมั่วจริงๆ ครอบครัวนี้คงจะมีโจวมั่วเป็นลูกรัก

“สวัสดี” หลิวหลีพยักหน้า อืม…สองคนพี่น้องนี่คล้ายกันจริงๆ

“เหตุใดเจ้าถึงมาแทรกชั้นกลางคันได้” เด็กน้อยโจวอีถามอย่างแปลกใจ พวกเขามาจากสกุลใหญ่ ทุกคนล้วนสนิทชิดเชื้อ ถึงจะไม่คุ้นเคยแต่ก็พอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม มีแต่หลี่หลิวหลีที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใด

“อาจารย์ของข้าคิดว่าคนอายุอย่างข้าต้องตั้งใจเรียน จะได้มีอนาคตที่ดี จึงส่งข้ามาที่นี่” จะให้บอกความจริงได้อย่างไรกันว่านางอ่านหนังสือไม่ออก

“จริงๆแล้วเจ้าอ่านหนังสือไม่ออกใช่หรือไม่ พวกเราก็อ่านไม่ออก ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” เด็กน้อยโจวอีพูดออกมาหงุดหงิด ก็แค่อ่านหนังสือไม่ออกไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย

เพราะหลิวหลีโดนหักหน้าจากคำพูดเช่นนี้ของโจวอีหรือเปล่า นางเกือบถลาเข้าไปบีบคอเจ้าเด็กโจวอีที่นักเรียนเป็นพันเป็นหมื่นคนรังเกียจ เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ทำลายความมั่นใจของพี่สาวคนนี้ไปแล้ว พี่สาวน่ะ เรียนชั้นประถมมา 5 ปี มัธยมต้นอีก 4 ปี มัธยมปลายอีก 3 ปี และมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี ข้าอยากจะกลายเป็นคนไม่รู้หนังสือหรืออย่างไร  ในอดีตคนเขาก็ใช้อักษรจีนตัวเต็มกันแต่มาที่นี่ก็ดันใช้อักษรเฉ่าซู และเกือบๆจะเป็นอักษรโบราณ นางไม่ได้เรียนเอกประวัติศาสตร์เสียหน่อย เหตุใดโจวอีถึงได้รังเกียจเด็กใหม่อย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ด้วย

เมื่อจบการเรียนไปหนึ่งวัน หลิวหลีได้ทำตามคำชี้แนะของจื่ออินโดยใช้พลังเซียนในการพับนกกระเรียนกระดาษ นกกระเรียนกระดาษดูดพลังเซียนเข้าไปจนพองใหญ่ขึ้น หลิวหลีสรุปหลักความปลอดภัยของสิ่งของที่ทำขึ้นมาจากกระดาษ และสุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อโลกที่แสนพิลึกนี่ ปล่อยให้นกกระดาษล่องลอยจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอิจฉาของกลุ่มเพื่อน เพื่อนใหม่ที่เข้ามา รับพลังลมปราณเข้าร่างกายแล้ว! น่าอิจฉาชะมัด แต่ว่าคนที่รับลมปราณเข้าร่างกายแล้ว ควรจะไปร่ำเรียนเคล็ดวิชาในโถงใหญ่มิใช่หรือ?

หลิวหลีที่เดินทอดน่องไปไกลแล้วย่อมไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้ นางกลับมาที่พำนักเล็กๆของนางอย่างรวดเร็ว พูดไปแล้ว เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ สิ่งของที่นางต้องการคงตระเตรียมเสร็จแล้วกระมัง ในเมื่อเหมือนอาจารย์ของนางจะเก่งกาจเสียขนาดนั้น พอได้เห็นห้องครัวที่เป็นระเบียบเรียบร้อย หลิวหลีก็ชอบใจไม่น้อย โดยเฉพาะของใช้ที่มีขนาดเล็กใหญ่เข้ากับร่างกายของนางในตอนนี้ จื่ออินช่างเอาใจใส่นัก เอ๊ะ…ก้อนหินสีเทา 2 ก้อนด้านข้างคืออะไรกัน แถมยังวางห่างกันเป็นโยชน์

“ศิษย์น้องเจ้าชอบหรือไม่” จื่ออินเข้ามาก็เห็นสีหน้าพึงพอใจของศิษย์น้อง

“ขอบคุณมาก” หลิวหลีพูดอย่างจริงใจ

“ศิษย์น้อง ที่จริงที่สำนักโอสถก็มีโรงอาหารนะ” จื่ออินพูดอ้อมแอ้ม ดูท่าทางศิษย์น้องจะอายุราวๆหกเจ็บขวบเอง จะทำอาหารได้หรือ วันนี้เขาจึงไปดูโรงอาหารให้นาง

“ศิษย์พี่ ท่านวางใจเถอะ หลิวหลีเคยเป็นสาวใช้หลังครัวมาก่อน ข้าทำอาหารได้”

เด็กรับใช้ในครัวหรือ  ดวงตาจื่ออินฉายแววสงสาร เด็กคนนี้คงจะไม่ได้มีชาติกำเนิดที่ดีนักสินะ

“เช่นนั้นศิษย์น้อง เจ้าใช้เครื่องครัวระวังหน่อยแล้วกัน จริงสิ หินไฟสองก้อนนั่นเจ้าวางไว้ด้วยกันมันจะร้อนขึ้นมาเอง เจ้าใช้ระวังๆหน่อยนะ” จื่ออินชี้ไปที่หิน 2 ก้อนพลางพูดขึ้น

น่าอัศจรรย์อะไรเช่นนี้ หลิวหลีห่อปากด้วยความตื่นตะลึง น่าทึ่งเสียจริงนางกำลังสงสัยอยู่เลยว่าหิน 2 ก้อนนั้นเอาไว้ทำอะไร โชคดีที่นางยังไม่ได้ทำอะไร ไม่อย่างนั้นคงมือเละพอดี

“นี่เป็นหินทั่วไปของโลกเซียน ไม่ได้มีราคาแพงอะไร” จื่ออินรู้สึกว่าท่าทางตื่นตะลึงของนางช่างน่ารัก

ความรู้สึกโดนดูหมิ่นเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดใจ  ไม่ได้การล่ะ นางจะต้องทำอาหารอร่อยๆเพื่อเป็นการชดเชย

“ศิษย์พี่จื่ออินอยู่กินด้วยกันไหม” หลิวหลีถาม

“ไม่เป็นไร ศิษย์น้อง เจ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกข้าได้เลย” จื่ออินตอบ

“เจ้าค่ะ” ช่วยลงรายละเอียดหน่อยได้ไหมว่าจะให้บอกเช่นไร ยุคที่โทรศัพท์ก็ไม่มี คอมพิวเตอร์ก็ไม่มี วีแชท หรือ QQ ก็ใช้ไม่ได้ ข้าจะไปบอกท่านได้อย่างไรกัน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าน้องสาวเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียร

“ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่ขอตัว” จื่ออินพูดจบก็เดินจากไป เหลือเพียงหลิวหลีที่ยืนตัวแข็ง ศิษย์พี่ ศิษย์น้องของท่านเพิ่งจะมาที่นี่ได้วันแรก อะไรๆ ข้าก็ยังไม่เข้าใจ

จื่ออินไม่รู้ว่าศิษย์น้องของตนเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียร มิเช่นนั้นนางจะไปที่โถงแห่งปัญญาทำไม

หลิวหลีรู้สึกว่าต้องกินของอร่อยๆชดเชยเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นนางกังวลว่านางจะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หลังจากจัดการอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงภายในใจแล้ว หลิวหลีก็ตัดสินใจว่าจะทำผักวิญญาณผัดเนื้อ แล้วก็นึ่งข้าววิญญาณ นางหั่นเนื้อวิญญาณที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อประเภทใด วางหินทั้งสองก้อนไว้ด้วยกัน จากนั้นหินทั้งสองก้อนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วนำหม้อใบเล็กขึ้นตั้งไฟ นึ่งข้าววิญญาณ หลังจากข้าววิญญาณสุกแล้วก็ยกหม้อข้าวลงมาไว้ด้านข้าง และเอากระทะอีกอันตั้งไฟผัดผักง่ายๆ หลังจากหลิวหลีกินจนอิ่มแล้วก็รู้สึกถึงพลังเซียนที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ก็พลันคิดถึงแหวนเก็บของที่ท่านอาจารย์ให้มา แต่นางควรจะใช้ของชิ้นนี้อย่างไร คิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิวหลีก็ไปเดินไปที่เตียงนอนทรุดตัวลงนั่ง  แล้วกำหนดจิตตามที่ได้เคยฝึกฝนอย่างเมื่อวานนี้ สมกับที่เป็นร่างวิญญาณอัคคีอันเป็นที่โปรดปราณของฟ้าดิน หลิวหลีรู้สึกได้ถึงพลังเซียนอัคคีอย่างรวดเร็ว นางลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ผ่านไปค่อนคืนเสียแล้ว

……………………………………………………